“บังอาจนัก!”
“เจ้าคงเหนื่อยจะมีชีวิตอยู่แล้วสินะ!”
เหลยถิงเวยและผู้อาวุโสตระกูลเหลยนับไม่ถ้วนต่างคำรามออกมาด้วยความเดือดดาล แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเคลื่อนไหว กฎของตระกูลนั้นสำคัญมาก หลังจากที่เหลยกูตะโกนให้หยุดก่อนหน้านี้ ตราบใดที่เหลยกูยังไม่ได้ออกคำสั่ง แม้แต่เหลยถิงเวยก็ไม่กล้าที่จะล้ำเส้นอำนาจของเขา
เหลยกูดูแก่ชรามากและแม้แต่คิ้วของเขายังขาวแล้ว เมื่อเขาได้ยินคำพูดของเจียงอี้ ใบหน้าของเขาก็ไม่เผยอารมณ์ใดๆขณะที่เขาตอบอย่างเฉยเมยว่า “เจียงอี้ เจ้าเป็นอัจฉริยะรุนเยาว์จริงๆ ในปีนี้ตาเฒ่าผู้นี้อายุเจ็ดสิบแปดปีแล้วและมันไม่ยุติธรรมจริงๆที่ข้าลงมือกับเจ้า แต่…โลกนี้ไม่เคยยุติธรรมแต่แรกอยู่แล้ว เจ้าสังหารลูกหลานตระกูลเหลยไปหลายคนและตาเฒ่าผู้นี้คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสังหารเจ้าในวันนี้!”
เหลยกูยื่นมือของเขาออกมาซึ่งมันค่อยๆควบรวมแก่นแท้พลังไปด้วย ก่อนที่การโจมตีของเขาจะก่อร่างขึ้นมา กลิ่นอายสยบโลกาก็ถูกปล่อยออกมาจากฝ่ามือของเขาซึ่งมันทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นรู้สึกว่าดวงจิตของพวกเขาสั่นสะเทือน
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
และในขณะนั้นเอง เสียงหัวเราะของผู้สูงอายุที่มีพลังดังก้องมาจากทางตะวันออก เสียงนี้เป็นเสียงราวกับว่ามันดังก้องกังวานไปนับล้านกิโลเมตรซึ่งมันเหมือนเป็นหมอกเมฆที่อยู่ไกลแสนไกล เสียงอันทรงพลังนั้นดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้าหนูน้อยตระกูลเหลย ปีนี้เจ้าอายุเจ็ดสิบแปดปีแล้ว? ข้าผู้นี้อายุมากกว่าเจ็ดแสนปีแล้ว หากข้าจะลงมือเคลื่อนไหวและจัดการกับเจ้า มันจะไม่ยุติธรรมหรือไม่?”
“อายุมากกว่าเจ็ดแสนปี….”
ผู้คนมากมายกลอกตา หากพวกเขาฟังไม่ผิดเพี้ยน เช่นนั้นคนผู้นั้นคงเสียสติไปแล้ว อายุมากกว่าเจ็ดแสนปีคืออะไรกัน? มนุษย์นั้นสามารถมีชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่ศตวรรษ และแม้ว่าพวกเขาจะไปถึงขอบเขตกึ่งเทพแล้วก็ตาม สัตว์อสูรที่มีอายุยืนยาวกว่านี้ พวกเขาก็มีชีวิตอยู่ได้เพียงสามหรือสี่พันปีเท่านั้น แต่นี่กลับอยู่มาเจ็ดแสนปี? ไม่ใช่ว่าบุคคลผู้นี้คือพระเจ้าหรอกหรือ?
“หืม?”
เหลยถิงเวย, หนานกงหยุนยี่, ลู่หลี่, หวงฝูฉีและคนอื่นๆต่างสั่นเทา ผู้อาวุโสที่สำคัญจากตระกูลบางตระกูลเองก็มีการเปลี่ยนท่าที ส่วนเหลยกูเองก็หยุดการโจมตีที่ฝ่ามือของเขาขณะที่เขามองไปยังทิศตะวันออกด้วยท่าทางที่หนักอึ้ง
“อ๊ะ? ท่านบรรพบุรุษมาที่นี่จริงๆหรือ?”
