[เมื่อตอนก่อน ๆ ไม่ได้แจ้งไว้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับดาว ขออภัยด้วยครับ ที่แปลมามันมางี้]
ณ เชิงเขาภูเขาชิงหลิง ทิวทัศน์ที่นี่สวยสดงดงาม มีนกบินเหนือท้องฟ้าและมีกลิ่นดอกไม้หอมลอยไปในอากาศ ผีเสื้อและผึ้งจำนวนมากกำลังวุ่นวายอยู่กับงานของตัวเอง
สิ่งเดียวที่มันไม่น่าจะมีอยู่คือหลุมดำขนาดใหญ่ที่มีความลึกไม่สามารถหยั่งได้ มันราวกับฉีกพื้นโลกเหมือนมันเป็นหลุมที่ปรากฏในภาพวาดอันสมบูรณ์แบบ
คนของตระกูลเนี่ยใบหน้าเต็มไปด้วยความมึนงงในขณะมองฉากด้านหน้า หัวหน้าที่มากับพวกเขาพ่ายแพ้ได้ง่าย ๆ โดยที่อีกฝ่ายใช้เวลาไม่ถึงนาที …
รอยแผลและร่องรอยจำนวนมากสามารถเห็นได้บนหัวหัวหน้าคนนี้ เขาดูตลกมาก
บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่มาด้วยอยากจะแก้แค้น แต่ไม่มีใครซักคนกล้าทำ ในเวลาเดียวกันคนรุ่นหลังที่มาด้วยรู้สึกอยากหัวเราะหัวหน้าคนนี้มาก แต่ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ไม่กล้าหัวเราะออกมา
ไหล่ของทุกคนสั่นระริกราวกับกำลังพยายามควบคุมตัวเอง สามารถจินตนาการได้เลยว่ามันยากแค่ไหนที่จะไม่หัวเราะ
ผู้อาวุโสของตระกูลเนี่ยเดินมาเงียบ ๆ เขามองไป๋เซียงด้วยท่าทางจริงจัง หัวหน้าคนที่อยู่ใต้เท้าไป๋เซียงถูกอีกฝ่ายทุบตีเพียง 2 หมัดก็พ่ายแพ้แล้ว มันเป็นฉากที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลยซักครั้ง !
ไป๋เซียงขมวดคิ้วแล้วถามอีกครั้ง “งั้นตอนนี้บอกฉันได้ยัง ?”
แม้ว่าเขาจะไม่ฉลาด แต่เขาก็ไม่ได้โง่ เขาสามารถบอกได้เลยว่าคนที่อยู่ใต้เท้ารู้แต่ไม่อยากบอกเขา
เขาพยายามที่จะไม่ทะเลาะกับคนใต้เท้าแต่ว่าสุดท้ายเขาก็พยายามได้เพียงทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บไม่มากนัก
แม้ว่าคนที่อยู้ใต้เท้าจะดูน่าสงสาร แต่เขาใช้เวลาแค่ไม่กี่วันก็หายดีแล้ว
ส่วนคนของตระกูลเนี่ยที่อยู่ใต้เท้าไป๋เซียงนั้นรู้สึกปวดจิตใจอย่างมาก เขาไม่ได้มีความสามารถเพียงพอที่จะทำอะไรไป๋เซียงได้เลยแม้แต่น้อย !
‘และอะไรที่แกบอกว่าข่สอ่อนแอ ? บิดาผู้นี้ทรงพลังมากแต่อ่อนแอกว่าแกแค่นั้น เข้าใจไหม ?’
แม้ว่าเขาจะไม่พอใจแต่เขาก็ไม่กล้าพูดออกมา ความจริงที่ว่าเขาพ่ายแพ้โดยการเคลื่อนไหวไม่กี่ครั้งมันเพียงพอจะบอกได้ว่าเขาอ่อนแอกว่าอีกฝ่าย ….
เขาเหลือบมองไป๋เซียงอีกครั้ง จากนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว
ชื่อจริงของเขาคือ เนี่ยกวนเริ่น ชื่อนี้เขาได้มาจากสไตล์การต่อสู้ของเขาทำให้เขาได้รับชื่อนี้มา
บิดามารดาอาจตั้งชื่อให้เด็กผิดได้ แต่ชื่อที่คนอื่นตั้งไม่มีทางผิดได้ !
ถึงแม้ว่าเนี่ยกวนเริ่นจะบ้าคลั่งการต่อสู้ แต่มันไม่ได้หมายความว่าเขาจะไร้สมอง ความจริงที่ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หลังจากต่อสู้มามากมายก็บอกได้แล้วว่าเขาไม่ได้ไร้สมอง
การต่อสู้ระหว่างคนที่มีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกันจะเรียกว่าการประลอง แต่หากแตกต่างกันเกินไปจะเรียกว่าการต่อสู้เป็นตาย !
