เจียงอี้ส่งข้อความเสียงเย็นชาและอธิบายว่า “เจ้าแค่ต้องบินไปช้าๆ แค่บินไปในทางที่ข้าบอกให้บิน ไม่ต้องกังวล! หากเจ้าทนไม่ไหว ข้าจะให้เจ้าลงมาทันที”
ซ่งจงมีสีหน้าลำบากใจ แต่เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าเจียงอี้มีความสามารถพิเศษ เขาก็กัดฟันและค่อยๆบินขึ้นไป แต่ความเร็วของเขานั้นแทบจะช้ากว่ากระต่ายด้วยซ้ำ
“พี่ซ่ง นั่นท่านทำอะไรน่ะ?”
“พี่ซ่ง บ้าไปแล้วหรอ? รีบลงมาเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวก็ตายเอาหรอก!”
คนอื่นที่เหลือพากันตกใจกับซ่งจง แต่เขาก็ฝืนยิ้มและพูดว่า “พวกเจ้าจะกรีดร้องหาอะไรกัน? นี่คือคำสั่งของใต้เท้าเสวี่ย พวกเจ้าทุกคนหุบปากไปซะ!” “ใต้เท้าเสวี่ย?”
ทุกคนจึงเงียบทันที ทุกคนรู้จักชื่อของเจียงอี้ในนามเสวี่ยอี และพวกเขาไม่มีทางอื่นเลยนอกจากคอยมองซ่งจงค่อยๆบินขึ้นไปบนฟ้า
สามเมตร หกเมตร….สิบเมตร!
สีหน้าของซ่งจงเริ่มรุนแรงขึ้นขณะที่ความเร็วของเขาช้าลง เมื่อเขาอยู่ที่ความสูงสิบเมตร เจียงอี้ก็มีสมาธิเป็นอย่างมากและคอยสัมผัสถึงรัศมีสามร้อยเมตรรอบร่างของซ่งจงเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา
ฮู่ ฮู่!
เส้นสามเส้นบางๆที่รู้ถึงการปรากฏของซ่งจงเริ่มบินผ่านมาราวกับขนนก ด้านเจียงอี้ก็ไม่ได้ขอให้ซ่งจงหลบเลี่ยงมันขณะที่เขาเชื่อว่าโล่ศักดิ์สิทธิ์ของซ่งจงนั้นแข็งแกร่งพอที่จะทนได้
บรึฟ! และมันก็จริง!
เมื่อเส้นบางๆสามเส้นผ่านไปที่โล่ศักดิ์สิทธิ์ของซ่งจง มันก็สว่างขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า จากนั้นโล่ศักดิ์สิทธิ์ก็สั่นและหรี่ลงเล็กน้อย แต่มันก็ไม่แตก
บรึฟ!
ซ่งจงตกใจมากจนใบหน้าของเขาซีดเผือดขณะที่เขารีบเทแก่นแท้พลังเพื่อปกป้องโล่ศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่กล้าบินต่อไปเพราะเขาไม่รู้สึกอะไรเลยเมื่อถูกโจมตีก่อนหน้านี้ หากเขาบินต่อไป เขากลัวว่าตัวเองจะจบลงเหมือนสัตว์อสูรเหล่านั้นและกลายเป็นหมอกโลหิตไป
“ขึ้นไปอีกสิบเมตร!”
เสียงที่ไม่แยแสของเจียงอี้ถูกส่งมาและซ่งจงก็มีทีท่าคร่ำครวญราวกับพ่อของเขาเพิ่งเสียชีวิต เขาหยุดครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟันบินขึ้นไป เพราะเขาไม่กล้าท้าทายเจียงอี้
บรึฟ!
โล่ศักดิ์สิทธิ์ของซ่งจงสั่นสะท้านก่อนที่จะสว่างไสวไปด้วยแสง คราวนี้ดวงจิตของเขาแทบจะหายไปเมื่อโล่ศักดิ์สิทธิ์ของเขาแตกออก แต่โชคยังดีที่ลมดารานั้นกระจายไปเพราะโล่ศักดิ์สิทธิ์และมันไม่ได้โจมตีร่างกายของเขา
“ท่านใต้เท้าเสวี่ย โปรดยกโทษให้ข้าด้วย…”
ซ่งจงเปิดโล่ศักดิ์สิทธิ์ของเขาอีกครั้งและส่งข้อความถึงเจียงอี้ทันที ขณะที่เจียงอี้ลืมตาขึ้นมาและตอบว่า “เจ้าคนขี้ขลาด พอเถอะ ลงมาได้แล้ว พักผ่อนและคอยดูลาดเลาไว้ด้วย”
ซ่งจงรีบบินลงมาด้วยความเร็วที่เร็วที่สุดและรู้สึกราวกับว่าภาระอันหนักอึ้งถูกยกออกไปแล้ว ด้านเจียงอี้ก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับลมดารามากขึ้นเล็กน้อย เส้นบางๆสามเส้นนั้นทำลายโล่ศักดิ์สิทธิ์ของซ่งจงไม่ได้ แต่ห้าเส้นนั้นทำได้ ซ่งจงอยู่ราวๆขอบเขตเทียนจุนขั้นที่สามและหากเขายังบินขึ้นไปอีกสิบเมตร เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน “น่าสยดสยองอะไรเช่นนี้!”