องค์หญิงเชียนเชียนประหลาดใจขณะที่นางหันหน้าไปทันทีและพึมพำเบาๆ สีหน้าของเทวาทมิฬเองก็ยังเผยร่องรอยของความประหลาดใจด้วยเช่นกัน ม่านพลังสีทองของเขาหายไปขณะที่เขามีท่าทางที่เคารพและศรัทธา
“เสียงนี้มัน…”
ดวงจิตของเจียงอี้สั่นและดวงตาที่หรี่ลงของเขาสว่างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาคุ้นเคยกับเสียงนี้มาก เกราะเมฆาอัคคี, วิชาหลีกสวรรค์และหญ้ามังกรยาจกของเขาล้วนได้มาจากบุคคลผู้นี้
ใช่แล้ว!
เจ้าของเสียงนี้เป็นเสียงของราชาปีศาจในเมืองเฟิงตูในราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับ ผู้พิทักษ์ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับ!
ฟรึ่บ! ฟรั่บ! ฟรึ่บ!
ร่างสิบร่างบินมาจากเมืองเทพประทานอย่างรวดเร็ว ซือถูอ้าวนำกลุ่มผู้เชี่ยวชาญของตระกูลซือถูมายังยอดเขานทีสวรรค์ทันที บุคคลสิบคนที่อยู่ด้านหน้าล้วนแต่ชรามากแล้วและคนที่อยู่ข้างหน้าเลยก็คือปรมาจารย์ตระกูลเหลย ทั้งสิบคนบินไปข้างเหลยกูและมองไปทางตะวันออกด้วยท่าทางเคร่งขรึม จี๊! จี๊!
มีแสงสีรุ้งพาดผ่านท้องฟ้ามาจากทางตะวันออก มันก่อตัวเป็นเส้นทางสวรรค์เหมือนสายรุ้งจริงๆ ที่อีกฟากของเส้นทางนั้น มีร่างสี่ร่างโผล่ออกมาเป็นชายสองและหญิงอีกสองคน บุคคลทั้งสี่นี้มีกลิ่นอายที่พรั่งพรูและจอมยุทธที่อ่อนแอกว่าก็ยังรู้สึกถึงแรงกดดันขนาดพวกเขายังคงอยู่ห่างออกไปสิบล้านกิโลเมตร
“เจ้าแห่งอสูร!”
หลายๆคนอุทานออกมาเบาๆ มีเพียงเจ้าอสูรของเผ่าปีศาจเท่านั้นที่จะมีกลิ่นอายเช่นนี้ จากสถานการณ์แล้ว เจ้าอสูรทั้งสี่นี้เป็นเพียงผู้เปิดทาง?
อย่างที่คาดไว้จริงๆ!
มีรถม้าศึกขนาดมหึมาบินมาจากด้านหลัง รถศึกนั้นหุ้มด้วยทองคำม่วงและมีขนาดมากกว่าสามร้อยเมตรและถูกลากโดยอาชาสีขาวราวหิมะสองตัว และเขาของมันเป็นสีทอง ปีกทั้งสองคู่ของมันกระพืออยู่เรื่อยๆขณะที่บินลากรถม้าศึกนี้มาด้วย “อาชามังกรเขาทอง!”
สายตาของผู้รอบรู้บางคนหันมา อันที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่อาชาเหินฟ้าแต่พวกมันเป็นสัตว์อสูรที่เร็วที่สุดจากทะเลลึกไร้สิ้นสุด เขาของอาชามังกรสองตัวนี้พัฒนาเป็นสีทองนั่นหมายความว่าพวกมันทะลวงความแข็งแกร่งไปถึงเจ้าอสูรแล้ว
ทั้งสองด้านของรถม้า มีบุคคลสี่คนที่ยืนเฝ้าอยู่และกลิ่นอายของพวกเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าสี่คนที่อยู่ด้านหน้าเลย นอกจากนี้ยังมีบุคคลอีกสี่คนที่ตามหลังรถม้าศึกมาด้วยและไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขาเป็นเจ้าอสูรด้วย
เจ้าอสูรสิบสองตน และยังมีอาชามังกรเขาทองอีกสองตัว รวมเป็นเจ้าอสูรสิบสี่ตน!
ขอบเขตความแข็งแกร่งของเผ่าปีศาจคล้ายกับเผ่ามนุษย์ เจ้าอสูรเป็นสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดและความแข็งแกร่งของพวกนั้นก็เทียบได้กับเหล่ากึ่งเทพ เทวาทมิฬเองก็เป็นเจ้าอสูรเช่นกัน และเมื่อเขาปรากฏตัว แม้แต่เหลยถิงเวยและคนอื่นๆก็ยังต้องไปต้อนรับเขาและคำนับเขาด้วยความเคารพ เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งและสถานะของเขาคือเจ้าอสูร!