ไม่กี่นาทีต่อมาไป๋เซียงก็เดินไปตามบันไดพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าเขาพอใจกับข้อมูลที่ได้
เนี่ยกวนเริ่นเฝ้ามองไป๋เซียงเดินจากไปพร้อมกับเขาที่รีบวิ่งไปอีกทาง เขาได้แต่สบถและตัดสินใจว่าเขาจะไม่กลับมาที่นี่อีกต่อไป !
เนี่ยกวนเริ่นหวาดกลัวที่นี่อย่างมาก เขายังจำเหตุการณ์ที่เขาถูกไล่ล่าโดยสัตว์อสูรทรงพลังและมันได้สังหารคนของตระกูลเนี่ยไปถึง 1 ใน 4 ได้ !
ครั้งต่อมาก็คือเหตุการณ์ที่ผู้ฝึกตนจำนวนมากมารวมตัวกันทำให้ที่นี่ปลอดภัยอย่างมาก พวกเขาหวังว่าจะได้ผลประโยชน์บางอย่างในสุสาน แต่สุดท้ายก็ถูกไล่ล่าโดยสัตว์อสูรที่ทรงพลังอีกครั้ง !
และคราวนี้เขาก็โดนตีเป็นหัวหมู !
***
กลุ่มของเป่ยเฟิงเดินทางกลับมาจากภูเขามังกรเสือ และกว่าจะมาถึงภูเขาจิตวิญญาณสีฟ้าก็มืดแล้ว
“วู้บ !”
เงาขนาดใหญ่ปรากฏตรงหน้าเป่ยเฟิง ในเวลาเดียวกันก็มีฝ่ามือขนาดใหญ่ทุบลงไปที่เหนือหัวของเขา !
“ปัง !”
เป่ยเฟิงสะบัดมือกลับไปพร้อมกับหมีที่ปรากฏตัวออกมา !
เงาสีดำกระเด็นกลับไปพร้อมกับบินไปกระแทกต้นไม้ขนาดใหญ่
เป่ยเฟิงเร่งพลังก่อนจะก้าวออกไปเพียงครั้งเดียวและไปปรากฏตรงหน้าเงาสีดำ ฝ่ามือขนาดใหญ่กว้างกว่า 5 เมตรปรากฏตรงหน้าเขา เลือดและพลังฉีของเขาพุ่งขึ้นสูงอย่างน่ากลัวจนทำให้รอบ ๆ เกิดเป็นประกายสีแดงเข้ม
“เจ้านาย ผมเอง !”
เสียงคำรามดังขึ้น ทันใดนั้นฝ่ามือขนาดใหญ่ตรงหน้าเป่ยเฟิงก็หายไป
ถึงแม้ฝ่ามือจะยังไม่ได้ฟาดลงมา แต่พื้นที่ตรงหน้าก็จมลงไปหลายเซนติเมตรเพียงเพราะโดนแรงกดดันของฝ่ามือ !
“ไป๋เซียง ?”
เป่ยเฟิงมองคนด้านหน้าให้ชัด ๆ ในขณะเดียวกันหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความตกใจและความสุข
ไป๋เซียงเกาหัวและพูดด้วยความอาย ๆ “ฮี่ฮี่ ผมกลับมาแล้วเจ้านาย ผมคิดว่าผมแข็งแกร่งมากแล้วนะหลังจากผ่านไป 3 ปี แต่สุดท้ายก็ทำอะไรเจ้านายไม่ได้เลย”
‘ทำไมกัน ? ฉันเสี่ยงชีวิตฝึกฝนแทบตายเป็นเวลา 3 ปี นอกจากนี้ยังใช้ทรัพยากรไปเยอะมาก แม้แต่ตาแก่บัดซบยังร้องไห้เกือบเป็นสายเลือด แต่สุดท้ายก็ยังเอาชนะเจ้านายไม่ได้ นอกจากนี้ยังถูกเขาตบกลับมาอีก !’ ไป๋เซียงคิดอย่างจริงจัง
ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ใช้ทองเจิศจรัสแต่เขารู้สึกได้ว่าผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิมแม้ว่าจะใช้มัน บางทีเขาอาจจะป้องกันได้เพียง 2 ครั้งเองก็ได้
“ฮ่าฮ่า ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ไปกันเถอะ”
เป่ยเฟิงยิ้มอย่างมากความสุขก่อนจะตบไหล่ไป๋เซียง
บางทีอาจจะเพราะเขาตื่นเต้นมากเกินไป เพราะแรงตบไหล่แต่ละครั้งทำให้หน้าของไป๋เซียงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
เป่ยเฟิงพาไป๋เซียงเข้ามาในบ้านก่อนจะเริ่มทำอาหารทันที
เขาทำอาหารออกมา 4 จานนอกจากนี้ยังมีซุปเพื่อต้อนรับการกลับมาของไป๋เซียง มูลค่าของมื้ออาหารครั้งนี้ถือว่าฟุ่มเฟือยมาก !
