ข้อมูลนี้ไม่ได้มีรายละเอียดและมีข้อความเพียงไม่กี่ข้อความในนั้นซึ่งเป็นข้อมูลของจีทิงยวี่และข้อมูลของหยูเวินและอีเพียวเพียว แต่ผลลัพธ์ก็ไม่เป็นไปตามต้องการ
จักรพรรดิแห่งเงาสั่งให้คนของเขาตรวจสอบผู้ที่มีชื่ออีเพียวเพียวและหยูเวินหลายสิบคน แต่พวกเขาต่างจากภาพวาดที่เจียงอี้วาดไว้ และข้อมูลของคนอื่นๆที่เหลือยังอยู่ระหว่างตรวจสอบและจะต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะตรวจสอบเสร็จ
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือไม่มีข่าวเกี่ยวกับอีเพียวเพียวและหยูเวินเลย
ในทำนองเดียวกันก็ไม่มีข่าวคราวของซูรั่วเสวี่ยเลยเช่นกัน บางทีนางอาจอยู่ลึกเข้าไปในโถงวรยุทธ นางอาจไม่ได้อยู่ในทวีปจักรพรรดิบูรพาหรือนางอาจจะตายไปแล้ว
แต่มีข้อมูลของจีทิงยวี่และตอนนี้นางอยู่เมืองจักรพรรดิอุดร นางเป็นผู้ดูแลโถงแห่งบาปในโถงหลักวรยุทธ มีข่าวลือว่านางมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหวู่นี่ และนอกจากข้อมูลนี้แล้วก็ไม่มีข้อมูลอื่นใดอีก
“จีทิงยวี่ หวู่นี่ โถงแห่งบาป!”
สีหน้าของเจียงอี้เปลี่ยนไปอย่างมากขณะที่ดวงตาเขาสั่นไหว เขามีความสงสัยอย่างมากที่ผู้บงการเรื่องยอดเขายอดเขานทีสวรรค์คือจีทิงยวี่ หวู่นี่และตระกูลหวู่!
ในทวีปเทียนชิง เจียงอี้ได้เจอกับความเฉลียวฉลาดของจีทิงยวี่แล้ว นางมีปัญญาราวกับปีศาจ ตอนที่เจียงอี้อยู่ทวีปเทียนชิง เขาเกือบถูกสังหารจากแผนการของจีทิงยวี่ นอกจากนี้ เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ใดวางแผนและคาดเดาได้ลางๆหลังจากเหตุการณ์นั้นและคอยหาเบาะแสอย่างระมัดระวังเท่านั้น
จีทิงยวี่รู้ถึงนิสัยของเจียงอี้และวิธีการของเฉียนว่านก้วนเป็นอย่างดี เมื่อนางกำลังวางแผนการได้โดยที่พวกเขาไม่รู้เรื่อง ทุกอย่างจึงนำไปสู่ผลที่ดีกว่าอยู่แล้ว แต่แน่นอนว่า…เรื่องทั้งหมดนี้เป็นการคาดเดาของเจียงอี้เนื่องจากเขาไม่มีหลักฐานใดๆ หากเขาต้องการให้จักรพรรดิเงาและคนของเขาสืบเรื่องต่อ มันอาจจบลงด้วยการไม่เจออะไรเลย ท้ายที่สุดแล้ว มันเป็นเมืองจักรพรรดิอุดร คงเป็นไปไม่ได้ที่สายลับทั่วไปจะแทรกซึมเข้าไปอยู่ในโถงหลักวรยุทธได้
เจียงอี้พึมพำอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ส่งเรื่องไปยังหัวหน้าเจ้าและให้พวกเขาตรวจสอบทุกอย่างเกี่ยวกับจีทิงยวี่และซูรั่วเสวี่ย โดยเฉพาะซูรั่วเสวี่ย ให้ส่งข้อมูลมาให้ข้าโดยเร็วที่สุด”
“ขอรับ ท่านใต้เท้า!”