และในตอนนี้…
เจ้าอสูรสิบสี่ตนเป็นองครักษ์และเป็นผู้รับใช้จริงๆ? เห็นได้ชัดว่าสถานะของบุคคลที่อยู่ภายในรถม้าศึกนั้นจะต้องเป็นจักรพรรดิแห่งทะเลลึกไร้สิ้นสุด!
ทะเลลึกไร้สิ้นสุดกว้างใหญ่มากและมันใหญ่กว่าทะเลราตรีสีเลือดถึงร้อยเท่า มันเป็นสถานที่ที่เผ่าปีศาจชุมนุมกันใหญ่ที่สุด ย้อนกลับไปในตอนนั้น ปีศาจผู้ยิ่งใหญ่มากมายที่ถูกจักรพรรดิลี้ลับไล่ล่าได้ย้ายไปยังทะเลลึกไร้สิ้นสุด การที่เผ่าเทพประทานสามารถอยู่รอดได้จนถึงทุกวันนี้ก็เนื่องมาจากการเป็นพันธมิตรกับทะเลลึกไร้สิ้นสุด ดังนั้นทุกคนจึงเข้าใจทันทีว่าเหตุใดผู้อาวุโสจากสี่ตระกูลหลักถึงได้ปรากฏตัวขึ้นและมีการแสดงออกที่เคร่งขรึมเช่นนี้ “มีบางอย่างไม่ถูกต้อง…”
หลายคนเกิดคำถามขึ้นมาทันที เสียงที่แก่ชราและมีพลังนั้นบอกว่าจะลงมือกับเหลยกู? เผ่าเทพประทานและทะเลลึกไร้สิ้นสุดเป็นพันธมิตรกัน หากไม่มีเผ่าเทพประทาน ทะเลลึกไร้สิ้นสุดและทวีปจักรพรรดิบูรพาก็จะไม่มีเขตกั้นระหว่างกัน แล้วเหตุใดเจ้าของเสียงนั้นจึงบอกว่าเขาต้องการลงมือกับเหลยกูล่ะ?
ฟรึ่บ!
เจ้าอสูรทั้งสี่เป็นกลุ่มแรกที่มาถึงขณะที่เทวาทมิฬอุ้มองค์หญิงเชียนเชียนไปทักทายพวกเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเชียนเชียนก็บินไปยังรถม้าศึกก่อนที่รถม้านั้นจะค่อยๆหยุดลง
ฟรึ่บ! ฟรั่บ! ฟรึ่บ!
เหล่าเจ้าอสูรทั้งหมดบินไปและคุกเข่าข้างหนึ่งพร้อมกับตะโกนว่า “คารวะองค์จักรพรรดิ!”
ผู้อาวุโสตระกูลเหลย เหลยป้านเซียนนำผู้เชี่ยวชาญกึ่งเทพทั้งหมดไปและป้องกำปั้นพร้อมคำนับ “คารวะท่านใต้เท้าเอ๋าหลู!”
“คารวะท่านใต้เท้าเอ๋าหลู!”
เหลยถิงเวยและคนอื่นๆมารวมตัวกันอย่างรวดเร็วและคำนับด้วยการป้องกำปั้นและทักทายอย่างเคารพเสียงดัง พวกผู้อาวุโสก้มหัวของพวกเขาแล้ว แล้วพวกเขาจะกล้าไม่ทำเช่นนั้นได้อย่างไร?
“ฮึ่ม!”
