เลือดและฉีของเป่ยเฟิงแผ่ระลอกคลื่นออกมาเบา ๆ จากนั้นมันก็สั่นสะเทือนพร้อมกับพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว !
ความหิวกระหายปะทุขึ้นในจิตใจของเป่ยเฟิง ทำให้เขาต้องล้มเลิกการทำความเข้าใจมรดกหยินหยางไปก่อน
เป่ยเฟิงกัดฟันและตะโกนขึ้น “หลี่ปู้ หาอะไรมาให้ข้ากินหน่อย ขอเป็นตัวใหญ่ ๆ !”
“ครับท่านหัวหน้าตระกูล”
หลี่ปู้เงยหน้าและตอบกลับด้วยความสับสน ท่านหัวหน้าตระกูลเพิ่งกินไปไม่ใช่หรือ เขาหิวอีกแล้ว ? แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ถามอะไรนอกจากวิ่งไปหาของกินให้เขา
ในไม่ช้าอาหารจำนวนมากก็ถูกวางไว้ตรงหน้าเป่ยเฟิง เป่ยเฟิงเหมือนสัตว์อสูรหิวกระหาย เขากินทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่พูดอะไร
ปริมาณเนื้อที่เขากินไปมันทำให้หลี่ปู้และคนอื่น ๆ มองด้วยสายตาว่างเปล่า แม้แต่หลี่ปู้ที่มีพลังขั้นสี่ก็ยังไม่สามารถกินมันได้มากขนาดนี้ !
ในขณะเดียวกัน พลังของเป่ยเฟิงก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ เสียงเต้นของหัวใจค่อย ๆ ดังออกมาจากหน้าอกของเขาจากนั้นก็กระจายไปทั่วในค่ำคืนที่เงียบสงบ
เลือดและฉีจำนวนมากเริ่มควบแน่นขึ้นอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันร่างของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง !
ชั้นของผิวเก่าค่อย ๆ เน่าเปื่อยและหลุดลอกออกไป ตอนนี้ร่างของเขาราวกับงูที่กำลังลอกคราบ
ผมสีดำสะท้อนแสงค่อย ๆ ออกมาทดแทนผมเดิม มันแวววาวราวและดูแข็งมากราวกับเหล็ก
แสงสีส้มกระพริบในหัวใจของเป่ยเฟิง ในเวลาเดียวกันเลือดและฉีของเขาก็ควบแน่นรวมกันจนหนาแน่นมาก ตอนนี้เป่ยเฟิงราวกับสัตว์อสูรที่โหดร้ายในคราบมนุษย์
เคล็ดบัญญัติกฏสวรรค์ของเขาอยู่ในขั้นที่ 2 ดังนั้นเป่ยเฟิงจึงสามารถใช้หมียักษ์และมังกรได้ในเวลาเดียวกัน สำหรับเทวรูปที่ 3 เป่ยเฟิงตัดสินใจได้แล้วว่าเขาจะเอาตัวอะไร เทวรูปที่เขาคิดเอาไว้นั่นก็คือจิ้งจอกน้อย หายนะของมนุษย์และธรรมชาติ !
จิ้งจอกน้อยเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นดวงวิญญาณแล้วเข้าไปอยู่ในวิญญาณของเป่ยเฟิงก่อนที่มันจะตาย นั้นหมายความว่าเขาสามารถใช้จิตวิญญาณของมันเพิ่งสร้างเทวรูปที่ 3 ได้ !
เทพเจ้าแห่งดวงดาวในรูปลักษณ์ของจิ้งจอกน้อยที่เกิดจากพลังชั่วร้ายนั้นยังไม่มีแนวโน้มที่จะกำเนิดขึ้นมา จุดรูรับแสงดาวที่ระหว่างคิ้วของเขาก็เต็มไปด้วยความมืดมิด ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้
หลังจากกินสัตว์อสูรขั้นสามไปถึง 4 ตัวแล้ว เป่ยเฟิงก็หยุดกิน ตอนนี้พลังงานเลือดและฉีของเขามีมากกว่าเดิมถึง 2 หน่วยหลังจากผ่านมาเพียง 2 ชั่วโมง !