จอมยุทธวัยกลางคนป้องมือของเขาและรับคำสั่งจากเจียงอี้ เจียงอี้เองก็ไม่ได้ถามถึงตัวตนและผู้บัญชาการของเขา เจียงอี้คาดไว้ว่าคนผู้นี้คงจะไม่รู้แม้กระทั่งตัวตนของตัวเองด้วยใช่ไหม? จักรพรรดิเงานั้นเป็นหน่วยข่าวกรองที่ดีที่สุดและจะไม่มีวันทำพลาดในเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นนี้
เจียงอี้หยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามอีกครั้ง“หากข้าต้องการคน เจ้าจะหาคนให้ข้าได้กี่คน? พวกเขาอยู่ขอบเขตอะไร? แล้วหากข้าต้องการศิลาสวรรค์ เจ้าจะให้ข้าได้เท่าไหร่?”
“นี่…”
จอมยุทธวัยกลางคนลังเลก่อนจะตอบว่า “ข้าน้อยผู้นี้ไม่ทราบได้เลยขอรับและจะต้องขอคำชี้แนะจากหัวหน้าของข้าก่อน”
“เช่นนั้นก็ไปเถอะ และรีบกลับมารายงานโดยเร็วด้วย”
เจียงอี้โบกมือและจอมยุทธวัยกลางคนก็ออกจากโรงเตี๊ยมไปอย่างเงียบๆและหายลับเข้าไปในฝูงชน ส่วนเจียงอี้ก็นั่งอยู่ในห้องของเขาครู่หนึ่ง จากนั้นซ่งจงก็กลับมา เขาเจอข้อมูลเรือลิขิตสวรรค์ของตระกูลถังแล้วและมันจะออกเดินทางสู่เมืองเพลิงสวรรค์ในอีกห้าวัน ครั้งนี้ ระยะทางค่อนข้างสั้นและทุกคนจะใช้จ่ายศิลาสวรรค์เพียงคนละสิบล้านก้อนเท่านั้น
เจียงอี้อยู่ที่นี่อย่างสงบขณะที่ลูกน้องของจักรพรรดิแห่งเงากลับมาในสามวันให้หลัง เขากล่าวว่า หากเจียงอี้ต้องการคน เขาสามารถระดมพลได้ห้าหมื่นคนในเขตแดนสวรรค์ภายในสองสัปดาห์ มีขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดอยู่ร้อยคนและทุกคนเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ หากเขาต้องการศิลาสวรรค์ มันยิ่งง่ายกว่านั้นอีก เนื่องจากพวกเขาสามารถหาศิลาสวรรค์ให้เจียงอี้ได้นับพันล้านก้อนและไม่จำเป็นต้องรายงานต่อผู้มีอำนาจสูงสุด และคราวนี้ พวกเขาได้นำศิลาสวรรค์กว่าหมื่นล้านก้อนมาให้เจียงอี้
ทะเลลึกไร้สิ้นสุดมีศิลาสวรรค์ไม่จำกัดและเจียงอี้ก็ไม่ได้คิดมาก การเดินทางไปยังซากปรักหักพังสลายบาปนั้นคือการช่วยเชียนเชียนตามหากล้วยไม้เขี้ยวเพลิง ขณะที่เขาเองก็มีสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับเอ๋าหลู ตอนนี้ สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือศิลาสวรรค์ เพราะทุกสิ่งที่นอกเหนือจากความเร็วในการฝึกฝนพันเท่านั้นช้าเกินไปสำหรับเจียงอี้
สองวันต่อมา ทุกคนออกเดินทางอีกครั้งและพวกเขาก็ขึ้นเรือลิขิตสวรรค์ของตระกูลถัง ครั้งนี้พวกเขาจะใช้เวลาเพียงสองสัปดาห์ก่อนจะถึงเมืองเพลิงสวรรค์ เจียงอี้ขึ้นเรือและจ่ายศิลาสวรรค์กว่าพันห้าร้อยล้านก้อนทันทีและเข้าไปฝึกฝนในห้องลับ
เขารู้สึกกดดันเป็นอย่างยิ่งเมื่อพบว่าจีทิงยวี่มีสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับหวู่นี่
หากเขาต้องการสังหารจีทิงยวี่ เขาจะต้องเผชิญหน้ากับหวู่นี่ และมีข่าวลือว่าหวู่นี่ค่อนข้างพัฒนาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและเขามีความหวังที่จะได้ขึ้นเป็นประมุขน้อยของตระกูลหวู่ ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาจะได้รับการคุ้มครองโดยยอดฝีมือจำนวนมากเมื่อใดก็ตามที่เขาออกท่องทวีป เว้นแต่ว่าเจียงอี้จะเพิ่มความแข็งแกร่งของเขา ไม่เช่นนั้นมันคงเป็นเรื่องยากที่เขาจะสังหารหวู่นี่และจีทิงยวี่ได้
สองสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็วและเจียงอี้ก็ตรงไปที่ห้องโดยสารหลังจากถูกปลุกให้ออกมาจากห้องนั้นทันที จากนั้นเขาก็พาถานไถชี่และคนอื่นๆบินไปยังเมืองเล็กๆที่อยู่ด้านล่าง
“เราได้กลับบ้านแล้ว ในที่สุดเราก็ได้กลับบ้านแล้ว!”