เสียงพ่นลมอันเย็นเยียบดังก้องขณะที่รถม้าศึกสีทองม่วงเปล่งประกายและหายวับไปกลางอากาศ จากนั้นผู้อาวุโสชุดดำที่มีผมสีเขียวก็ปรากฏขึ้นบนฟ้าขณะที่องค์หญิงเชียนเชียนจับมือของเขาอย่างอบอุ่น
ผู้อาวุโสที่มีผมสีเขียวนั้นดูแก่มากขณะที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยย่น กลิ่นอายจากร่างของเขาทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับว่าเขาเป็นสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงอันเป็นนิจนิรันดร์ เขาไม่ได้มองไปยังเจ้าอสูรที่คุกเข่าอยู่หรือแม้แต่เหลยป้านเซียน, เหลยกูและคนอื่นๆเลย แต่เขากลับมองไปที่เจียงอี้และยิ้ม “เจ้าหนู ไม่ได้เจอกันนานเลย”
ปากของเจียงอี้ยังคงมีเลือดอยู่และใบหน้าของเขายังคงเจ็บปวดอยู่ เขาจ้องไปที่ผู้อาวุโสขณะที่กลืนน้ำลายพร้อมกับเลือดเต็มปากแล้วตอบว่า “ท่านผู้อาวุโส เรา….ไม่เคยเจอกันมาก่อนใช่ไหมขอรับ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
เอ๋าหลูหัวเราะออกมาและไม่มีเจตนาจะตำหนิเจียงอี้เลย เขาพยักหน้าและพูดว่า “ใช่แล้ว เจ้าไม่เคยเห็นหน้าข้ามาก่อน แต่ข้าเคยเห็นหน้าเจ้ามาก่อน ข้านี่ก็แก่แล้วจริงๆล่ะ”
“ท่านบรรพรบุรุษไม่แก่เลยนะเจ้าคะ!”
องค์หญิงเชียนเชียนยิ้มหวานและมองไปที่เจียงอี้ทันทีและถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านบรรพบุรุษ ท่านเพิ่งจะกลับมาไม่ใช่หรือ? แล้วท่านรู้จักเจียงอี้ได้อย่างไรกัน?”
คำถามของเชียนเชียนเป็นคำถามของผู้คนมากมายที่อยากจะถามเช่นนี้เหมือนกันเอ๋าหลูลูบหัวเชียนเชียนด้วยความเอ็นดูแล้วหัวเราะขณะที่พูดว่า “เชียนเชียน ที่ข้าสามารถกลับมาได้ ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะเด็กคนนี้ หากเด็กคนนี้ไม่เห็นถึงการเตรียมการของจักรพรรดิลี้ลับ ข้าเองก็อาจจะต้องแก่ตายอยู่ในราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับไปเสียแล้วล่ะ”
“อ๊ะ?”
ดวงตาของเชียนเชียนเป็นประกายขณะที่เทวาทมิฬและคนอื่นๆมองเจียงอี้ด้วยความประหลาดใจและความขอบคุณ ทุกคนตกอยู่ในความงุนงงและมองเจียงอี้ด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนและสับสน
“ไม่ได้การณ์ล่ะ!”
เหลยถิงเวย, เหลยฉีเหยียน, หนานกงหยุนยี่และสมาชิกสามตระกูลต่างสั่นเทา ทุกคนเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเอ๋าหลูถึงบอกว่าจะจัดการกับเหลยกูก่อนหน้านี้
จากนั้นเอ๋าหลูก็เหลือบมองเหลยกูและคนอื่นๆด้วยความเย็นชาขณะที่ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าหนูน้อยตระกูลเหลย เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าจะสังหารเด็กนี่? หากข้าจะปกป้องเขาในวันนี้ เจ้าจะเริ่มสู้กับข้าผู้นี้หรือไม่?”
บรึฟ!
ขณะที่สิ้นเสียงของเอ๋าหลู กลิ่นอายสังหารของเจ้าอสูรจากทะเลลึกไร้สิ้นสุดก็พลุ่งพล่านทันทีขณะที่ดวงตาของพวกเขามีแต่กลิ่นอายสังหาร พวกเขามีท่าทีราวกับว่าพวกเขากำลังจะทำลายเมืองเทพประทานนี้ลงไปทันทีที่เอ๋าหลูออกคำสั่ง
“ข้า….”
สีหน้าของเหลยกูซีดเผือดราวกับคนตายขณะที่เขากระพริบตาอย่างว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่งและกัดฟันพูดว่า “ท่านใต้เท้าเอ๋าหลู คนผู้นี้เป็นสายลับจากทวีปจักรพรรดิบูรพาขอรับ!”
“บัดซบ!”
เอ๋าหลูตอบกลับทันที เขาจ้องไปที่สมาชิกตระกูลเหลยและพูดว่า “หากเด็กคนนี้เป็นสายลับ เช่นนั้นตระกูลเหลยของพวกเจ้าทั้งหมดก็เป็นสายลับ เจ้ามองข้าเพื่อ? เจ้าเชื่อไหมว่าข้าจะสังหารเจ้าด้วยฝ่ามือเดียว?!”