หากเป็นผู้ฝึกตนขั้นสามระดับเริ่มต้นจะมีพลังเพียง 1 หน่วย แต่เป่ยเฟิงกลับมีถึง 5 หน่วย! และเมื่อรวมอีก 2 หน่วยที่เขากินไปเมื่อครู่เท่ากับเขาจะแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนขั้นสามระดับร้อยปีถึง 7 เท่า !
เพียงแค่ 2 หน่วยกลับทำให้เป่ยเฟิงแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมหาศาล หากเขากลับไปที่โลกเดิมได้เขาก็จะเป็นผู้ที่มีพลังสูงที่สุดในโลก ในเวลาเดียวกันเขาก็พร้อมจะตัดผ่านระดับไปได้ทุกเมื่อ !
เมื่อตกกลางคืน หลี่ปิงและคนอื่น ๆ ก็เริ่มตรวจตรายืนเฝ้ายาม ส่วนเป่ยเฟิงนั่งไขว้ข้างอยู่ภายในถ้ำบนภูเขา
จุดแสงดาวเล็ก ๆ หมุนรอบปลายนิ้วของเขาจากนั้นก็กลายเป็นตัวอักษรมากมาย
“หลังจากที่สร้างพระราชวังดวงดาวได้สำเร็จแล้ว ความสัมพันธ์ของข้ากับพลังดวงดาวก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก ตอนนี้ดูเหมือนข้าจะควบคุมได้เกือบอิสระแล้วสินะหลังจากที่ได้ใช้ทักษะพื้นฐานของมรดกหยินหยางไป” เป่ยเฟิงพึมพำกับตัวเอง ในขณะทำความเข้าใจมรดกหยินหยางมากยิ่งขึ้น
วิชาลับในเทคนิคของมรดกหยินหยางมันมีน้อยมาก มันมีเพียงแค่ 3 วิชา ซึ้งพระราชวังดวงดาวเป็นหนึ่งในวิชาลับที่พื้นฐานที่สุด มันไม่ถึงกับยากเกินไปที่จะเรียนรู้มัน
ระดับของพระราชวังดวงดาวถูกแบ่งออกเป็น 9 ขั้น ซึ้งแต่ละขั้นนั้นคือการเพิ่มชั้นของพระราชวังของดวงดาวขึ้น !
วิชาลับที่ 2 คือวิชาชี้ดวงดาว มันทำให้สติปัญญาของผู้ฝึกตนเพิ่มสูงขึ้น แต่ผลลัพธ์อื่น ๆ ยังไม่แน่ชัด
วิชาลับที่ 3 คือวิชาก่อเกิดดวงดาว มันใช้ควบคู่ไปกับการสร้างค่ายกล มันจะทำให้ความเร็วในการดูดซับพลังดวงดาวนั้นเพิ่มขึ้น 3 เท่า
วิชาลับทั้ง 3 มันดูไม่ค่อยมีประโยชน์ในระยะสั้น แต่มันสามารถทำให้รากฐานมั่นคงได้ หากฝึกมันไปเรื่อย ๆ มันจะทำให้ได้ผลในระยะยาว
ในขณะเดียวกัน เป่ยเฟิงในตอนนี้กำลังทำความเข้าใจขอบเขตการรวบรวมดวงดาวอยู่ หากเขาสามารถทำความเข้าใจและใช้มันได้ มันจะทำให้เขามีพลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก !
มันเป็นทักษะที่ลึกซึ้งและยากมาก มันสามารถใช้เพื่อควบคุมจิตใจของผู้อื่นได้โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว ประโยชน์ของทักษะนี้มันมีเยอะมาก !
