หลังจากนั้นเขาก็ใช้เวลาสั้น ๆ เพียง 10 ปี เจ้าเมืองนภาก็มีพลังจากเดิมเพียงขั้นหนึ่งของร้อยปีไปเป็นราชาพันปี ! ความเร็วในการพัฒนาของเขามันเร็วมากจนคนนับไม่ถ้วนต้องตกตะลึง !
และหลังจากผ่านไปหลายปีเขาก็เลื่อนไปเป็นราชาพันปีขั้นกลางระดับสูง สำหรับสหายที่เคยเติบโตมาพร้อมกับเขานั้นยังคงติดอยู่ที่ขั้นสี่ของร้อยปี !
แม้ว่าพรสวรรค์ของเขาจะธรรมดา แต่เพราะความเข็มแข็งและไม่ย่อท้อของเขา จากนั้นไม่นานเขาก็ไปถึงขั้นราชาพันปี !
แน่นอนว่าในป่าใหญ่นั้นมีคนที่มีพรสวรรค์แบบเขานับไม่ถ้วน แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็ยอมแพ้ไปทีละนิด ๆ จนสุดท้ายก็ไปไม่ถึงแม้แต่ระดับพันปี
ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับการฝึกตน ดังนั้นเมื่อหลายคนเห็นว่าท่านหัวหน้าตระกูลของพวกเขาตัดผ่านระดับโดยใช้เวลาสั้น ๆ มันก็ทำให้พวกเขาคิดถึงเรื่องนี้ทันที
ในฐานะที่ถูกเลี้ยงดูโดยคนของตระกูลหลี่ ทุกคนถูกตีตราว่าเป็นของตระกูลหลี่ทันที แม้ว่าพวกเขาอยากจะทรยศ แต่ก็ไม่มีอำนาจใดไปต่อต้านได้ เนื่องจากพวกเขาถูกเลี้ยงดูโดยตระกูลหลี่มันจึงทำให้ขุมอำนาจอื่น ๆ ระวังพวกเขาอย่างมาก นอกจากนี้ใครมันจะไปรับคนที่กล้าทรยศคนที่เลี้ยงดูชุบเลี้ยงมากับมือกัน ? ดังนั้นหากไม่ใช่เพราะเป็นอัจฉริยะไร้ต้านก็ไม่มีใครคิดที่จะสอดมือมายุ่งเกี่ยว
ส่วนหลี่ปู้และคนที่เหลือมีพรสวรรค์ในการฝึกฝนอยู่ที่ระดับอัจฉริยะทั่วไป มันจึงไม่มีขุมอำนาจใดสนใจพวกเขา
ตอนนี้พวกเขาก็เหมือนตั๊กแตนที่เกาะเชือกเส้นเดียวไปกับตระกูลหลี่ ยิ่งตระกูลหลี่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเป็นผลดีกับพวกเขาอย่างมาก
เป่ยเฟิงคอยเฝ้ามองการกระทำของหลี่ปู้และคนที่เหลือมาตลอดในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาและเขาก็รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก ในฐานะคนที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยตระกูลหลี่ทำให้ความจงรักภักดีของพวกเขาไม่จำเป็นต้องพูดถึง อย่างไรก็ตามเป่ยเฟิงยังไม่อยากมอบความสามารถใด ๆ ให้กับพวกเขาเร็วนัก
‘รออีกหน่อย เมื่อไหร่ก็ตามที่ข้าเข้าใจมรดกหยินหยางได้ละก็ ข้าก็จะเริ่มแผนการของข้าได้ซักที’ เป่ยเฟิงคิดเงียบ ๆ
หัวใจของผู้ชายนั้นอ่อนไหวง่ายต่อการเปลี่ยนแปลง เป่ยเฟิงไม่ต้องการเดิมพันในขณะที่เขายังอ่อนแอเกินไป
ประโยชน์ของการมีองค์กรที่ทรงอำนาจนั้นเขารู้ดี เขาสามารถมอบธุระส่วนตัวให้คนเหล่านี้จัดการได้โดยที่เขาไม่ต้องมาเสียเวลาสำหรับการฝึกฝนไปให้เสียเปล่า
หลังจากตัดผ่านสำเร็จแล้ว เป่ยเฟิงก็เริ่มให้ความสำคัญในการเข้าใจมรดกหยินหยางมากขึ้น ดูเหมือนเขาจะเริ่มเข้าใจบางอย่างแล้ว