“เจ้าคงเหนื่อยจะมีชีวิตอยู่แล้วสินะ!”
เหลยถิงเวยและผู้อาวุโสตระกูลเหลยนับไม่ถ้วนต่างคำรามออกมาด้วยความเดือดดาล แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเคลื่อนไหว กฎของตระกูลนั้นสำคัญมาก หลังจากที่เหลยกูตะโกนให้หยุดก่อนหน้านี้ ตราบใดที่เหลยกูยังไม่ได้ออกคำสั่ง แม้แต่เหลยถิงเวยก็ไม่กล้าที่จะล้ำเส้นอำนาจของเขา
เหลยกูดูแก่ชรามากและแม้แต่คิ้วของเขายังขาวแล้ว เมื่อเขาได้ยินคำพูดของเจียงอี้ ใบหน้าของเขาก็ไม่เผยอารมณ์ใดๆขณะที่เขาตอบอย่างเฉยเมยว่า “เจียงอี้ เจ้าเป็นอัจฉริยะรุนเยาว์จริงๆ ในปีนี้ตาเฒ่าผู้นี้อายุเจ็ดสิบแปดปีแล้วและมันไม่ยุติธรรมจริงๆที่ข้าลงมือกับเจ้า แต่…โลกนี้ไม่เคยยุติธรรมแต่แรกอยู่แล้ว เจ้าสังหารลูกหลานตระกูลเหลยไปหลายคนและตาเฒ่าผู้นี้คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสังหารเจ้าในวันนี้!”
เหลยกูยื่นมือของเขาออกมาซึ่งมันค่อยๆควบรวมแก่นแท้พลังไปด้วย ก่อนที่การโจมตีของเขาจะก่อร่างขึ้นมา กลิ่นอายสยบโลกาก็ถูกปล่อยออกมาจากฝ่ามือของเขาซึ่งมันทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นรู้สึกว่าดวงจิตของพวกเขาสั่นสะเทือน
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
และในขณะนั้นเอง เสียงหัวเราะของผู้สูงอายุที่มีพลังดังก้องมาจากทางตะวันออก เสียงนี้เป็นเสียงราวกับว่ามันดังก้องกังวานไปนับล้านกิโลเมตรซึ่งมันเหมือนเป็นหมอกเมฆที่อยู่ไกลแสนไกล เสียงอันทรงพลังนั้นดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้าหนูน้อยตระกูลเหลย ปีนี้เจ้าอายุเจ็ดสิบแปดปีแล้ว? ข้าผู้นี้อายุมากกว่าเจ็ดแสนปีแล้ว หากข้าจะลงมือเคลื่อนไหวและจัดการกับเจ้า มันจะไม่ยุติธรรมหรือไม่?”
“อายุมากกว่าเจ็ดแสนปี….”
ผู้คนมากมายกลอกตา หากพวกเขาฟังไม่ผิดเพี้ยน เช่นนั้นคนผู้นั้นคงเสียสติไปแล้ว อายุมากกว่าเจ็ดแสนปีคืออะไรกัน? มนุษย์นั้นสามารถมีชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่ศตวรรษ และแม้ว่าพวกเขาจะไปถึงขอบเขตกึ่งเทพแล้วก็ตาม สัตว์อสูรที่มีอายุยืนยาวกว่านี้ พวกเขาก็มีชีวิตอยู่ได้เพียงสามหรือสี่พันปีเท่านั้น แต่นี่กลับอยู่มาเจ็ดแสนปี? ไม่ใช่ว่าบุคคลผู้นี้คือพระเจ้าหรอกหรือ?
“หืม?”
เหลยถิงเวย, หนานกงหยุนยี่, ลู่หลี่, หวงฝูฉีและคนอื่นๆต่างสั่นเทา ผู้อาวุโสที่สำคัญจากตระกูลบางตระกูลเองก็มีการเปลี่ยนท่าที ส่วนเหลยกูเองก็หยุดการโจมตีที่ฝ่ามือของเขาขณะที่เขามองไปยังทิศตะวันออกด้วยท่าทางที่หนักอึ้ง
“อ๊ะ? ท่านบรรพบุรุษมาที่นี่จริงๆหรือ?”