เมื่อเสี่ยวหยีเห็นเมืองที่คุ้นเคยที่ด้านล่าง นางก็คร่ำครวญเสียงดังทันทีขณะที่ถานไถชี่ ซ่งจงและสาวใช้ทั้งสองเองก็มีท่าทีเช่นกัน ตอนแรกพวกเขาคิดว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสได้กลับมาที่นี่อีกแล้วในชีวิตนี้ และไม่เคยคาดคิดว่าจะได้กลับบ้านในเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้ มันไม่ได้สำคัญกับพวกเขา แต่กับเด็กสองคนนั้นจะมีชีวิตที่มั่นคงและสามารถพัฒนาได้หากพวกเขากลับมายังตระกูล
“คารวะนายหญิง, นายน้อยและคุณหนู!”
ทหารที่อยู่ทางเหนือของเมืองจำถานไถชี่และคนอื่นๆได้ทันที ขณะที่พวกเขาคุกเข่าทักทาย และเมื่อเจียงอี้เห็นรอยยิ้มของเด็กๆ เขาก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจเช่นกัน
เขาเห็นผู้บัญชาการทหารสั่งให้ทหารคนหนึ่งรีบเข้าไปในเมือง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าจะต้องกลับไปรายงานตระกูลถานไถ เจียงอี้จึงรีบส่งข้อความเสียงถึงถานไถชี่ทันที “เอาล่ะ เจ้าถึงบ้านแล้วและข้าก็เสร็จธุระของข้าแล้ว ข้าจะไม่ไปยังตระกูลถานไถของเจ้าและจะหาโรงเตี๊ยมอยู่ ให้ซ่งจงจัดหาเรือลิขิตสวรรค์ให้ข้าด้วย ข้าจะไปยังเขตแดนอรหัง”
“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”
ถานไถชี่แสดงสีหน้าร้อนรนขณะที่นางส่งข้อความเสียงมาด้วยสายตาอ้อนวอน “ท่านใต้เท้าได้ช่วยเหลือเราอย่างใหญ่หลวง ท่านมาอยู่ที่ตระกูลของข้าเพื่อพักผ่อนก่อนและให้ข้าน้อยได้ตอบแทนท่านบ้าง อย่างกังวลไปท่านใต้เท้า ข้าน้อยจะไม่เปิดเผยข้อมูลของท่านและจะไม่ให้ตระกูลรับท่านเข้ามา ท่านสามารถปลอมเป็นทหารของข้าและอยู่ในนั้นได้อีกหลายวัน ข้าน้อยผู้นี้ยังคงต้องการคืนศิลาสวรรค์ทั้งหมดที่ใช้ไปด้วยเจ้าค่ะ”
“ไม่จำเป็นหรอก”
เจียงอี้โบกมือและตอบด้วยข้อความเสียงว่า “ศิลาสวรรค์เท่านั้นไม่ได้มากมายอะไร ข้าขอตัวก่อน ให้ซ่งจงหาโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองให้ข้าด้วย”
หลังจากที่เขาพูดจบ เจียงอี้ก็ลูบหัวเสี่ยวหยีและเสี่ยวเทียนพร้อมกับพูดเบาๆ “เสี่ยวหยี เสี่ยวเทียน เจ้าทั้งสองต้องเชื่อฟังแม่ของเจ้านะ อามีเรื่องที่ต้องทำและจะมาเยี่ยมเมื่อข้ามีเวลา”
เสี่ยวหยีพูดอย่างไม่เต็มใจว่า “ท่านอา จะไปไหน เสี่ยวหยีบอกว่าข้าจะไปหาท่านปู่เพื่อให้ท่านปู่ซื้อลูกอมที่ดีที่สุดให้ท่าน ท่านอามาเป็นแขกที่บ้านของเสี่ยวหยีได้ไหมเจ้าคะ?”
