แสงจันทร์สีม่วงสาดส่องลงมาทั่วผืนดิน กระแสพลังงานดวงดาวไหลเข้ามาในร่างของเป่ยเฟิง ความรู้สึกเย็นยะเยือกแผ่กระจายไปทั่วร่างทำให้เซลล์ของเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
“ธรรมชาติของที่นี่มีแต่ของมีประโยชน์ ขนาดหลินฉีของดวงจันทร์เองก็ยังหนาแน่นและมหาศาลมาก”
เป่ยถอนหายใจ แม้ว่าเขาอาบแสงจันทร์จะดูเหมือนไม่ได้มีอะไรมากนัก แต่หากคนธรรมดาได้ดูดซับแบบนี้ไปเรื่อย ๆ หลายสิบปี แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้ฝึกตนแต่ก็มีร่างกายที่แข็งแกร่งมากขึ้น !
“ท่านพ่อ “
“ท่านปู่ !”
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องอาหาร ผู้คนกว่า 10 คนก็ลุกขึ้นยืนและพูดด้วยความตื่นเต้น
“ฮ่าฮ่า ไม่เป็นไร ทุกคนนั่งลงได้แล้ว”
เป่ยเฟิงพยักหน้าและยิ้มจาง ๆ ก่อนจะนั่งลงที่หัวโต๊ะ
อาหารบนโต๊ะอร่อยมาก ส่วนใหญ่มันเป็นเนื้อสัตว์อสูรขั้นสามของร้อยปี มีบ้างที่เป็นขั้นสี่ของร้อยปี
นอกเหนือจากเสียงเคี้ยวแล้วไม่มีเสียงใด ๆ บนโต๊ะอาหาร ดูเหมือนเจ้าของร่างคนก่อนจะตั้งกฏเอาไว้ว่าห้ามใครพูดคุยกันในระหว่างมื้ออาหาร
เป่ยเฟิงกินเร็วมาก ส่วนใหญ่เขากินเพียงเนื้อสัตว์อสูรขั้นสามเท่านั้น สัตว์อสูรขั้นสี่มันมีพลังมากเกินไป ร่างกายของเขาในตอนนี้ยังรับมันไม่ไหว
เนื้อเหล่านี้ได้มาจากทีมล่าสัตว์ที่เข้าไปล่าในหอคอยเชื่อมสวรรค์ ราคาของมันแพงพอสมควร เพียงแค่อาหารบนโต๊ะหากเอาไปเสิร์ฟบนโรงแรมหรือภัตตาคาร ราคาของมันนั้นมากกว่า 10,000 HCD เสียอีก !
ราคานี้ถือว่าแพงมากสำหรับบางคน นอกจากนี้เงิน 10,000 HCD มันเพียงพอที่จะทำให้ครอบครัวธรรมดาที่มีกันอยู่ 3 คนใช้ชีวิตสุขสบายไปได้หลายปี
สัตว์อสูรท้องถิ่นบนดวงดาวเทียนมู่จัดว่าเป็นสัตว์ที่ได้รับการคุ้มครองและยังมีพื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อให้พวกมันอาศัยและใช้ปกป้องพวกมัน ดังนั้นเหล่านักล่าจึงทำได้เพียงล่าพวกมันในหอคอยเชื่อมสวรรค์เท่านั้น
หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว เป่ยเฟิงก็นึกชั่วครู่ก่อนจะประกาศขึ้น “นับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป ทุกอย่างที่เกี่ยวกับบริษัทจะถูกส่งต่อให้กับลูกชายคนแรกและลูกชายคนที่สอง ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าจัดการมันกันเอง ส่วนเจ้าหลี่ฮวง ข้าผิดหวังในตัวเจ้าจริง ๆ เจ้าไม่เคยทำอะไรให้กับบริษัทได้เลย ต่อไปนี้เจ้าจะไม่มีสิทธิ์มีเสียงใด ๆ กับบริษัทอีกต่อไป”
ตอนที่เขาได้รับความทรงจำของหลี่ฉินเทียน เขาก็เข้าใจในตัวลูกชายตัวเองได้อย่างดี
หลี่เหลียงเป็นคนที่มีความใจเย็นและมั่นคง เวลาเขาทำสิ่งใดเขาจะไม่ประมาท ส่วนหลี่ไป๋หยู่เป็นคนใจร้อนแต่เขาก็ฉลาด เขามีแนวโน้มที่จะวางแผนจัดการหลาย ๆ อย่างได้ ทั้ง 2 คนถือว่าเป็นบุคคลที่เหมาะจะสืบทอดกิจการต่าง ๆ ของเขาเพราะพวกเขาเป็นพี่น้องกันดังนั้นจึงให้พวกเขาช่วยกันบริหารบริษัทมันจะทำให้ทุกอย่างไปได้ดีแน่นอน
ส่วนหลี่ฮวง เป่ยเฟิงไม่อยากพูดกับเขามาก เขาเป็นนายน้อยเอาแต่ใจ ตั้งแต่เด็กเขาสร้างแต่ปัญหาจนยากที่จะนับได้ เขาคงได้แต่ปล่อยให้เขามีชิวตอยู่โดยอาศัยเงินปันผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่อไปเท่านั้น
“ท่านพ่อ ตอนนี้ท่านก็กลับมาแข็งแรงแล้ว ภายใต้การนำของท่านมันจะต้องทำให้บริษัทเจริญก้าวหน้าแน่นอน”
“ใช่ท่านพ่อ อีกอย่างตอนนี้พี่ใหญ่กับข้ายังไม่พร้อม !”