องค์หญิงเชียนเชียนประหลาดใจขณะที่นางหันหน้าไปทันทีและพึมพำเบาๆ สีหน้าของเทวาทมิฬเองก็ยังเผยร่องรอยของความประหลาดใจด้วยเช่นกัน ม่านพลังสีทองของเขาหายไปขณะที่เขามีท่าทางที่เคารพและศรัทธา
“เสียงนี้มัน…”
ดวงจิตของเจียงอี้สั่นและดวงตาที่หรี่ลงของเขาสว่างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาคุ้นเคยกับเสียงนี้มาก เกราะเมฆาอัคคี, วิชาหลีกสวรรค์และหญ้ามังกรยาจกของเขาล้วนได้มาจากบุคคลผู้นี้
ใช่แล้ว!
เจ้าของเสียงนี้เป็นเสียงของราชาปีศาจในเมืองเฟิงตูในราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับ ผู้พิทักษ์ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับ!
ฟรึ่บ! ฟรั่บ! ฟรึ่บ!
ร่างสิบร่างบินมาจากเมืองเทพประทานอย่างรวดเร็ว ซือถูอ้าวนำกลุ่มผู้เชี่ยวชาญของตระกูลซือถูมายังยอดเขานทีสวรรค์ทันที บุคคลสิบคนที่อยู่ด้านหน้าล้วนแต่ชรามากแล้วและคนที่อยู่ข้างหน้าเลยก็คือปรมาจารย์ตระกูลเหลย ทั้งสิบคนบินไปข้างเหลยกูและมองไปทางตะวันออกด้วยท่าทางเคร่งขรึม จี๊! จี๊!
มีแสงสีรุ้งพาดผ่านท้องฟ้ามาจากทางตะวันออก มันก่อตัวเป็นเส้นทางสวรรค์เหมือนสายรุ้งจริงๆ ที่อีกฟากของเส้นทางนั้น มีร่างสี่ร่างโผล่ออกมาเป็นชายสองและหญิงอีกสองคน บุคคลทั้งสี่นี้มีกลิ่นอายที่พรั่งพรูและจอมยุทธที่อ่อนแอกว่าก็ยังรู้สึกถึงแรงกดดันขนาดพวกเขายังคงอยู่ห่างออกไปสิบล้านกิโลเมตร
“เจ้าแห่งอสูร!”
หลายๆคนอุทานออกมาเบาๆ มีเพียงเจ้าอสูรของเผ่าปีศาจเท่านั้นที่จะมีกลิ่นอายเช่นนี้ จากสถานการณ์แล้ว เจ้าอสูรทั้งสี่นี้เป็นเพียงผู้เปิดทาง?
อย่างที่คาดไว้จริงๆ!
มีรถม้าศึกขนาดมหึมาบินมาจากด้านหลัง รถศึกนั้นหุ้มด้วยทองคำม่วงและมีขนาดมากกว่าสามร้อยเมตรและถูกลากโดยอาชาสีขาวราวหิมะสองตัว และเขาของมันเป็นสีทอง ปีกทั้งสองคู่ของมันกระพืออยู่เรื่อยๆขณะที่บินลากรถม้าศึกนี้มาด้วย “อาชามังกรเขาทอง!”
สายตาของผู้รอบรู้บางคนหันมา อันที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่อาชาเหินฟ้าแต่พวกมันเป็นสัตว์อสูรที่เร็วที่สุดจากทะเลลึกไร้สิ้นสุด เขาของอาชามังกรสองตัวนี้พัฒนาเป็นสีทองนั่นหมายความว่าพวกมันทะลวงความแข็งแกร่งไปถึงเจ้าอสูรแล้ว
ทั้งสองด้านของรถม้า มีบุคคลสี่คนที่ยืนเฝ้าอยู่และกลิ่นอายของพวกเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าสี่คนที่อยู่ด้านหน้าเลย นอกจากนี้ยังมีบุคคลอีกสี่คนที่ตามหลังรถม้าศึกมาด้วยและไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขาเป็นเจ้าอสูรด้วย
เจ้าอสูรสิบสองตน และยังมีอาชามังกรเขาทองอีกสองตัว รวมเป็นเจ้าอสูรสิบสี่ตน!
ขอบเขตความแข็งแกร่งของเผ่าปีศาจคล้ายกับเผ่ามนุษย์ เจ้าอสูรเป็นสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดและความแข็งแกร่งของพวกนั้นก็เทียบได้กับเหล่ากึ่งเทพ เทวาทมิฬเองก็เป็นเจ้าอสูรเช่นกัน และเมื่อเขาปรากฏตัว แม้แต่เหลยถิงเวยและคนอื่นๆก็ยังต้องไปต้อนรับเขาและคำนับเขาด้วยความเคารพ เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งและสถานะของเขาคือเจ้าอสูร!