เป่ยเฟิงในตอนนี้นั่งอยู่บนยอดสูงสุดของภูเขาและมองดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้า แต่หากใครมามองเห็นเขาก็จะเห็นว่าสายตาของเป่ยเฟิงเต็มไปด้วยความว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด
จุดเริ่มต้นของการเข้าใจวิถีของมรดกหยินหยางก็คือจุดประกายพระราชวังดวงดาวให้ได้ จากนั้นก็ทำการจุดประกายดวงดาวซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างต่อเนื่องจนสามารถสร้างกลุ่มดาวของตัวเองขึ้นมาได้สำเร็จ
ภายในจิตสำนึกของเป่ยเฟิง ม่านหมอกของพลังจิตถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ จากนั้นก็ผสานเข้าด้วยกันเพื่อสร้างพระราชวังดวงดาวขนาดเล็กที่สูงไม่ถึงสามเมตร
แม้ว่าพระราชวังดวงดาวจะยังมีขนาดเล็ก แต่มันกลับเต็มไปด้วยความสมบูรณ์แบบ พลังจิตของเป่ยเฟิงในตอนนี้กำลังเริ่มสร้างโครงของมันอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่กำลังสร้างพระวังดวงดาวนั้น พลังจิตของเป่ยเฟิงลดลงเร็วมากราวกับน้ำที่ไหลออกมาจากเขื่อ
เป่ยเฟิงรู้สึกได้ถึงความเมื่อยล้าที่กำลังแผ่กระจายไปทั่วร่างของเขา การสร้างมันโดยอาศัยความคิดและจิตวิญญาณมันแบกรับภาระมากเกินไป นอกจากนี้มันยังห้ามมีความผิดพลาดเลยซักนิดเดียว หากมีอะไรผิดพลาดละก็ทุกอย่างที่สร้างมาก็จะพังทลายลงไป เขาจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 วันเพื่อฟื้นฟูมัน
เป่ยเฟิงล้มเหลวไปหลายครั้งแล้ว แม้ว่ามันจะดูเหมือนเขาล้มเหลวมาตลอดแต่อย่างน้อยก็มีข้อดีอย่างหนึ่งก็คือพลังจิตของเขาค่อย ๆ เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งเขาพยายามสร้างพระราชวังดวงดาวมากแค่ไหน พลังจิตของเขาก็พัฒนาเร็วขึ้นตามไปด้วย
พลังจิตของเป่ยเฟิงสามารถกระจายรอบตัวได้ไกลกว่า 800 เมตร และตอนนี้หลังจากผ่านไป 3 เดือนมันก็ขยายไปเป็น 832 เมตร !
แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 32 เมตร แต่มันก็ดีมากแล้ว พลังจิตมันยากที่จะฝึกฝนได้ ดั้งนั้นเป่ยเฟิงจึงค่อนข้างมั่นใจมากว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่พระราชวังดวงดาวของเขาสร้างเสร็จแล้ว พลังจิตของเขาจะเลื่อนระดับไปอีกขั้น
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ เหงื่อจำนวนมากปรากฏบนหน้าของเป่ยเฟิง
“อีกนิดเดียว อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น !”
วิญญาณของเป่ยเฟิงกำลังร้องไห้อย่างหนักเพราะหมอกในทะเลแห่งจิตสำนึกของเขากำลังถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ แต่ในวินาทีต่อมาหมอกก็กลับมาอีกครั้ง
“พลังแสงดาว มอบพลังให้ข้า !”
เป่ยเฟิงเค้นพลังทุกส่วนออกา พลังจิตของเขาใกล้จะหมดอยู่ล้ำล่อ
หากครั้งนี้เขาล้มเหลวอีกครั้ง ผลที่ตามมาจะหนักกว่าครั้งก่อนหลายเท่า เขาจะต้องใช้เวลาหลายเดือนเพื่อฟื้นคืนพลังจิตที่เสียไป หรือในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดของพลังจิตของเขาลดลง !
พายุหมุนไปรอบตัวเป่ยเฟิงทำให้ฝุ่นและใบไม้จำนวนมากลอยเป็นกระแสน้ำวนรอบตัวเขา
ร่างกายของเป่ยเฟิงสั่นและรู้สึกเหมือนกับเขาล่องลอยอยู่ในอวกาศ จากนั้นเมื่อเขาลืมตาขึ้นเขาก็ต้องตกใจอ้าปากค้างกับสิ่งตรงหน้าเขา
“เป็นไปได้ยังไงกัน ? ไม่ใช่ว่าข้าอยู่ในภูเขางั้นหรอ ?”
เป่ยเฟิงมองไปรอบ ๆ ตัวเขา มันเป็นดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่บนท้องฟ้า เขารู้สึกมองไปรอบ ๆ ด้วยความตกใจ
“แย่แล้ว !”
ทันใดนั้นความเจ็บปวดมหาศาลก็พุ่งมาหาเขา เป่ยเฟิงตื่นขึ้นจากภวังพร้อมกับจิตวิญญาณที่สั่นสะเทือน พลังจิตของเขาถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ พร้อมกับพระราชวังที่จากส่องแสงก็เริ่มสลายตัวไป
เมื่อเห็นว่าพระราชวังดวงดาวกำลังจะแตกสลายไป เขาไม่มีทางเลือกอีกแล้วนอกจากใช้มรดกหยินหยาง
มรดกหยินหยางมันไม่ใช่เคล็ดการฝึกฝนเลือดและฉี แต่มันคือการใช้พลังแสงดาว !
เมื่อเป่ยเฟิงเริ่มใช้เคล็ดหยินหยาง ดวงดาวจำนวนมากบนท้องฟ้าก็ปลดปล่อยพลังงานดวงดาวออกมาแล้วไหลเข้าไปในพระราชวังดวงดาวของเป่ยเฟิง !
หนึ่งรอบ !
สองรอบ !
เป่ยเฟิงไม่รู้เลยว่าเขาหมุนเวียนพลังไปตามวิถีของเทคนิคหยินหยางไปกี่ครั้ง พลังดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนไหลเข้าไปในพระราชวังดวงดาวของเขาเพื่อไม่ให้มันสลายหายไป
พลังดวงดาวของแต่ละดาวนั้นแตกต่างกันออกไป บางดวงก็อ่อนโยน บางดวงคมกล้า บางดวงลึกลับ แม้ว่าดวงดาวแต่ละดวงจะส่งพลังบางส่วนมาให้แต่นั้นก็ไปด้วยพลังดวงดาวมหาศาล พลังดวงดาวที่ไหลมารวมกันนั้นหากประมาณคร่าว ๆ ก็เพียงพอที่จะสร้างมหาสมุทรขึ้นมาได้ !
ภายในจิตสำนึกของเป่ยเฟิง คลื่งพลังดวงดาวไหลเข้าไปในพระราชวังดวงดาวอย่างต่อเรื่อย ซึ้งพลังดวงดาวแต่ละดวงนั้นมันแตกต่างกันออกไปและเมื่อมันเข้าไปแล้วมันก็แผ่ความลึกลับที่ดูโบราณออกมามากขึ้น
ในเวลาเดียวกัน พระราชวังดวงดาวของเป่ยเฟิงก็เริ่มกลับคืนสู่สภาพเดิม จากนั้นด้วยพลังจากดวงดาวหลายดวง วัสดุที่ใช้สร้างพระราชวังดวงดาวก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง
ในเวลาเดียวกันเป่ยเฟิงรู้สึกราวกับตัวเองได้กลายเป็นดวงดาวขนาดใหญ่ไปแล้ว เขารู้สึกได้ถึงการไหลเวียนของพลังงานจำนวนนับไม่ถ้วนในร่าง มันราวกับเขากำลังเฝ้ามองสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อยู่บนดวงดาวแห่งชีวิต
“ดิ๊ง ดิ๊ง !”