อย่างไรก็ตามทักษะนี้มันมีข้อจำกัดมากเช่นกัน หากฝ่ายตรงข้ามฝึกฝนทักษะพลังจิตหรือมีพลังจิตมากกว่าเขาเกินไป ทักษะนี้จะไร้ผล
“ทักษะการรวบรวมดวงดาวดูเหมือนต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป มันไม่ใช่สิ่งที่จะทำความเข้าใจได้ในครั้งเดียว”
เป่ยเฟิงถอนหายใจเบา ๆ แต่เมื่อคิดถึงความมหัศจรรย์ของทักษะนี้มันก็ทำให้เขาเกิดแรงจูงใจขึ้น
“ดูเหมือนจะต้องเริ่มจากวิชาลับก่อเกิดดวงดาวก่อน”
เป่ยเฟิงหลับตาลงและคิดถึงรายะเอลียดของวิชาลับก่อเกิดดวงดาวในใจเขา
หลังจากทำความเข้าใจหลายครั้ง เขาก็ค่อย ๆ วาดตราประทับที่มือ จากนั้นลำแสงที่ส่องสว่างจากพระราชวังดวงดาวก็พุ่งมาที่ฝ่ามือของเขาจนเกิดเป็นลวดลายที่ดูลึกลับ เพียงแค่มองก็ทำให้เกิดความรู้สึกหวิว ๆ
การทำตราประทับที่มือไม่ได้มีไว้เพื่อแสดงเล่น ๆ มุมและตำแหน่งของแต่ละนิ้วนั้นสำคัญมาก เมื่อรวบรวมพลังได้จนถึงส่วนหนึ่งมันจำเป็นต้องใช้พลังจิตจำนวนมากในการปลดปล่อยมัน
หากคนที่มีพลังจิตอ่อนแอกว่าเป่ยเฟิงได้มาเห็นเขา คน ๆ นั้นก็จะตกอยู่ในห้วงคำนึงแห่งความสับสนทันที
“ป๊อป !”
เสียงดังออกมาเบา ๆ พร้อมกับหัวของเป่ยเฟิงที่ส่ายไปมา จากนั้นพลังที่รวบรวมไว้บนฝ่ามือก็แตกสลายเป็นฟองน้ำ
เป่ยเฟิงลืมตาขึ้น ความล้มเหลวถือเป็นเรื่องปกติและมันมีไว้เพื่อคาดหวังให้ทำสำเร็จ ยิ่งเรียนรู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งหลุดพ้นจากวิถีแห่งเต๋าเริ่มต้นได้มากยิ่งขึ้น !
‘ดูเหมือนข้าจะเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป เลือดและฉีนั้นเหมือนกัน เส้นทางของมรดกหยินหยางมันก็เหมือนกับเส้นทางแห่งการต่อสู้’
ความเข้าใจปรากฏในหัวใจของเป่ยเฟิง ตอนแรกเขาคิดว่าการกลั่นฉีและกลั่นเลือดนั้นเป็นเส้นทางที่แตกต่างกัน แต่ความเป็นจริงแล้วเลือดและฉีนั้นเหมือนกัน สิ่งเดียวที่แตกต่างคือพวกมันงอกออกมาจากกิ่งที่แตกต่างกันแต่อยู่ในต้นไม้เดียวกัน
สำหรับมรดกหยินหยาง มันไม่เหมือนวิถีแห่งเต๋าแต่ทว่ามันกลับเหมือนวิถีแห่งการต่อสู้เต๋า
เนื่องจากยังไม่ค่อยมีประสบการณ์มากนักกับทั้ง 2 เส้นทางนี้ เป่ยเฟิงจึงค่อย ๆ ทำความเข้าใจมัน
เคล็ดการฝึกฝนที่เก่าแก่ที่สุดแน่นอนว่าคือการกลั่นกายาและกลั่นฉี หลังจากนั้นเมื่อขาดทรัพยากร พรสวรรค์และอื่น ๆ ไป ทำให้เกิดวิถีใหม่นั้นคือการเปลี่ยนแปลงกายาและฉี
หลังจากที่เริ่มเข้าใจมากขึ้น เลือดและฉีของเป่ยเฟิงก็ส่ายไปมาอย่างแรงก่อนจะค่อย ๆ สงบลงพร้อมกับความสับสนที่หายไป จากนั้นเลือดและฉีของเขาก็ค่อย ๆ รวมตัวเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์จนกลายเป็นพลังแห่งชีวิตที่กล้าแกร่งและมั่นคงที่เปี่ยมไปด้วยพลังที่พร้อมจะระเบิดออกมา
เพียงแค่เปลี่ยนความคิดกลับทำให้เลือดและฉีของเขากลับเข้ากันได้ มันทำให้เขาในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าเดิมขึ้นไปอีกระดับ !