“ฮึฮึ!”
เจียงอี้ลูบจมูกของเสี่ยวหยีและเดินตรงเข้าเมืองไปโดยไม่พูดอะไรอีก และเมื่อทหารเห็นว่าเจียงอี้มีสัมพันธ์ที่ดีกับถานไถชี่และคนอื่นๆ พวกเขาจึงไม่กล้าขอค่าเข้าเมืองจากเจียงอี้
“ขอบคุณท่านใต้เท้าเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะจดจำความกรุณาของท่านใต้เท้าไปชั่วชีวิต!” ถานไถชี่ส่งข้อความถึงเจียงอี้อีกครั้งและเสียงของนางนั้นเหมือนจะเต็มไปด้วยความรู้สึก นางยังให้เสี่ยวหยีและเสี่ยวเทียนคำนับและป้องมือให้เจียงอี้ด้วยขณะที่เจียงอี้ไม่ได้หันหลังกลับมาแม้แต่ครั้งเดียว เขาหยุดเพียงชั่วขณะก่อนที่จะรีบก้าวขาเดินต่อไป
เจียงอี้ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำและหากเขาต้องตามถานไถชี่เข้าตระกูลถานไถ เขาจะต้องสร้างเรื่องที่ไม่จำเป็นอย่างแน่นอน และเมื่อเขาทำตามคำขอของเสี่ยวหยีแล้ว เขาก็จะไม่มากังวลเรื่องนี้อีกในภายหลัง
“ใต้เท้าเสวี่ยช่างเป็นผู้ที่พิเศษจริงๆ!”
ซ่งจงมองไปที่แผ่นหลังของเจียงอี้และถอนหายใจเล็กน้อย เขารู้จักเจียงอี้มาหลายเดือนแล้วและเขาก็รู้สึกชื่นชมและเลื่อมใสชายผู้นี้ที่บางครั้งนั้นเต็มไปด้วยความไม่แยแสและไร้หัวใจ และบางครั้งก็มีความอบอุ่นและความชอบธรรม
“เขาเป็นผู้ที่พิเศษจริงๆ”
ถานไถชี่เองก็ถอนหายใจขณะที่ดวงตาของนางเศร้าสร้อย จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงรถม้าที่ควบมาอย่างรวดเร็วจากทางเข้าประตูเมือง และเมื่อนางเห็นชายหนุ่มที่ดูโหดเหี้ยมและชั่วร้ายกำลังควบรถม้าศึกมา ใบหน้าที่มีเสน่ห์ของนางก็ซีดเผือดทันที
“น้องสะใภ้ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว!”