“คุณพ่อ ! ไม่ว่ายังไงหลี่ฮวงก็ยังเป็นลูกของคุณ คุณจะลำเอียงมอบทุกอย่างให้กับลูกคนแรกกับคนที่สองไม่ได้ อย่างน้อยก็แต่งตั้งให้เขาเป็นผู้จัดการหรืออะไรก็ได้”
เป่ยเฟิงเค้นเสียงอย่างเย็นชาและพูดต่อ “หุบปาก ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่แกยุ่งเรื่องกิจการของตระกูลหลี่ได้ อย่าคิดว่าหลายปีนี้ข้าไม่รู้อะไร ผลประโยชน์ที่แกได้รับเคยมีไหมที่จะย้อนกลับมาหาตระกูลหลี่ หรือมันจะไปอยู่ตระกูลแกหมด ?”
เป่ยเฟิงพูดตรง ๆ พร้อมกับมองหน้าซูเหม่ยที่กำลังเหงื่อออก
“ท่านพ่อ …”
เป่ยเฟิงหันหน้ามาด้วยความโกรธและพูดขึ้น “เงียบ ข้ารู้สึกผิดหวังจริง ๆ ที่แกทำตัวไร้ประโยชน์แบบนี้ มันคงจะดีกว่านี้ถ้าแกทำตัวดีและช่วยเหลือธุรกิจของตระกูลได้ แต่ถ้าแกไม่ต้องการที่จะจบลงแค่นี้แกก็ไปเริ่มทำงานในบริษัทซะ เริ่มจากระดับล่างสุดและค่อย ๆ ไต่เต้าขึ้นมา นอกจากนี้อย่าลืมว่านามสกุลแกคือหลี่ ไม่ใช่ซู !”
ทุกคนเงียบราวกับจักจั่นที่แข็งตายในฤดูหนาว ไม่มีใครคิดเลยว่าหัวหน้าตระกูลจะระเบิดความโกรธออกมา นอกจากนี้ดูเหมือนอารมณ์ของเขาจะรุนแรงกว่าเมื่อก่อนมาก !
“ข้าเข้าใจแล้ว”
หลี่ฮวงก้มหัวลงด้วยความเศร้า เขาไม่คิดเลยว่าพ่อของเขาจะโกรธมากขนาดนี้
เป่ยเฟิงหันหน้าหนีจากหลี่ฮวงและพูดขึ้นอีกครั้ง “เอาล่ะ เจ้ากลับไปก่อน การตัดสินใจสำหรับตัวเจ้าค่อยคิดทีหลังก็ได้ แต่ตอนนี้อย่าทำให้ข้าผิดหวัง”
“ท่านพ่อ ท่านไม่คิดว่าการทำแบบนี้มันจะรุนแรงกับน้องสามไปงั้นหรอ …” หลี่เหลียงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“เมื่อก่อนข้าตามใจเขามากเกินไปทำให้เขาไม่เคยเรียนรู้และไม่เคยทำอะไรได้เลย มันจะเป็นปัญหาสำหรับตระกูลหลี่หากในอนาคตเขายังเป็นแบบนี้ต่อไป แต่ถ้าเขาไม่อยากจะจบลงแค่นี้และอยากจะพัฒนาละก็ ข้าก็พร้อมที่จะสนับสนุนเขาทุกอย่าง !”