เจียงอี้มองฟ้าอันไกลโพ้นผ่านหน้าต่างกระโจมและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว โล่ศักดิ์สิทธิ์ของเขาอ่อนแอมากและแม้ว่าโล่ศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิงอัสนีของเขายังผ่านมันไปได้ แต่เขาจะกล้าปล่อยมันออกมาอย่างไม่มีเหตุผลไหม? ดังนั้น ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา หากเขากล้าบินขึ้นไปบนฟ้าสิบเมตรนั้น เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
ลมดาราไม่มีสีและมองไม่เห็น ซึ่งจอมยุทธทั่วไปจะไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาเว้นแต่ว่าดวงจิตวิญญาณของพวกเขาจะแข็งแกร่งกว่าเจียงอี้สามเท่า หากเจียงอี้เข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ เขาจะตรวจพบพวกมันได้ และแม้ว่าเขาจะสัมผัสได้ แต่เขาจะหลบมันได้หรือ? ลมดาราพวกนั้นเร็วเกินไปและพวกมันจะรู้ทันทีที่มีบางสิ่งพุ่งขึ้นไปบนฟ้า เขาคงไม่มีเวลาแม้แต่จะใช้วิชาหลีกสวรรค์
“ข้าต้องไม่บินขึ้นไปบนฟ้าในช่วงกลางคืน!”
เจียงอี้เตือนตัวเองและไม่ได้ตรวจสอบมันอีกต่อไป เขาหลับตาลงและฝึกฝน ในตอนนี้เขาไม่สามารถนำราชวังจักรพรรดิออกมาได้และเขาก็ไม่ได้อยู่ในเมืองเทพประทานด้วย ดังนั้นความเร็วในการฝึกฝนของเขาจึงเพิ่มขึ้นเพียงสิบเท่า แต่การมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยนั้นก็ถือว่าดีแล้ว
ในเวลาเดียวกัน เจียงอี้ก็เข้าถึงสวรรค์สยบเพลิงอเวจี ศาสตร์เวทย์นี้ก้าวหน้ามาค่อนข้างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และเจียงอี้ก็สามารถควบแน่นเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ได้แล้ว หากเขาจะต้องก้าวหน้าไปให้ได้มากกว่านี้ เขาจะต้องรวบรวมเปลวเพลิงนทีเก้าสวรรค์ให้ได้ มีเปลวเพลิงอัสนีเหลืออยู่ในไข่มุกวิญญาณเพลิงเพียงห้าในสิบส่วนเท่านั้น หากเปลวเพลิงอัสนีของเขาหมดลงในการต่อสู้ในอนาคต เขาจะไม่มีเปลวเพลิงที่ทรงพลังกว่านี้เหลืออีกแล้วและความสามารถในการป้องกันของเขาก็จะลดลงมาก เขาสามารถใช้เปลวเพลิงอื่นเพื่อสร้างโล่ศักดิ์สิทธิ์ได้ก็จริง แต่ความสามารถในการป้องกันนั้นหาที่เปรียบมิได้ เนื่องจากเปลวเพลิงอัสนีเป็นเปลวเพลิงที่แรงที่สุดที่เขามีในตอนนี้แล้ว
ค่ำคืนผ่านพ้นไปในชั่วพริบตา
ในช่วงรุ่งสาง ทุกคนทานอาหารกันอย่างรวดเร็วและรีบจากไปทันที เจียงอี้ได้ทำการตรวจสอบพื้นที่อีกครั้งและสังเกตเห็นปรากฏการณ์ประหลาด ทันทีที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ลมดาราบนฟ้าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย มันไม่ปรากฏเหนือพื้นดินสามสิบกิโลเมตรเลยด้วยซ้ำ
ถานไถชี่ได้เปลี่ยนเป็นชุดขาวที่มีผ้าคลุมสีขาวขณะที่ดวงตาของนางไม่กล้ามองไปที่เจียงอี้ เมื่อเจียงอี้เหลือบมองนาง นางจะเผยความอับอายขณะที่เจียงอี้นั้นกำลังเย้ยหยันนางอยู่ในใจ เขาค่อนข้างเบื่อหน่ายอุบายเล็กๆของหญิงคนนี้แล้ว
รถม้ายังคงบินต่อไปขณะที่เจียงอี้คอยสอดส่องตลอดทาง ทำให้การเดินทางนั้นปลอดภัยยิ่งขึ้น มีโจรอยู่ในทวีปจักรพรรดิบูรพามากเกินไปเนื่องจากมันมีฐานโจรทุกๆหมื่นกิโลเมตร และหลายๆที่ก็ถูกซ่อนไว้เป็นอย่างดี หากเจียงอี้ไม่ได้เข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ขณะที่ปล่อยญาณศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย เขาอาจจะไม่เห็นพวกนั้นได้
