แน่นอนว่าการเดินทางนั้นปลอดภัยมากจริงๆ เจียงอี้ไม่ออกมาเลยหลังจากที่เข้าไปในห้องโดยสาร ในตอนกลางคืน ทหารที่เขาจ้างมาจะหยุดเรือลิขิตสวรรค์และจะเดินทางต่อเมื่อรุ่งอรุณมาถึงเท่านั้น ในบางครั้งพวกเขาจะเห็นเรือลำใหญ่ผ่านไปและจะมีคำว่า อี ขนาดใหญ่อยู่ข้างเรือเหล่านั้น เห็นได้ชัดว่ามันคือกองทัพสายตรงของตระกูลอี
หลังจากบินไปได้หกถึงเจ็ดวัน เจียงอี้ก็มักจะเจอเรือลิขิตสวรรค์ขนาดกลางหรือเล็กกว่าซึ่งมีนายน้อยและคุณหนูอยู่บนเรือเหมือนกัน แน่นอนว่านายน้อยและคุณหนูเหล่านั้นน่าเกรงขามกว่าเขามากนัก พวกเขานำทหารยามมาด้วยหลายร้อยหลายพันคน ซึ่งบางทีเจียงอี้ก็เห็นนายน้อยที่นำทหารขอบเขตเทียนจุนหมื่นคนมาด้วยเช่นกัน แต่เจียงอี้ไม่รู้ว่าเขามาจากตระกูลใด
ไสหัวไปซะ! ในวันที่สิบ เจียงอี้ตื่นขึ้นมาจากเสียงตะโกน เขาจึงแผ่สัมผัสศักดิ์สิทิ์ไปยังที่มาของเสียง จากนั้นดวงจิตของเขาก็สั่นสะท้านทันทีก่อนที่จะรีบสั่งว่า หลีกทางไปข้างๆ!
หัวหน้าทหารที่เจียงอี้จ้างมาเริ่มควบคุมเรือลิขิตสวรรค์ทันทีและบินไปข้างๆแม้เจียงอี้จะไม่ออกคำสั่งเพราะเรือขนาดใหญ่กำลังประชิดใกล้เข้าหาพวกเขาจากด้านหลัง อันที่จริงเรือลำนี้มีความยาวกว่าสามร้อยเมตรและความเร็วของเรือนี้ก็อยู่ที่ขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดแล้ว มันน่าตกใจมากที่เรือนี้เป็นระดับเดียวกับเรือลิขิตสวรรค์ชั้นเลิศของตระกูลถัง
ตระกูลเจี้ยน? หรืออาจเป็นเจี้ยนอู๋อิง?
สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเจียงอี้เห็นคำว่าเจี้ยนขนาดใหญ่ที่ด้านข้างของเรือ ใจของเขาเริ่มวิตกเล็กน้อย บุคคลสำคัญจากตระกูลเจี้ยนนั่งอยู่ในเรือลิขิตสวรรค์ขนาดใหญ่และจะมียอดฝีมือมากมายมากับเขา สิ่งต่างๆจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากทันทีหากพวกนั้นมองเห็นตัวตนของเขาได้ บรึฟ!
แล้วก็จริง สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่น่าเกรงขามนับสิบสายพัดผ่านร่างของเจียงอี้ไป ม่านพลังของเรือลิขิตสวรรค์นั้นอ่อนแอเกินไปและมันเป็นไปไม่ได้ที่จะต้านยอดฝีมือไม่ให้สอดส่องเข้ามาได้ สิ่งที่ทำให้เขาโล่งอกคือสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จำนวนหนึ่งถอยกลับไปหลังจากที่มันพัดผ่านเขาไปลวกๆ จากนั้นเรือลิขิตสวรรค์ก็ทะยานผ่านฟ้าไปอย่างรวดเร็วและลับหายไปในท้องฟ้าอันแจ่มใส
เป็นเจี้ยนอู๋อิงอย่างไม่ต้องสงสัย!