‘นี่หรือว่ามันทำให้พลังวิญญาณยกระดับขึ้นด้วย ? เป็นความสามารถที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ ดูเหมือนที่แล้ว ๆ มาจะมีม่านบาง ๆ ปิดตาข้าอยู่ตลอดเวลาเลยสินะ’
เป่ยเฟิงยิ้มพอใจอย่างมาก
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มฝึกวิชาลับก่อเกิดดวงดาวแต่ก็ล้มเหลวอีกครั้ง จากนั้นก็ลองอีกครั้งและก็ล้มเหลว … เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ ท้องฟ้าเริ่มสดใสมากขึ้น ในไม่ช้าภาพที่สวยงามดั่งกาแลคซีก็ปรากฏในมือของเป่ยเฟิง !
เมื่อภาพที่สวยงามนี้ปรากฏขึ้น มันได้ถูกตราตรึงไว้ในจิตสำนึกของเป่ยเฟิง ดวงตาของเขาว่างเปล่าราวกับเขาเป็นคนตาบอด
ใช่แล้ว หลังจากที่เขาทำสำเร็จเป่ยเฟิงก็ค้นพบว่าตัวเองได้มายืนข้าง ๆ ดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ดาวเคราะห์ดวงนี้อยู่ในช่วงชีวิตสุดท้ายของมัน ต้นไม้ที่เขียวชอุ่มที่เคยยืนอยู่บนดวงดาวได้หายไปทั้งหมดแล้ว
สามารถมองเห็นภูเขาไฟที่กำลังปะทุและพ่นลาวาออกมาสู่ชั้นบรรยากาศที่สูงกว่าพันเมตรได้ การทำลายล้างของภูเขาไฟมันน่ากลัวมาก แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับสูงก็ยังต้องอยู่ห่างจากมัน
ในขณะที่เขากำลังเฝ้ามองฉากตรงหน้าเงียบ ๆ พลังงานสีเทาจาง ๆ ก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในพระราชวังดวงดาวของเขา
ก่อนที่เป่ยเฟิงจะดูจบ เขาเห็นภาพค่อย ๆ เบลอจากนั้นเขาก็มาอยู่ในถ้ำหินอีกครั้ง
“วิชาลับก่อเกิดดวงดาวมันมีไว้เพื่อดูดวงดาวและดาวเคราะห์ดวงหนึ่งเพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปของพระราชวังดวงดาว”
ในที่สุดเป่ยเฟิงก็เข้าใจแล้วว่ามันคืออะไร วิชาก่อเกิดดวงดาวมันไม่ได้มีประโยชน์ในขั้นต้น แต่เมื่อฝึกมันจนไปถึงขั้นสูงก็จะทำให้มองเห็นถึงการเวียนว่ายตายเกิดของดวงดาวหลายพันดวง นอกจากนี้มันยังช่วยทำให้พระราชวังดวงดาวของเขาค่อย ๆ พัฒนาขึ้นไปอย่างช้า ๆ
พระราชวังดวงดาวคือศูนย์กลางในการสร้างความรุ่งเรืองของมรดกหยินหยาง ในตอนท้ายมันจะมีความลึกลับหลายอย่างที่สามารถใช้ดวงดาวและพระราชวังดวงดาวเพื่อสร้างอาวุธดวงดาวขึ้นมาได้ เพียงแค่นี้ก็ทรงพลังมากแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่นที่ได้จากมัน
เป่ยเฟิงไม่ได้ฝึกฝนต่อ เขาฝึกฝนมาตลอดทั้งวันทั้งคืนทำให้พลังจิตของเขาหมดลง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขากำลังแบกรับภาระของวิชาก่อเกิดดวงดาวอยู่ มันต้องใช้พลังจิตอย่างมากในการใช้มัน หากเป็นคนธรรมดามาลองฝึกฝนมัน หากล้มเหลวอาจทำให้เกิดอันตรายกับดวงวิญญาณของพวกเขาแทนได้
ส่วนเป่ยเฟิงในตอนนี้เขาคิดว่าถึงเวลาต้องทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณของเขาแล้ว พลังจิตของเขาได้เปลี่ยนกลายเป็นคริสตัลแต่เขาก็ไม่รู้อะไรมากนักนอกจากค่อย ๆ ทำความเข้าใจมัน
“พื้นที่ที่พลังจิตของข้าครอบคลุมดูเหมือนจะบอกไม่ได้ มันดูเหมือนจะเป็น 1m000 เมตร แต่ทำไมข้าถึงรู้สึกได้ไกลกว่านั้น”
เป่ยเฟิงขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เขายังไม่รู้ว่าคืออะไร
“หืม ? พลังจิตมันส่งผลต่อความเป็นจริงงั้นรึ !”