มีรุ่นเยาว์ที่ดูน่ากลัวสวมเสื้อคลุมที่งดงามและจ้องไปยังเรือนร่างที่ยั่วยวนของถานไถชี่ด้วยสายตาหื่นกระหาย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแววตาที่ดูประหลาดขณะที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “น้องชายพบจุดจบอันโชคร้ายนัก ข้าเสียใจกับน้องสะใภ้ด้วย ทางตระกูลจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่าง มีพี่อย่างข้าอยู่ใกล้ๆ เจ้าไม่ต้องกังวลใดๆเพราะจะไม่มีผู้ใดในเมืองเพลิงสวรรค์กล้ารังแกเจ้า”
ถานไถชี่เห็นความหื่นกามและความชั่วร้ายในดวงตาของรุ่นเยาว์ผู้นั้น ซึ่งมันทำให้ร่างอันบอบบางของนางสั่นสะท้าน นางรู้สึกราวกับว่านางไม่ควรกลับมายังเมืองเพลิงสวรรค์เลย
จักรพรรดิแห่งเงาสั่งให้คนของเขาตรวจสอบผู้ที่มีชื่ออีเพียวเพียวและหยูเวินหลายสิบคน แต่พวกเขาต่างจากภาพวาดที่เจียงอี้วาดไว้ และข้อมูลของคนอื่นๆที่เหลือยังอยู่ระหว่างตรวจสอบและจะต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะตรวจสอบเสร็จ
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือไม่มีข่าวเกี่ยวกับอีเพียวเพียวและหยูเวินเลย
ในทำนองเดียวกันก็ไม่มีข่าวคราวของซูรั่วเสวี่ยเลยเช่นกัน บางทีนางอาจอยู่ลึกเข้าไปในโถงวรยุทธ นางอาจไม่ได้อยู่ในทวีปจักรพรรดิบูรพาหรือนางอาจจะตายไปแล้ว
แต่มีข้อมูลของจีทิงยวี่และตอนนี้นางอยู่เมืองจักรพรรดิอุดร นางเป็นผู้ดูแลโถงแห่งบาปในโถงหลักวรยุทธ มีข่าวลือว่านางมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหวู่นี่ และนอกจากข้อมูลนี้แล้วก็ไม่มีข้อมูลอื่นใดอีก
“จีทิงยวี่ หวู่นี่ โถงแห่งบาป!”
สีหน้าของเจียงอี้เปลี่ยนไปอย่างมากขณะที่ดวงตาเขาสั่นไหว เขามีความสงสัยอย่างมากที่ผู้บงการเรื่องยอดเขายอดเขานทีสวรรค์คือจีทิงยวี่ หวู่นี่และตระกูลหวู่!
ในทวีปเทียนชิง เจียงอี้ได้เจอกับความเฉลียวฉลาดของจีทิงยวี่แล้ว นางมีปัญญาราวกับปีศาจ ตอนที่เจียงอี้อยู่ทวีปเทียนชิง เขาเกือบถูกสังหารจากแผนการของจีทิงยวี่ นอกจากนี้ เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ใดวางแผนและคาดเดาได้ลางๆหลังจากเหตุการณ์นั้นและคอยหาเบาะแสอย่างระมัดระวังเท่านั้น
จีทิงยวี่รู้ถึงนิสัยของเจียงอี้และวิธีการของเฉียนว่านก้วนเป็นอย่างดี เมื่อนางกำลังวางแผนการได้โดยที่พวกเขาไม่รู้เรื่อง ทุกอย่างจึงนำไปสู่ผลที่ดีกว่าอยู่แล้ว แต่แน่นอนว่า…เรื่องทั้งหมดนี้เป็นการคาดเดาของเจียงอี้เนื่องจากเขาไม่มีหลักฐานใดๆ หากเขาต้องการให้จักรพรรดิเงาและคนของเขาสืบเรื่องต่อ มันอาจจบลงด้วยการไม่เจออะไรเลย ท้ายที่สุดแล้ว มันเป็นเมืองจักรพรรดิอุดร คงเป็นไปไม่ได้ที่สายลับทั่วไปจะแทรกซึมเข้าไปอยู่ในโถงหลักวรยุทธได้
เจียงอี้พึมพำอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ส่งเรื่องไปยังหัวหน้าเจ้าและให้พวกเขาตรวจสอบทุกอย่างเกี่ยวกับจีทิงยวี่และซูรั่วเสวี่ย โดยเฉพาะซูรั่วเสวี่ย ให้ส่งข้อมูลมาให้ข้าโดยเร็วที่สุด”
“ขอรับ ท่านใต้เท้า!”