เจียงอี้เดาได้เลยว่าพลังของเจี้ยนอู๋อิงจะต้องก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ในเมื่อเขาเป็นพวกเย่อหยิ่งและชอบวางตัวเป็นผู้ใหญ่ เขาจะไม่เข้าร่วมในโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่เขาจะได้โอ้อวดมันได้อย่างไร? ปกติแล้วลูกหลานของตระกูลเจี้ยนนั้นไม่ได้โอ้อวดและเอาแต่ใจเหมือนเขานัก
วิชาเทพพลางตาน่าทึ่งนัก ผู้คนนับสิบเหล่านั้นไม่สามารถมองทะลุผ่านข้าได้แม้ว่าพวกเขาจะมีพลังที่น่าเกรงขามเช่นนี้
เอ๋าหลูเคยบอกไว้ว่านอกจากตาเฒ่าเก่าแก่กึ่งเทพแล้ว จะไม่มีผู้ใดมองทะลุเขาไปได้ หลังจากที่ได้สัมผัสประสบการณ์นี้เป็นครั้งแรก เจียงอี้ก็โล่งใจอย่างสมบูรณ์ขณะที่เขายังคงฝึกฝนต่อไป
จะเห็นได้ว่ามีเรือลิขิตสวรรค์มากขึ้นเรื่อยๆเนื่องจากซากปรักหักพังสลายบาปนั้นค่อยๆใกล้เข้ามาทุกที และเจียงอี้มองเห็นเรือลิขิตสวรรค์ระดับสูงอีก แต่มันไม่ได้มาจากเก้าตระกูลจักรพรรดิ และน่าจะเป็นตระกูลสือ เจียงอี้รู้เพียงว่าตระกูลสือนั้นเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่จริงๆ หลังจากที่เขาสอบถามเรื่องนี้จากหัวหน้าทหารแล้ว ตระกูลนี้เป็นตระกูลชนชั้นสูงในสมัยโบราณที่ปกครองสามภูมิภาคในเขตแดนใจกลางของทวีป ซึ่งพวกเขามีอิทธิพลอย่างมาก
เจียงอี้ไม่ได้ฝึกฝนอีกต่อไปเนื่องจากพวกเขาจะถึงซากปรักหักพังสลายบาปในอีกสามวัน เขาเริ่มแผ่ญาณศักดิ์สิทธิ์เพื่อตรวจสอบพื้นที่ มีเพียงการรู้จักตัวเองและรู้จักศัตรูเท่านั้นที่จะได้รับชัยชนะในทุกการต่อสู้ ซึ่งการทำให้ตัวเองคุ้นเคยกับภูมิประเทศนั้นเป็นสิ่งที่ดีเสมอ
ไม่มีใครรู้เลยว่าเป็นเพราะตระกูลอีจัดการข่มกองโจรไปหรือว่าเหตุผลอื่น เพราะแถบนี้ไม่มีเหล่ากองโจรแอบอยู่เลย หลังจากที่คอยสอดส่องรอบๆไปสักพัก เจียงอี้ก็ตระหนักได้ว่ามันเป็นเพราะลมดาราที่ทรงพลัง เขาคาดว่าลมดารานั้นน่าจะทรงพลังกว่าลมดาราในช่วงกลางคืนด้วยซ้ำ ดังนั้นการเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้จึงอันตรายเกินไป
อย่างที่คาดไว้!
เจียงอี้พบสถานที่ที่น่าสะพรึงหลังจากสอดส่องในยามกลางคืน ในยามกลางคืน ลมดาราที่อยู่เหนือพื้นดินสิบเมตรของที่นี่นั้นรุนแรงกว่าที่อื่นนับสิบเท่า มันน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมเมื่ออยู่สูงขึ้นไปสามร้อยเมตร แม้แต่ยอดฝีมือห้าดาวก็คงไม่สามารถทนได้หากไม่มีความสามารถพิเศษใดๆ น่าเสียดายนัก ข้าไม่มีโอกาสเข้าใจรูปแบบเต๋าวายุที่น่าอัศจรรย์นั้นได้ ไม่เช่นนั้น การหลบหนีจากที่นี่คงไม่ยากมากนัก!