และในตอนนี้…
เจ้าอสูรสิบสี่ตนเป็นองครักษ์และเป็นผู้รับใช้จริงๆ? เห็นได้ชัดว่าสถานะของบุคคลที่อยู่ภายในรถม้าศึกนั้นจะต้องเป็นจักรพรรดิแห่งทะเลลึกไร้สิ้นสุด!
ทะเลลึกไร้สิ้นสุดกว้างใหญ่มากและมันใหญ่กว่าทะเลราตรีสีเลือดถึงร้อยเท่า มันเป็นสถานที่ที่เผ่าปีศาจชุมนุมกันใหญ่ที่สุด ย้อนกลับไปในตอนนั้น ปีศาจผู้ยิ่งใหญ่มากมายที่ถูกจักรพรรดิลี้ลับไล่ล่าได้ย้ายไปยังทะเลลึกไร้สิ้นสุด การที่เผ่าเทพประทานสามารถอยู่รอดได้จนถึงทุกวันนี้ก็เนื่องมาจากการเป็นพันธมิตรกับทะเลลึกไร้สิ้นสุด ดังนั้นทุกคนจึงเข้าใจทันทีว่าเหตุใดผู้อาวุโสจากสี่ตระกูลหลักถึงได้ปรากฏตัวขึ้นและมีการแสดงออกที่เคร่งขรึมเช่นนี้ “มีบางอย่างไม่ถูกต้อง…”
หลายคนเกิดคำถามขึ้นมาทันที เสียงที่แก่ชราและมีพลังนั้นบอกว่าจะลงมือกับเหลยกู? เผ่าเทพประทานและทะเลลึกไร้สิ้นสุดเป็นพันธมิตรกัน หากไม่มีเผ่าเทพประทาน ทะเลลึกไร้สิ้นสุดและทวีปจักรพรรดิบูรพาก็จะไม่มีเขตกั้นระหว่างกัน แล้วเหตุใดเจ้าของเสียงนั้นจึงบอกว่าเขาต้องการลงมือกับเหลยกูล่ะ?
ฟรึ่บ!
เจ้าอสูรทั้งสี่เป็นกลุ่มแรกที่มาถึงขณะที่เทวาทมิฬอุ้มองค์หญิงเชียนเชียนไปทักทายพวกเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเชียนเชียนก็บินไปยังรถม้าศึกก่อนที่รถม้านั้นจะค่อยๆหยุดลง
ฟรึ่บ! ฟรั่บ! ฟรึ่บ!
เหล่าเจ้าอสูรทั้งหมดบินไปและคุกเข่าข้างหนึ่งพร้อมกับตะโกนว่า “คารวะองค์จักรพรรดิ!”
ผู้อาวุโสตระกูลเหลย เหลยป้านเซียนนำผู้เชี่ยวชาญกึ่งเทพทั้งหมดไปและป้องกำปั้นพร้อมคำนับ “คารวะท่านใต้เท้าเอ๋าหลู!”
“คารวะท่านใต้เท้าเอ๋าหลู!”
เหลยถิงเวยและคนอื่นๆมารวมตัวกันอย่างรวดเร็วและคำนับด้วยการป้องกำปั้นและทักทายอย่างเคารพเสียงดัง พวกผู้อาวุโสก้มหัวของพวกเขาแล้ว แล้วพวกเขาจะกล้าไม่ทำเช่นนั้นได้อย่างไร?
“ฮึ่ม!”