จอมยุทธวัยกลางคนป้องมือของเขาและรับคำสั่งจากเจียงอี้ เจียงอี้เองก็ไม่ได้ถามถึงตัวตนและผู้บัญชาการของเขา เจียงอี้คาดไว้ว่าคนผู้นี้คงจะไม่รู้แม้กระทั่งตัวตนของตัวเองด้วยใช่ไหม? จักรพรรดิเงานั้นเป็นหน่วยข่าวกรองที่ดีที่สุดและจะไม่มีวันทำพลาดในเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นนี้
เจียงอี้หยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามอีกครั้ง“หากข้าต้องการคน เจ้าจะหาคนให้ข้าได้กี่คน? พวกเขาอยู่ขอบเขตอะไร? แล้วหากข้าต้องการศิลาสวรรค์ เจ้าจะให้ข้าได้เท่าไหร่?”
“นี่…”
จอมยุทธวัยกลางคนลังเลก่อนจะตอบว่า “ข้าน้อยผู้นี้ไม่ทราบได้เลยขอรับและจะต้องขอคำชี้แนะจากหัวหน้าของข้าก่อน”
“เช่นนั้นก็ไปเถอะ และรีบกลับมารายงานโดยเร็วด้วย”
เจียงอี้โบกมือและจอมยุทธวัยกลางคนก็ออกจากโรงเตี๊ยมไปอย่างเงียบๆและหายลับเข้าไปในฝูงชน ส่วนเจียงอี้ก็นั่งอยู่ในห้องของเขาครู่หนึ่ง จากนั้นซ่งจงก็กลับมา เขาเจอข้อมูลเรือลิขิตสวรรค์ของตระกูลถังแล้วและมันจะออกเดินทางสู่เมืองเพลิงสวรรค์ในอีกห้าวัน ครั้งนี้ ระยะทางค่อนข้างสั้นและทุกคนจะใช้จ่ายศิลาสวรรค์เพียงคนละสิบล้านก้อนเท่านั้น
เจียงอี้อยู่ที่นี่อย่างสงบขณะที่ลูกน้องของจักรพรรดิแห่งเงากลับมาในสามวันให้หลัง เขากล่าวว่า หากเจียงอี้ต้องการคน เขาสามารถระดมพลได้ห้าหมื่นคนในเขตแดนสวรรค์ภายในสองสัปดาห์ มีขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดอยู่ร้อยคนและทุกคนเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ หากเขาต้องการศิลาสวรรค์ มันยิ่งง่ายกว่านั้นอีก เนื่องจากพวกเขาสามารถหาศิลาสวรรค์ให้เจียงอี้ได้นับพันล้านก้อนและไม่จำเป็นต้องรายงานต่อผู้มีอำนาจสูงสุด และคราวนี้ พวกเขาได้นำศิลาสวรรค์กว่าหมื่นล้านก้อนมาให้เจียงอี้
ทะเลลึกไร้สิ้นสุดมีศิลาสวรรค์ไม่จำกัดและเจียงอี้ก็ไม่ได้คิดมาก การเดินทางไปยังซากปรักหักพังสลายบาปนั้นคือการช่วยเชียนเชียนตามหากล้วยไม้เขี้ยวเพลิง ขณะที่เขาเองก็มีสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับเอ๋าหลู ตอนนี้ สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือศิลาสวรรค์ เพราะทุกสิ่งที่นอกเหนือจากความเร็วในการฝึกฝนพันเท่านั้นช้าเกินไปสำหรับเจียงอี้
สองวันต่อมา ทุกคนออกเดินทางอีกครั้งและพวกเขาก็ขึ้นเรือลิขิตสวรรค์ของตระกูลถัง ครั้งนี้พวกเขาจะใช้เวลาเพียงสองสัปดาห์ก่อนจะถึงเมืองเพลิงสวรรค์ เจียงอี้ขึ้นเรือและจ่ายศิลาสวรรค์กว่าพันห้าร้อยล้านก้อนทันทีและเข้าไปฝึกฝนในห้องลับ
เขารู้สึกกดดันเป็นอย่างยิ่งเมื่อพบว่าจีทิงยวี่มีสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับหวู่นี่
หากเขาต้องการสังหารจีทิงยวี่ เขาจะต้องเผชิญหน้ากับหวู่นี่ และมีข่าวลือว่าหวู่นี่ค่อนข้างพัฒนาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและเขามีความหวังที่จะได้ขึ้นเป็นประมุขน้อยของตระกูลหวู่ ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาจะได้รับการคุ้มครองโดยยอดฝีมือจำนวนมากเมื่อใดก็ตามที่เขาออกท่องทวีป เว้นแต่ว่าเจียงอี้จะเพิ่มความแข็งแกร่งของเขา ไม่เช่นนั้นมันคงเป็นเรื่องยากที่เขาจะสังหารหวู่นี่และจีทิงยวี่ได้
สองสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็วและเจียงอี้ก็ตรงไปที่ห้องโดยสารหลังจากถูกปลุกให้ออกมาจากห้องนั้นทันที จากนั้นเขาก็พาถานไถชี่และคนอื่นๆบินไปยังเมืองเล็กๆที่อยู่ด้านล่าง
“เราได้กลับบ้านแล้ว ในที่สุดเราก็ได้กลับบ้านแล้ว!”