มีเสียงดังปลุกเป่ยเฟิงให้ตื่นขึ้น พระราชวังดวงดาวในตอนนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์ มันมีความสูง 3 เมตรและกว้าง 6 เมตร ตอนนี้มันกำลังลอยอยู่ระหว่างทะเลจิตสำนึกของเขา
พระราชวังดวงดาวมีเพียงชั้นเดียว หากมองดูมันดูด้านบนจะมีหอคอยสูงตระหง่าอยู่ บนหอคอยมีระฆังซึ้งระฆังก็โบกไปตามสายลมและส่งเสียงออกมา
ในหูของเป่ยเฟิงก้องกังวานไปด้วยเสียงระฆัง มันทำให้วิญญาณของเขารู้สึกสงบอย่างมาก มันราวกับการเล่นบทเพลงที่ทำให้จิตวิญญาณของเขาสบายเบาบางอย่างมาก
กระแสพลังงานสีดำจำนวนมากไหลออกาจากพลังจิตและวิญญาณของเขาอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้นเมื่อเสียงระฆังได้ขึ้นเป่ยเฟิงก็รู้สึกได้ถึงพลังจิตและวิญญาณที่กำลังสั่นไหว
ทันใดนั้นพลังจิตจากที่กระจายออกไปรอบ ๆ เกือบ 1,000 เมตรก็หดลงมาเหลือ 800 เมตร 600 เมตร 300 เมตร … จนกระทั่งถูกบีบเหลือเพียง 1 เมตรเท่านั้น !
แต่มันยังไม่หมดแค่นั้น พลังจิตที่เหลือเพียง 1 เมตรเริ่มสั่นอย่างรุนแรง แม้ว่ามันจะเล็กมากแต่ทว่าพลังของพลังจิตกลับเต็มไปด้วยพลังมหาศาล !
จุดเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นกลางมวลของพลังจิต หลังจากนั้นพลังจิตก็ยุบเข้าไปในจุดนั้น !
หลังจากนั้นผลึกสีเงินขาวเท่าเมล็ดงาก็ปรากฏบนมือวิญญาณของเป่ยเฟิง หากมองดี ๆ จะเห็นว่าภายในผลึกนันอัดแน่นไปด้วยพลังงานมหาศาลที่ใหญ่กว่าตัวมันหลายสิบ หลายร้อย หลายพันเท่า !
วิญญาณของเป่ยเฟิงจากสูง 1 ชุนก็ลดเหลือลงมาครึ่งชุน มันเป็นอะไรที่ยากจะอธิบาย เหตุการณ์ในตอนนี้มันเป็นอะไรที่ยิ่งกว่าตอนที่เขาสูญเสียทุกอย่างไปก่อนหน้านี้อีกด้วยซ้ำ
จากนั้นเสียงระฆังก็ดังขึ้นอีกครั้ง ในไม่ช้าเป่ยเฟิงก็เต็มไปด้วยความสับสนอีกครั้งเมื่อมองรอบ ๆ ตัว พื้นที่จากที่เป็นดวงดาวได้หายไปและแทนที่ด้วยตัวเขาที่ยืนอยู่บนยอดเขา
ย้อนกลับไปที่หลี่ปู้และคนอื่น ๆ เมื่อสักครู่พื้นที่ทั้งหมดได้สั่นอย่างกระทันหันก่อนจะกลับมาสงบ พวกเขาสงสัยมากว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ไกลออกไปในอวกาศที่ใช้เวลาเดินทางหลายล้านปีแสง บนดาวขนาดใหญ่ที่หมุนช้า ๆ ผิวพื้นของดาวเคราะไปด้วยเงาทั้งหมด แต่ทว่าแรงกดดันที่ปลดปล่อยออกมาจากดวงดาวนั้นมันมีพลังมากพอที่จะกดขี่ทั้งกาแลคซี่ !