เจียงอี้ถอนหายใจ หากเข้าเข้าใจรูปแบบเต๋าวายุนั้นได้ ยอดฝีมือคนใดจะกล้าไล่ล่าเขา หากเขาสามารถทะลวงขึ้นไปที่สูงได้? พวกเขาคงทำได้แค่มองดูอย่างจนปัญญาและมันไม่จำเป็นต้องใช้วิชาหลีกสวรรค์ด้วยซ้ำ
พวกเขาใกล้จะถึงซากปรักหักพังสลายบาปแล้ว และเจียงอี้ไม่สามารถเข้าถึงมันได้ทันที ดังนั้นเขาจึงไม่คาดหวังมากเกินไปอีกต่อไปขณะที่คอยสำรวจภูมิประเทศต่อ เขาปล่อยญาณศักดิ์สิทธิ์ออกไปสำรวจรอบๆ ในตอนกลางคืน เขาจะเห็นเรือลิขิตสวรรค์จำนวนมากที่หยุดเดินเรือเช่นกัน หรือไม่ก็จะมีจอมยุทธตั้งค่ายตอนกลางคืน แม้แต่เรือลิขิตสวรรค์ชั้นสูงเองก็ยังไม่กล้าโบยบินในแถบบริเวณนี้และถึงแม้พวกเขาจะต้านทานได้ แต่มันก็สิ้นเปลืองพลังงานมากอย่างแน่นอน
รุ่งอรุณมาถึงและเรือลิขิตสวรรค์ก็ยังคงบินต่อไป เมื่อพวกเขาหยุดในตอนกลางคืน เจียงอี้ก็จะพบว่าลมดาราแข็งแกร่งยิ่งขึ้นและไม่กล้าอยู่ในเรืออีกต่อไปขณะที่เขาตั้งค่ายพักแรมกันที่พื้นดินหลังจากที่เก็บเรือลิขิตสวรรค์เข้าไป เขาค่อนข้างตื่นเต้นเพราะเขาใกล้จะถึงซากปรักหักพังสลายบาปในวันพรุ่งนี้แล้ว
เจียงอี้ไม่ได้สำรวจรอบๆอีกต่อไป แต่ตรงกันข้าม เขากลับนอนหลับอย่างสบายเพื่อหล่อเลี้ยงดวงจิตของเขาเพื่อที่มันจะได้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมที่สุด ซากปรักหักพังสลายบาปจะเต็มไปด้วยเหล่ายอดฝีมือมากมาย นอกจากนี้ยังมีสหายเก่ามากมายที่นั่นและเขาจะต้องไม่เผยความผิดพลาดแม้แต่น้อย แม้ว่าเจียงอี้จะปกปิดรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว แต่เขายังต้องเปลี่ยนนิสัยอีกมาก ไม่เช่นนั้นผู้คนจะสังเกตได้ง่ายๆและเขาจะต้องถูกสาปไปชั่วนิรันดร์
เจียงอี้นอนจนถึงรุ่งเช้าและไม่รีบเร่งออกเดินทาง เขาให้คนจับสัตว์ป่าไม่กี่ตัวมาขณะที่เขาก่อเพลิงเพื่อเตรียมอาหาร หลังจากที่ทานอาหารที่ดีแล้ว เขาก็เดินทางต่อไปอย่างสบายใจ
เจียงอี้จ้างทหารเหล่านี้มาสามเดือน และในสามเดือนนี้ ทั้งสิบคนนี้จะเป็นผู้ใต้บัญชาและผู้คุ้มกันของเขา แต่สมาคมการค้ามีข้อตกลงคือพวกเขาจะหนีไปได้หากต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขามที่พวกเขาไม่สามารถเอาชนะได้ ดังนั้นเจียงอี้จึงไม่ได้หวังกับเหล่าขอบเขตเทียนจุนระดับกลางทั้งสิบนี้เท่าใดนัก
ยิ่งเขาเข้าใกล้ซากปรักหักพังสลายบาปมากเท่าไหร่ เจียงอี้ก็ยิ่งไม่กล้าปลดปล่อยญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขา เขาสามารถใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาสัมผัสได้ว่ามีเรือลิขิตสวรรค์นับไม่ถ้วนมารวมกันที่ซากปรักหักพังสลายบาป คนทั่วไปจะไม่สามารถรับรู้ถึงญาณศักดิ์สิทธิ์ของเจียงอี้ได้ แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากมีเผ่าพันธุ์พิเศษ? มันจะสร้างความขุ่นเคืองแก่ยอดฝีมือเอาได้ ในที่สุดทุกคนก็ไปถึงที่หมายในช่วงบ่ายและเจียงอี้ก็สูดหายใจเข้าลึกๆเมื่อทิวทัศน์เข้ามาอยู่ในสายตาของเขา!