อาหารทุกจานทำมาจากเนื้อสัตว์อสูรระดับ 3 ดาวนอกจากนี้ยังมีวัตถุดิบจากสัตว์อสูรอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
ซุปถูกทำมาจากสัตว์อสูรประเภทเต่า และอาหารทุกจานก็มีกลิ่นหอมมาก มันอุดมไปด้วยหลิงฉีมหาศาลจนสามารถมองเห็นจุดประกายแปลก ๆ ที่อยู่เหนืออาหารทุกจาน !
มันจะไม่เกินจริงแม้แต่น้อยหากจะบอกว่ามันเหมือนในอนิเมะหรือหนังเรื่องโชคุเงคิ นอกจากนี้มันราวกับมีภาพลวงตาบางอย่างก่อตัวคล้ายสัตว์อสูรที่มีชีวิตอยู่บนจาน !
น้ำลายของไป๋เซียงไหล่ทะลักออกมาในขณะดมกลิ่นในอากาศ ลิ้นของเขาทรมานอย่างมากเมื่อนึกถึงอาหารไม่กี่ปีผ่านมานี้ แล้วนี้เขาจะยังคงอดทนต่อไปได้อย่างไร ? เมื่อเห็นว่าเป่ยเฟิงเริ่มกินแล้วเขาก็รีบลงมือด้วยทันที
ในขณะที่พวกเขากำลังกิน เป่ยเฟิงก็เห็น 2 สหายไม่รู้จักพอและหลุมดำยืนอยู่ข้างนอกด้วยความลังเล ราวกับพวกมันกำลังพยายามเข้ามาให้ได้ สุดท้ายเส้นเลือดสีดำ 2 เส้นก็ปรากฏบนหน้าผากของเป่ยเฟิง
“โฮ่ง โฮ่ง !”
ไม่รู้จักพอและหลุมดำประท้วงอยู่นอกประตู พวกมันเห็นคนกินอาหารอยู่ข้างในแต่พวกมันไม่สามารถเข้าไปได้เพราะติดอยู่นอกประตู พวกมันขุดหลุมบนพื้นด้วยความกังวล
พื้นคอนกรีตราวกับเต้าอู้ที่ถูกฉีกขาดโดยเคอร์เบอรอส สามารถมองเห็นหลุมหรือรอยขีดข่วนที่อยู่บนพื้นคอนกรีตได้อย่างง่ายดายที่อยู่นอกบ้าน
“เอาล่ะ หยุดขุดได้แล้วไม่อย่างนั้นฉันจะจับพวกแกไปอยู่ในหลุมถ้ายังคิดจะขุดต่อ”
เป่ยเฟิงขมวดคิ้วมองเคอร์เบอรอสจนทำให้ขนบนร่างมันลุกชัน
“โฮ่ง โฮ่ง”
เคอร์เบอรอสหันมาเฮ่าอีกครั้ง หลังจากกรุยดินลงไปในหลุมแล้วมันก็หันมามองเป่ยเฟิงด้วยรอยยิ้มโง่เง่า
“หึหึ ฉันจะลืมพวกแกไปได้ยังไง”
เป่ยเฟิงหัวเราะเมื่อเห็นการกระทำของมัน หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นก่อนจะเอากระดูกออกมาจากห้องครัว กระดูกถูกหั่นเป็นชิ้นโดยเป่ยเฟิงเพื่อที่จะให้เคอร์เบอรอสแทะได้ง่าย ๆ
“โฮ่ง !”
ดวงตาของเคอร์เบอรอสสว่างไสวในขณะที่มันคาบกระดูกออกมา มันรีบหลบมาด้านข้างเพื่อสนุกกับกระดูกทันที หลังจากกัดไม่กี่ครั้งไขกระดูกก็ถูกพวกมันกลืนลงไปจนหมด เห็นได้ชัดว่าไม่รู้จักพอและหลุมดำนั้นไม่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับบทเรียนครั้งล่าสุดของพวกมันเลย
ถึงแม้ว่าพวกมันจะต้องทรมานหลังจากนี้ แต่สัญชาตญาณของพวกมันได้บอกให้กอบโกยทุกอย่างเนื่องจากในไขกระดูกมีกลิ่นหอมน่าอร่อยรอพวกมันให้มากินอยู่
แน่นหัวมองพวกมันด้วยสายตาเย็นชา ไอ้ผีหิว 2 ตัวนี้มันใกล้จะร้องโหยหวนออกมาแล้วสินะ ?
ถ้ามันกินแค่เนื้อรอบกระดูกก็เพียงพอแล้ว มันคงไม่โง่เกินไปที่จะกินทั้งกระดูกเพราะอาจจะทำให้พวกมันเจอกับภัยพิบัติได้ !
เป่ยเฟิงส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้จักพอและหลุมดำน่ารักจริง ๆ พวกมันถูกเลี้ยงดูโดยเขามาตั้งแต่แรก ดังนั้นเขาจึงรู้สึกผูกพันธ์กับพวกมันมาก
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแล้ว แต่เป่ยเฟิงรู้สึกได้ว่าพวกมันไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก พวกมันยังคงทำตัวเหมือนตอนเด็ก ๆ ที่ขึ้เล่นและขึ้เกียจ