นี่เป็นสิ่งที่หลี่ฉินเทียนคิดเอาไว้และเป่ยเฟิงก็พูดออกไป
เป่ยเฟิงมองไปที่หลี่ฉิหลินและพูดด้วยความจริงจัง “ฉิหลิน ถึงพรสวรรค์ของเจ้าจะไม่เลว แต่เจ้าก็ผ่อนคลายและขึ้เกียจมากเกินไป นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนกว่าเจ้าจะตัดผ่านระดับไปยังขั้นที่สามของร้อยปีได้ เจ้าจะถูกกักบริเวณห้ามออกไปไหนเด็ดขาด”
“เอ๋ ?”
ดวงตาของหลี่ฉิหลินเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อกี้เขาเพิ่งหัวเราะสภาพของลุงสามไป แต่ในพริบตาไฟก็ลามมาถึงหน้าประตูห้องเขาแล้ว เขาทำได้เพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น
อำนาจของหลี่ฉินเทียนในตระกูลนั้นใหญ่ที่สุด การตัดสินใจของเขาแทบจะไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย ดังนั้นหลี่ฉิหลินจึงทำได้เพียงยอมรับมัน
“เพ้ย ในที่สุดก็เข้าใจอำนาจและความมั่งคั่งมันคืออะไรเมื่อต้องใกล้ตาย หากไม่ใช่เพราะผ่านประตูนรกมาได้ข้าคงเป็นแค่เจ้าโง่ไปวัน ๆ แต่ตอนนี้ข้ากลับมาแล้ว กลับมาพร้อมกับความแข็งแกร่งและอายุที่ยืนยาวขึ้น” เป่ยเฟิงถอนหายใจออกมา
“ท่านพ่อ ท่านเพิ่งตัดผ่านระดับมาได้และยังเหลือเวลาอีกมาก ข้าเชื่อว่าต่อจากนี้ไปท่านจะต้องตัดผ่านระดับสูงกว่านี้ได้แน่นอน !”
ทุกคนสนับสนุนให้กำลังใจเป่ยเฟิง อย่างไรก็ตามไม่มีใครมั่นใจในโอกาสนั้น บางทีมันคงได้แต่พึ่งความโชคดีเท่านั้น แต่ความโชคดีนั้นมันจะเกิดขึ้นตอนไหนกัน ?
“ข้าตัดสินใจแล้ว เดือนหน้า ข้าจะเชิญผู้เชี่ยวชาญมาจากนั้นก็ตามข้าไปที่หอคอยเชื่อมสวรรค์เพื่อตามหาโอกาสของข้า” เป่ยเฟิงประกาศขึ้น อย่างไรก็ตามคำพูดของเขาก็เหมือนกระสุนปืนใหญ่สำหรับทุกคน
“ไม่ได้ ท่านพ่อ หอคอยเชื่อมสวรรค์มันอันตรายเกินไป ! มันยอดเยี่ยมที่ท่านเชิญผู้เชี่ยวชาญเข้ามา แต่พวกเราจะให้ท่านไปเสี่ยงอันตรายแบบนั้นได้ยังไงกัน ?”
“ใช่ ท่านปู่ พวกเรายังพัฒนาไปได้อีก ปล่อยให้พวกเราหาผลไม้ธรรมชาติมาให้ท่านเองดีกว่า”
ทุกคนเต็มไปด้วยความกังวล พวกเขาต้องการให้พ่อของพวกเขาเปลี่ยนความคิดนี้ให้ได้
นี้มันเรื่องตลกอะไรกัน ? ชายชราที่เพิ่งรักษาชีวิตมาได้จนเกือบจะตายในวินาทีสุดท้าย หากไม่ใช่เพราะโชคดีเขาคงผ่านมาไม่ได้ แต่ทว่าหลังจากผ่านอันตรายมาได้แล้วเขากลับอยากวิ่งเข้าไปในหอคอยเชื่อมสวรรค์ ? เขารู้สึกว่าชีวิตของเขามันยืนยาวเกินไปและอยากลองตายดู ?