เสียงพ่นลมอันเย็นเยียบดังก้องขณะที่รถม้าศึกสีทองม่วงเปล่งประกายและหายวับไปกลางอากาศ จากนั้นผู้อาวุโสชุดดำที่มีผมสีเขียวก็ปรากฏขึ้นบนฟ้าขณะที่องค์หญิงเชียนเชียนจับมือของเขาอย่างอบอุ่น
ผู้อาวุโสที่มีผมสีเขียวนั้นดูแก่มากขณะที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยย่น กลิ่นอายจากร่างของเขาทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับว่าเขาเป็นสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงอันเป็นนิจนิรันดร์ เขาไม่ได้มองไปยังเจ้าอสูรที่คุกเข่าอยู่หรือแม้แต่เหลยป้านเซียน, เหลยกูและคนอื่นๆเลย แต่เขากลับมองไปที่เจียงอี้และยิ้ม “เจ้าหนู ไม่ได้เจอกันนานเลย”
ปากของเจียงอี้ยังคงมีเลือดอยู่และใบหน้าของเขายังคงเจ็บปวดอยู่ เขาจ้องไปที่ผู้อาวุโสขณะที่กลืนน้ำลายพร้อมกับเลือดเต็มปากแล้วตอบว่า “ท่านผู้อาวุโส เรา….ไม่เคยเจอกันมาก่อนใช่ไหมขอรับ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
เอ๋าหลูหัวเราะออกมาและไม่มีเจตนาจะตำหนิเจียงอี้เลย เขาพยักหน้าและพูดว่า “ใช่แล้ว เจ้าไม่เคยเห็นหน้าข้ามาก่อน แต่ข้าเคยเห็นหน้าเจ้ามาก่อน ข้านี่ก็แก่แล้วจริงๆล่ะ”
“ท่านบรรพรบุรุษไม่แก่เลยนะเจ้าคะ!”
องค์หญิงเชียนเชียนยิ้มหวานและมองไปที่เจียงอี้ทันทีและถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านบรรพบุรุษ ท่านเพิ่งจะกลับมาไม่ใช่หรือ? แล้วท่านรู้จักเจียงอี้ได้อย่างไรกัน?”
คำถามของเชียนเชียนเป็นคำถามของผู้คนมากมายที่อยากจะถามเช่นนี้เหมือนกันเอ๋าหลูลูบหัวเชียนเชียนด้วยความเอ็นดูแล้วหัวเราะขณะที่พูดว่า “เชียนเชียน ที่ข้าสามารถกลับมาได้ ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะเด็กคนนี้ หากเด็กคนนี้ไม่เห็นถึงการเตรียมการของจักรพรรดิลี้ลับ ข้าเองก็อาจจะต้องแก่ตายอยู่ในราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับไปเสียแล้วล่ะ”
“อ๊ะ?”
ดวงตาของเชียนเชียนเป็นประกายขณะที่เทวาทมิฬและคนอื่นๆมองเจียงอี้ด้วยความประหลาดใจและความขอบคุณ ทุกคนตกอยู่ในความงุนงงและมองเจียงอี้ด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนและสับสน
“ไม่ได้การณ์ล่ะ!”
เหลยถิงเวย, เหลยฉีเหยียน, หนานกงหยุนยี่และสมาชิกสามตระกูลต่างสั่นเทา ทุกคนเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเอ๋าหลูถึงบอกว่าจะจัดการกับเหลยกูก่อนหน้านี้
จากนั้นเอ๋าหลูก็เหลือบมองเหลยกูและคนอื่นๆด้วยความเย็นชาขณะที่ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าหนูน้อยตระกูลเหลย เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าจะสังหารเด็กนี่? หากข้าจะปกป้องเขาในวันนี้ เจ้าจะเริ่มสู้กับข้าผู้นี้หรือไม่?”
บรึฟ!
ขณะที่สิ้นเสียงของเอ๋าหลู กลิ่นอายสังหารของเจ้าอสูรจากทะเลลึกไร้สิ้นสุดก็พลุ่งพล่านทันทีขณะที่ดวงตาของพวกเขามีแต่กลิ่นอายสังหาร พวกเขามีท่าทีราวกับว่าพวกเขากำลังจะทำลายเมืองเทพประทานนี้ลงไปทันทีที่เอ๋าหลูออกคำสั่ง
“ข้า….”
สีหน้าของเหลยกูซีดเผือดราวกับคนตายขณะที่เขากระพริบตาอย่างว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่งและกัดฟันพูดว่า “ท่านใต้เท้าเอ๋าหลู คนผู้นี้เป็นสายลับจากทวีปจักรพรรดิบูรพาขอรับ!”
“บัดซบ!”
เอ๋าหลูตอบกลับทันที เขาจ้องไปที่สมาชิกตระกูลเหลยและพูดว่า “หากเด็กคนนี้เป็นสายลับ เช่นนั้นตระกูลเหลยของพวกเจ้าทั้งหมดก็เป็นสายลับ เจ้ามองข้าเพื่อ? เจ้าเชื่อไหมว่าข้าจะสังหารเจ้าด้วยฝ่ามือเดียว?!”