ใบหน้าของเป่ยเฟิงเปลี่ยนไป พลังจิตของเขาเปลี่ยนไปพร้อมกับการยกระดับของมัน ? ดวงตาของเป่ยเฟิงเต็มไปด้วยความประหลาดในขณะที่มองหินก้อนเล็กที่ค่อย ๆ ลอยขึ้นไปในอากาศพร้อมกับหมุนไปรอบตัวเขา
“น่าเสียดายที่มันอยู่ห่างจากหนึ่งเมตรไม่ได้ ถ้าข้าใช้มันต่อโลกแห่งความเป็นจริง มันจะทำให้ข้าใช้พลังจิตครอบคลุมรอบ ๆ ไม่ได้”
หลังจากทดลองหลายครั้ง เป่ยเฟิงก็ค้นพบว่าก้อนหินอยู่ห่างจากเขาได้เพียง 1 เมตรเท่านั้น หากไกลกว่านั้นเขาจะไม่สามารถควบคุมมันได้อีกต่อไป
ดูเหมือนมันจะมี 2 ทางเลือกให้เขานั้นคือการใช้พลังจิตเพื่อเคลื่อนย้ายสิ่งของไปมาแต่ไม่สามารถสำรวจสภาพแวดล้อมในระยะ 1,000 เมตรได้ แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกพอใจมาก นอกจากนี้ยังมีอีกทางเลือกก็คือเขาไม่สามารถเคลื่อนย้ายอะไรได้เลย แต่เขาสามารถจดจ่อกับการครอบคลุมพื้นที่รอบ ๆ ด้วยพลังจิตได้ !
แนวคิดมันแตกต่างไปจากเดิมมาก ดูเหมือนตั้งแต่ DNA ของเขาเปลี่ยนไปมันก็เริ่มส่งผลกระทบต่อความเป็นจริงด้วย พลังจิตของเขาในตอนนี้ขึ้นอยู่กับเวลาและความพยายามเท่านั้นที่มันจะยกระดับขึ้น !
“น่าเสียดายที่มันมีขีดจำกัดในเรื่องน้ำหนัก มันยกสิ่งของที่มันหนักได้เพียงครึ่งจินเท่านั้น หากมากกว่านี้มันจะยกไม่ไหว” เป่ยเฟิงได้ข้อสรุปหลังจากลองยกหินหลายขนาด
“ทั้งวิถีแห่งเต๋าและมรดกหยินหยาง พวกมันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่ข้าในตอนนี้อ่อนแอเกินไป ดูเหมือนข้าจะต้องรีบตามหาสิ่งที่จะช่วยทำให้ข้าไปถึงระดับราชาพันปีได้เร็วขึ้น เส้นทางแรกที่ควรเลือกเดินดูเหมือนจะเป็นวิถีแห่งเต๋า ส่วนมรดกหยินหยางนั้นก็ต่อเมื่อมีเวลาว่างที่จะทำความเข้าใจมัน”
เป่ยเฟิงไม่ต้องการที่จะจบลงเพราะความโลภมากเกินไปของเขา ความแข็งแกร่งของคนในโลกใบนี้สูงมาก ผู้ฝึกตนขั้นหนึ่งของร้อยปีก็เหมือนหมาข้างถนน มีเพียงราชาพันปีเท่านั้นที่มีสิทธิ์ในการพูด