ฐานทัพกองโจรทุกฐานจะมีเขตลวงตา และทุกเขตลวงตาจะมีระลอกคลื่นอยู่ ซึ่งเจียงอี้จะตรวจจับพวกเขาได้จากระลอกคลื่นเหล่านั้น
เจียงอี้มักจะพบหน่วยสอดแนมจากกองโจรตลอดทาง ราวกับว่าเจียงอี้มีดวงตาที่มองเห็นทุกสรรพสิ่งซึ่งมันเป็นเพราะญาณศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่หน่วยสอดแนมทั้งหมดไม่สามารถหลบหนีการตรวจจับของเขาได้ ทุกครั้งที่เจียงอี้สังเกตเห็นหน่วยสอดแนม เขาจะให้ซ่งจงนำคนไปสังหารพวกนั้นซะ หน่วยสอดแนมมักจะอ่อนแอ ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่ถูกแต่งตั้งให้เป็นหน่วยสอดแนม เพราะอาจพินาศได้ทุกเมื่อ
หลังจากเดินทางอย่างสงบสุขมาตลอดทั้งเช้า เมื่อเข้าช่วงเที่ยง เจียงอี้ก็รีบตะโกนออกมาว่า “ลงไปและหาที่ซ่อนเดี๋ยวนี้!”
ฟรึ่บ! ฟรั่บ! ฟรึ่บ!
ซ่งจงและคนอื่นๆไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขาก็รีบลงมือทันทีขณะที่องครักษ์นำรถม้าทั้งสองคันลงมาจอดและรีบวิ่งเข้าไปในหุบเขาเล็กๆ พวกเขาเก็บรถม้าและซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาขณะที่สอดแนมด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์
เจียงอี้เองก็ซ่อนตัวพร้อมกับคนอื่นๆ และเมื่อเขาเห็นทุกคนใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ออกคำสั่งด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ทุกคนอย่าปล่อยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ กลั้นหายใจและถอนกลิ่นอายพวกเจ้าทั้งหมด ห้ามใครเปล่งเสียง ถานไถชี่ ทำให้เด็กสองคนสลบซะ”
ปึก! ปึก!
สาวใช้ไม่กล้าเคลื่อนไหวอะไร แต่ถานไถชี่เด็ดเดี่ยวมาก นางใช้มือทุบหลังศีรษะของเด็กทั้งสองทันทีและทำให้พวกเขาสลบไป ซ่งจงและคนอื่นๆเข้าใจว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นขณะที่พวกเขาถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาทันทีและนอนราบกับพื้นขณะที่พวกเขากลั้นหายใจ
เจียงอี้เองก็ไม่ได้ขยายสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาเช่นกัน ดวงตาของเขาสั่นไหวขณะที่เขามองไปที่เสี่ยวเทียนและเสี่ยวหยี เขาคิดในใจว่าหากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ เขาจะนำเด็กทั้งสองเข้าไปในราชวังจักรพรรดิและจะหนีไปทันทีโดยไม่สนใจคนอื่นๆ
ฟรึ่บ! ฟรั่บ!
สิบห้านาทีต่อมา มีเสียงทะลุท้องฟ้าที่สะท้อนมาจากทิศตะวันออก ซึ่งมันตามมาด้วยกลิ่นอายที่ทรงพลังทันที เสียงระเบิดนั้นดังมาจากระยะไกลพร้อมกับเสียงคำรามของจอมยุทธและเสียงกรีดร้องที่ทำให้เลือดไหลเวียน
ตูม! ตูม! ตูม!
เสียงระเบิดดังขึ้นบ่อยครั้งขณะที่เทือกเขาก็สั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง ซ่งจงและคนอื่นๆมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างมาก
สองกองทัพกำลังต่อสู้กันบนฟ้า ไม่สิ…มันน่าจะเป็นกองทัพหนึ่งไล่ล่าและสังหารอีกกองทัพ ทั้งสองฝ่ายมีคนมากกว่าหมื่นคนและแค่ใช้ความรู้สึกธรรมดาๆก็พอจะรู้ว่ามีขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดอย่างน้อยร้อยคนในแต่ละฝ่าย และยังมีขอบเขตเทียนจุนอีกนับพัน
“ข้าขอวิงวอนต่อจักรพรรดิลี้ลับ โปรดช่วยพวกเราด้วยเถอะ!”
ถานไถชี่หมอบลงกับพื้นและใช้กริชกดที่คอของนาง เห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายนั้นเป็นกองโจรและไม่สำคัญว่านางจะตกไปอยู่ฝ่ายไหน นางจะยังคงกลายเป็นเครื่องระบายความเครียดของโจรเท่านั้น หากมันเป็นเช่นนั้น นางก็ขอตายเสียดีกว่า