เมื่อเสี่ยวหยีเห็นเมืองที่คุ้นเคยที่ด้านล่าง นางก็คร่ำครวญเสียงดังทันทีขณะที่ถานไถชี่ ซ่งจงและสาวใช้ทั้งสองเองก็มีท่าทีเช่นกัน ตอนแรกพวกเขาคิดว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสได้กลับมาที่นี่อีกแล้วในชีวิตนี้ และไม่เคยคาดคิดว่าจะได้กลับบ้านในเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้ มันไม่ได้สำคัญกับพวกเขา แต่กับเด็กสองคนนั้นจะมีชีวิตที่มั่นคงและสามารถพัฒนาได้หากพวกเขากลับมายังตระกูล
“คารวะนายหญิง, นายน้อยและคุณหนู!”
ทหารที่อยู่ทางเหนือของเมืองจำถานไถชี่และคนอื่นๆได้ทันที ขณะที่พวกเขาคุกเข่าทักทาย และเมื่อเจียงอี้เห็นรอยยิ้มของเด็กๆ เขาก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจเช่นกัน
เขาเห็นผู้บัญชาการทหารสั่งให้ทหารคนหนึ่งรีบเข้าไปในเมือง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าจะต้องกลับไปรายงานตระกูลถานไถ เจียงอี้จึงรีบส่งข้อความเสียงถึงถานไถชี่ทันที “เอาล่ะ เจ้าถึงบ้านแล้วและข้าก็เสร็จธุระของข้าแล้ว ข้าจะไม่ไปยังตระกูลถานไถของเจ้าและจะหาโรงเตี๊ยมอยู่ ให้ซ่งจงจัดหาเรือลิขิตสวรรค์ให้ข้าด้วย ข้าจะไปยังเขตแดนอรหัง”
“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”
ถานไถชี่แสดงสีหน้าร้อนรนขณะที่นางส่งข้อความเสียงมาด้วยสายตาอ้อนวอน “ท่านใต้เท้าได้ช่วยเหลือเราอย่างใหญ่หลวง ท่านมาอยู่ที่ตระกูลของข้าเพื่อพักผ่อนก่อนและให้ข้าน้อยได้ตอบแทนท่านบ้าง อย่างกังวลไปท่านใต้เท้า ข้าน้อยจะไม่เปิดเผยข้อมูลของท่านและจะไม่ให้ตระกูลรับท่านเข้ามา ท่านสามารถปลอมเป็นทหารของข้าและอยู่ในนั้นได้อีกหลายวัน ข้าน้อยผู้นี้ยังคงต้องการคืนศิลาสวรรค์ทั้งหมดที่ใช้ไปด้วยเจ้าค่ะ”
“ไม่จำเป็นหรอก”
เจียงอี้โบกมือและตอบด้วยข้อความเสียงว่า “ศิลาสวรรค์เท่านั้นไม่ได้มากมายอะไร ข้าขอตัวก่อน ให้ซ่งจงหาโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองให้ข้าด้วย”
หลังจากที่เขาพูดจบ เจียงอี้ก็ลูบหัวเสี่ยวหยีและเสี่ยวเทียนพร้อมกับพูดเบาๆ “เสี่ยวหยี เสี่ยวเทียน เจ้าทั้งสองต้องเชื่อฟังแม่ของเจ้านะ อามีเรื่องที่ต้องทำและจะมาเยี่ยมเมื่อข้ามีเวลา”
เสี่ยวหยีพูดอย่างไม่เต็มใจว่า “ท่านอา จะไปไหน เสี่ยวหยีบอกว่าข้าจะไปหาท่านปู่เพื่อให้ท่านปู่ซื้อลูกอมที่ดีที่สุดให้ท่าน ท่านอามาเป็นแขกที่บ้านของเสี่ยวหยีได้ไหมเจ้าคะ?”