หลี่ฉินเทียนไม่เคยเข้าไปในหอคอยเชื่อมสวรรค์มาก่อนเลยซักครั้งในชีวิต ไม่ต้องพูดถึงหอคอยเชื่อมสวรรค์ เขายังไม่เคยแม้แต่จะสู้กับใครมาก่อน ! แม้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญมาปกป้องเขา แต่มันก็ยังอันตรายอยู่ดี
ทุกปีจะมีคนจำนวนนับไม่ถ้วนเข้าไปในหอคอยเชื่อมสวรรค์แต่ก็ไม่ได้ออกมา นอกเหนือจากหอคอยเชื่อมสวรรค์ไม่กี่แห่งบนโลกที่พัฒนาแล้ว หอคอยเชื่อมสวรรค์อันอื่นยังคงเต็มไปด้วยอันตรายที่ยังไม่มีใครรู้ว่ามีอะไรรออยู่ข้างใน
“ข้าตัดสินใจแล้วและจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป’
เป่ยเฟิงขมวดคิ้วแล้วเดินออกมาทันที
คนอื่น ๆ ทำได้เพียงแค่มองหน้ากันไปมา ดูเหมือนชายชราจะเปลี่ยนไปหลังจากได้รับประสบการณ์เข้าใกล้ความตาย
ทุกคนโกรธมาก แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ต่อให้เตรียมตัวไปดีแค่ไหนก็ตาม แต่เมื่อเข้าไปในหอคอยเชื่อมสวรรค์มันก็ยังมีโอกาสที่จะไม่ได้ออกมาอยู่ดี
“ดูเหมือนท่านพ่อจะเปลี่ยนไปมากหลังจากที่ฟื้นขึ้นมา”
“ตอนนี้มันดูเหมือนเขาเปลี่ยนไปเป็นอีกคน แต่ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะเข้าไปในหอคอยเชื่อมสวรรค์ พวกเราคงทำอะไรไม่ได้นอกจากกลับไปที่บริษัทและเริ่มงาน”
หลี่เหลียงและหลี่ไป๋หยู่พูดกันด้วยความปวดหัว สำหรับชายชราที่เพิ่งตัดผ่านระดับมาได้ อยู่ดี ๆ เขาก็อยากจะเข้าไปสัมผัสความตายอีกครั้งนี้ พวกเขาไม่รู้จะทำยังไงจริง ๆ …
เป่ยเฟิงไม่สนใจว่าคนอื่น ๆ จะคิดยังไง เขากลับไปที่ห้องและจากนั้นก็จุดเทียนหอมและนั่งไขว้ข้างพร้อมกับค่อย ๆ หลับตาลง
ควันหนา ๆ ลอยออกมาจากเทียน มันไม่ได้ทำให้จมูกระคายเคืองแม้แต่น้อย กลับกันมันทำให้จิตใจรู้สึกสบายใจมาก นอกจากนี้มันยังช่วยทำให้เลือดและฉีหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น
เทียนเล่มนี้ทำมาจากสมุนไพรจิตวิญญาณพิเศษที่หาได้จากหอคอยเชื่อมสวรรค์ มันต้องใช้เวลากว่าร้อยปีถึงจะสร้างขึ้นมาได้ และแต่ละอันก็มีราคา 10,000 HCD มันมีประโยชน์สำหรับผู้ฝึกตนอย่างมาก
เป่ยเฟิงจมลงไปในห้วงสมาธิ เขาจัดการอารมณ์ของตัวเองและเริ่มหมุนเวียนเลือดและฉี
หัวใจของเขาสูบฉีดอย่างแรง จากนั้นก็ดันเลือดจำนวนมากไปทั่วร่าง ในเวลาเดียวกันเส้นใยพลังฉีจำนวนมากก็ไหลเข้าไปในหัวใจของเขาทีละน้อย อย่างไรก็ตามเลือดและฉีของเขากลับบริสุทธิ์มากขึ้น
มรดกการต่อสู้ของโลกใบนี้มีประวัติอันยาวนานและจากประวัติของมัน มันไม่ได้แยกกันระหว่างฉีและเลือด แต่พวกมันกลับรวมกัน ความแข็งแกร่งที่ได้จากการกลั่นฉีที่บริสุทธิ์ไปพร้อมกับร่างกายจะทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 30 %!
แม้ว่ามันจะดูไม่มาก แต่มันก็ทำให้สามารถได้เปรียบผู้ฝึกตนระดับเดียวกันได้ นอกจากนี้ความเร็วในการฝึกฝนก็เพิ่มเร็วขึ้นมากกว่าผู้ฝึกตนทั่วไป
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เป่ยเฟิงเลือกที่จะใช้การฝึกฝนของโลกใบนี้ต่อไป แม้ว่าเขาจะอยู่ในขั้นที่สองของร้อยปีแต่ขั้นที่สามของร้อยปีก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา !
นอกจากนี้เป่ยเฟิงยังมีเทพเจ้าแห่งดวงดาวขั้นที่สามอยู่ในดวงวิญญาณถึงสามดวง แต่ละตนก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าผู้ฝึกตนขั้นที่สามของร้อยปี !
ในขณะเดียวกัน ภายในจิตวิญญาณของเขา จุดรูรับแสงค่อย ๆ เปล่งประกายพร้อมกับพลังหยินจำนวนมากที่ไหลเข้ามาในรูรับแสง
ในไม่ช้ารูรับแสงของเทพเจ้าแห่งดวงดาวหยินก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน จากนั้นบนยอดมงกุฏของเทพเจ้าแห่งดวงดาว มันมีเส้นสาวสีม่วงจำนวนมากเหมือนงูเล็ก ๆ ส่ายไปมาจากนั้นก็ค่อย ๆ เข้าไปในร่างของเธอ
ในไม่ช้าเทพเจ้าแห่งดวงดาวก็ดูเหมือนบริสุทธิ์มากขึ้น จากนั้นพลังงานที่บริสุทธิ์ก็ออกมาจากเธอและแทงเข้าไปในร่างของเป่ยเฟิงราวกับเข็มที่แหลมคม
ส่วนร่างกายของเป่ยเฟิงเองตอนนี้ก็อยู่ในระหว่างการกลั่นตัวเอง เซลล์จำนวนมากเริ่มตกผลึกจากนั้นก็ดูดกลืนพลังงานใหม่และแยกออกเป็นเซลล์ใหม่อีกครั้ง
พลังงานสีม่วงที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากเทพเจ้าแห่งดวงดาวราวกับไม่อยากเข้าไปในกระดูกของเขา มันจึงกระแทกกระดูกของเขาก่อนจะค่อย ๆ หายเข้าไปในกระดูก
เป่ยเฟิงรู้สึกเจ็บปวดกระดูกมาก มันราวกับถูกไฟฟ้าดูดจนขยับไม่ได้ หลังจากนั้นความร้อนก็ค่อย ๆ แผ่กระจายออกมาจากภายในกระดูกของเขาราวกับกระดูกของเขากำลังลุกไหม้ !
เหงื่อจำนวนมากปรากฏบนหน้าของเป่ยเฟิง มันค่อย ๆ ไหลลงมาจนถึงคางของเขา หากเขาถอดเสื้อผ้าออกตอนนี้ก็สามารถมองเห็นกระดูกสันหลังบนหลังของเขาได้ชัดเจน ! ผิวของเขาเองก็ร้อนราวกับกุ้งที่ถูกทอดจนสุก !
นี่คือความพยายามที่จะกลั่นกระดูกและกลั่นเลือดของเขา ตอนนี้กระดูกสันหลังของเขาราวกับหัวของมังกรอย่างช้า ๆ
กระดูกสันหลังทั้งหมดแนบไปกับผิวหนังพร้อมกับแผ่ความร้อนมหาศาลออกมา
แม้ว่าจะเจ็บปวดแต่ก็ไม่ได้ทำให้เป่ยเฟิงเปลี่ยนสีหน้าได้ ความเจ็บปวดแค่นี้มันเทียบไม่ได้กับการถูกตัดวิญญาณแม้แต่น้อย มันไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาสะดุ้งด้วยซ้ำ
เลือดสด ๆ ค่อย ๆ ไหลออกมาจากรูขุมขนของเขา เนื้อสัตว์อสูรที่เพิ่งกินไปเองก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นพลังงานเพื่อทำให้เขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
จริงอยู่ที่วันนี้เขาสามารถตัดผ่านระดับมาได้สำเร็จ แต่นั้นก็เพราะสมุนไพรจิตวิญญาณและหลิงฉีจำนวนมากรวมไปถึงหมอกสีเทาที่ทำให้เขาผ่านมาได้ แต่ทว่ามันกลับทำให้เขาเป็นเพียงเปลือกนอกที่ว่างเปล่าเท่านั้น และตอนนี้เป่ยเฟิงเองก็กำลังเปลี่ยนจากเปลือกนอกที่ว่างเปล่าให้กลายเป็นเปลือกที่เต็มไปด้วยพลัง