ในขณะเดียวกัน บนดาวอีกดวง ในเมืองขนาดใหญ่ที่หาที่เปรียบไม่ได้ มีแท่นบูชาขนาดมหึมาที่ทอดยาวออกไปไกลหลายล้านจางตั้งอยู่ในใจกลางเมือง ซึ้งมันดูเหมือนจะเมืองจะสร้างอยู่รอบ ๆ มันเสียมากกว่า
ทั้งแท่นบูชาทำด้วยวัสดุล้ำค่า จำนวนทรัพยากรที่ใช้ในการสร้างมันมันน่าจะใจอย่างมากจนพูดได้ว่า “น่ากลัวเกินไปแล้ว !”
ดวงไฟเทพเจ้าทั้ง 8 ดวงที่ลุกโชนอยู่บนแท่นบูชา นี้คือตัวแทนของหลักการทั้ง 8 ของสำนักหยินหยาง ในเวลานี้มีดวงหนึ่งที่ไม่สว่าง
มีหญิงสาวหลายร้อยคนนั่งอยู่บนแท่นบูชา แต่ละคนแต่งตัวด้วยชุดคลุมสีม่วงพร้อมกับผ้าคลุมสีม่วงโปร่งแสงที่ปกปิดใบหน้าของพวกเขา
หากมองใบหน้าหญิงสาวแต่ละคนจะเห็นได้ว่ามีบางอย่างเบลอหน้าพวกเธอเอาไว้
กระแสพลังดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนไหลจากแท่นบูชาเข้าไปในร่างของหญิงสาว
สำนักหยินหยางแบ่งออกเป็น 8 สาขาและแต่ละสาขาก็มีศิษย์อยู่ 100 คน ซึ้งแต่ละสาขาจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในแท่นบูชาเพื่อฝึกฝนได้ รอบ ๆ แท่นบูชามีทหารในชุดเกราะสีดำคอยเดินวนเวียนอยู่รอบ ๆ พลังที่ปลดปล่อยออกมาจากพวกเขามันสูงจนน่าตกใจ
หลังจากที่ดวงไฟเทพเจ้าดวงหนึ่งได้ดับลงไป จากนั้นไม่นานมันก็ระเบิดขึ้น การระเบิดของดวงดาวนี้มันทะลุชั้นเมฆทึบเหนือแท่นบูชาและเผยให้เห็นดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้า !
ท้องฟ้าราวกับมีรูทะลุผ่าน การเปลี่ยนแปลงของพลังดวงดาวนี้ทำให้คนที่อยู่รอบ ๆ เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ศิษย์หลายคนที่กำลังฝึกฝนอยู่ถึงกับกระอักเลือดและกรีดร้องอยู่บนพื้น
หลังจากนั้นพลังดวงดาวก็ปรากฏตัวในระยะไกล มันแผ่แรงกดดันที่น่ากลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด !
ภายในพื้นที่มิติแยกออกไปในแท่นบูชา หญิงสาวคนหนึ่งค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ในดวงตาของเธอสามารถมองเห็นดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนได้ !
“สาขาที่ 3 ของมรดกหยินหยางของเราปรากฏตัวออกมาแล้ว”
ริมฝีปากของเธอขยับเบา ๆ จากนั้นเสียงที่เหมือนนางฟ้าก็ดังออกมา ถึงแม้ใบหน้าของเธอจะปกคลุมไปด้วยผ้าคลุมสีน้ำเงินแต่ก็สามารถมองเห็นได้ว่าเธอเป็นคนที่แม้แต่สวรรค์ก็ต้องสยบ
อารมณ์ของเธอดูเหมือนจะดีขึ้นอย่างมาก เธอค่อย ๆ ยิ้มจาง ๆ พร้อมกับหลับตาลงอีกครั้ง
“น่าสนใจ ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ห่างไกลเกินไป แต่ไม่เป็นไร ตราบใดที่เขาสร้างหอคอยดวงดาวได้เมื่อไหร่ ข้าก็สามารถติดต่อกับเขาได้”
ผู้นำอีกคนของสำนักหยินหยางเป็นเพศชาย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยลวดลายสีฟ้าจนมันดูคล้ายกับดวงดาว ลวดลายต่าง ๆ มันกระพริบไปมาพร้อมกับใบหน้าของเขาที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