ด้านหน้าเป็นที่ราบกว้างใหญ่และทางเหนือของที่ราบเป็นเทือกเขาที่เต็มไปด้วยพืชพันธุ์ ยอดเขานั้นสูงชันมากและสูงราวสามกิโลเมตร ยอดเขาเองก็ใหญ่มากเช่นกันและมันเหมือนสัตว์ขนาดยักษ์จำนวนมากหมอบอยู่ตรงนั้น
มีหุบเขาลึกอยู่ตรงกลางยอดเขา และนั่นน่าจะเป็นทางเข้าสู่ซากปรักหักพังสลายบาปเพราะมีกำแพงเมืองที่โอ่อ่าอยู่ตรงหุบเขา แต่ส่วนใหญ่นั้นเสียหายอย่างหนักซึ่งทำให้ดูเหมือนที่รกร้าง
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็กหลักคือที่ราบด้านนอกหุบเขาลึก!
ที่กั้นของที่ราบนั้นมีรัศมีประมาณหนึ่งร้อยกิโลเมตร ในตอนนี้ ที่ราบเต็มไปด้วยกระโจมมากมายและไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ในคราวเดียว และหากมองลงมาจากด้านบน มันจะรู้สึกเหมือนกับว่ามีดอกไม้สีขาวหลายแสนดอกบานสะพรั่งอยู่
กระโจมแต่ละหลังมีคนอยู่ในนั้นราวๆสิบคน ซึ่งอย่างน้อยก็มีคนอยู่ที่นี่ราวๆล้านคน!
หลังจากหักผู้คุ้มกันจากทุกตระกูลแล้ว อย่างน้อยน่าจะมีผู้คนหลายแสนคนเข้าไปในซากปรักหักพังสลายบาป แต่ยังมีเรือลิขิตสวรรค์อีกนับไม่ถ้วนที่มุ่งหน้ามาที่นี่และยังมีเวลาอีกสิบวันก่อนที่ซากปรักหักพังสลายบาปจะเปิดขึ้น ใครจะรู้ว่ายังมีอีกกี่คนที่เดินทางมาที่นี่?
ลงไป!
เจียงอี้ไม่กล้าสำรวจอีกต่อไปในตอนที่เรือลิขิตสวรรค์ของเขาอยู่เหนือที่ราบ พวกเขาทั้งหมดลงมาจากเรือลิขิตสวรรค์ก่อนที่เจียงอี้จะเก็บเรือเข้าไปในนั้น เขานำยอดฝีมือทั้งสิบบินไปยังพื้นที่ที่ยังว่างอยู่
และเมื่อเจียงอี้และคนอื่นๆลงมา สัมผัสศักดิ์สิทธิ์นับร้อยก็กวาดไปในทันที สีหน้าของเจียงอี้เย็นยะเยือกและเขาเมินเฉยต่อสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น เขาบินไปยังพื้นที่ว่างและนำกระโจมลิขิตสวรรค์ออกมาสองใบก่อนที่จะให้ทหารทั้งสิบเข้าไปในกระโจมหนึ่งขณะที่เขาจะอยู่อีกกระโจมหนึ่ง
สัมผัสศักดิ์สิทธิ์นับร้อยนั้นได้หายไปเนื่องจากเจียงอี้นำคนมากับเขาไม่มาก เขาจึงไม่น่าใช่ทายาทตระกูลใหญ่ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดสนใจเขา กระโจมลิขิตสวรรค์นี่ก็มีขนาดที่ค่อนข้างเล็กและระดับค่อนข้างต่ำ ดังนั้นมันจึงไม่ดึงดูดความสนใจของผู้ใดเลยหากเจียงอี้ซ่อนอยู่ภายในนั้น
ฟรึ่บ!
เสียงที่แหลมคมดังขึ้นจากทางทิศตะวันออกเมื่อเจียงอี้จัดการทุกอย่างเสร็จ ทันใดนั้นสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็กวาดออกไป จากนั้นก็มีร่องรอยของอายสังหารผ่านวาบมายังดวงตาของเจียงอี้ทันที!
นั่นเป็นเรือลิขิตสวรรค์ชั้นยอดและมีคำว่าเสี่ยอยู่ข้างๆเรือ ในตอนนั้นเอง เรือลิขิตสวรรค์ก็หายลับไปขณะที่เด็กหนุ่มสวมชุดสีแดงและสร้อยกระดูกสัตว์และมีตุ้มหูที่หูของเขาลอยอยู่กลางอากาศพร้อมทหารนับพันขณะที่คนผู้นั้นมองไปรอบๆ คนผู้นี้จะเป็นใครไปได้หากไม่ใช่เสียเฟย?