“ฮึฮึ!”
เจียงอี้ลูบจมูกของเสี่ยวหยีและเดินตรงเข้าเมืองไปโดยไม่พูดอะไรอีก และเมื่อทหารเห็นว่าเจียงอี้มีสัมพันธ์ที่ดีกับถานไถชี่และคนอื่นๆ พวกเขาจึงไม่กล้าขอค่าเข้าเมืองจากเจียงอี้
“ขอบคุณท่านใต้เท้าเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะจดจำความกรุณาของท่านใต้เท้าไปชั่วชีวิต!” ถานไถชี่ส่งข้อความถึงเจียงอี้อีกครั้งและเสียงของนางนั้นเหมือนจะเต็มไปด้วยความรู้สึก นางยังให้เสี่ยวหยีและเสี่ยวเทียนคำนับและป้องมือให้เจียงอี้ด้วยขณะที่เจียงอี้ไม่ได้หันหลังกลับมาแม้แต่ครั้งเดียว เขาหยุดเพียงชั่วขณะก่อนที่จะรีบก้าวขาเดินต่อไป
เจียงอี้ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำและหากเขาต้องตามถานไถชี่เข้าตระกูลถานไถ เขาจะต้องสร้างเรื่องที่ไม่จำเป็นอย่างแน่นอน และเมื่อเขาทำตามคำขอของเสี่ยวหยีแล้ว เขาก็จะไม่มากังวลเรื่องนี้อีกในภายหลัง
“ใต้เท้าเสวี่ยช่างเป็นผู้ที่พิเศษจริงๆ!”
ซ่งจงมองไปที่แผ่นหลังของเจียงอี้และถอนหายใจเล็กน้อย เขารู้จักเจียงอี้มาหลายเดือนแล้วและเขาก็รู้สึกชื่นชมและเลื่อมใสชายผู้นี้ที่บางครั้งนั้นเต็มไปด้วยความไม่แยแสและไร้หัวใจ และบางครั้งก็มีความอบอุ่นและความชอบธรรม
“เขาเป็นผู้ที่พิเศษจริงๆ”
ถานไถชี่เองก็ถอนหายใจขณะที่ดวงตาของนางเศร้าสร้อย จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงรถม้าที่ควบมาอย่างรวดเร็วจากทางเข้าประตูเมือง และเมื่อนางเห็นชายหนุ่มที่ดูโหดเหี้ยมและชั่วร้ายกำลังควบรถม้าศึกมา ใบหน้าที่มีเสน่ห์ของนางก็ซีดเผือดทันที
“น้องสะใภ้ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว!”
มีรุ่นเยาว์ที่ดูน่ากลัวสวมเสื้อคลุมที่งดงามและจ้องไปยังเรือนร่างที่ยั่วยวนของถานไถชี่ด้วยสายตาหื่นกระหาย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแววตาที่ดูประหลาดขณะที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “น้องชายพบจุดจบอันโชคร้ายนัก ข้าเสียใจกับน้องสะใภ้ด้วย ทางตระกูลจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่าง มีพี่อย่างข้าอยู่ใกล้ๆ เจ้าไม่ต้องกังวลใดๆเพราะจะไม่มีผู้ใดในเมืองเพลิงสวรรค์กล้ารังแกเจ้า”
ถานไถชี่เห็นความหื่นกามและความชั่วร้ายในดวงตาของรุ่นเยาว์ผู้นั้น ซึ่งมันทำให้ร่างอันบอบบางของนางสั่นสะท้าน นางรู้สึกราวกับว่านางไม่ควรกลับมายังเมืองเพลิงสวรรค์เลย