Fishing in the Myriad Heavens – ตอนที่ 524

ตอนที่ 524

เป่ยเฟิงยื่นมือออกไปจากจุดที่ยืนตรงขอบหน้าผา แม้ว่าด้านล่างจะดูเหมือนสามารถหล่นลงไปได้ แต่จริง ๆ แล้วมันถูกปกคลุมด้วยค่ายกลและไม่มีแม้แต่มดตัวเดียวที่จะหนีออกไปได้

มือของเขาค่อย ๆ สัมผัสกับค่ายกลที่ครอบคลุมพื้นที่ยอดเขาทั้งหมด

เขาค่อย ๆ เพิ่มแรงในการกดค่ายกล รอยแตกใยแมงมุมก็เริ่มเด่นชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกได้ถึงแรงที่กดกลับมายังร่างของเขา

นี่คือค่ายกลกับดัก มันสามารถสะท้อนการโจมตีบางส่วนกลับมาได้

“ค่ายกลนี้ไม่ใช่ของที่จะสร้างกันง่าย ๆ ใครเป็นคนสร้างมันกัน … ?” เป่ยเฟิงพึมพำกับตัวเอง

ค่ายกลที่มีอยู่บนดาวเทียนมู่ส่วนมากมาจากมรดกที่ตกทอดมาหรือมาจากภายนอก นอกจากนี้ส่วนใหญ่มันไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนดั้งเดิม

อย่างไรก็ตามค่ายกลตรงหน้าเขามันดูเหมือนไม่ใช่ของที่ไม่สมบูรณ์ เพราะมันสามารถกักขังผู้ที่มีพลังราชาพันปีได้ นอกจากนี้สิ่งที่ใช้สร้างค่ายกลดูเหมือนจะไม่ใช่ของที่หาได้ง่าย ๆ เพราะค่ายกลเหล่านี้มันดูราวกับถูกเตรียมการมาอย่างดีเพื่อใช้งานเพียงครั้งเดียว

ถึงแม้ว่ามันจะดูสร้างง่าย ๆ แต่ความจริงแล้วการสร้างค่ายกลแบบนี้มันใช้ทรัพยากรและมีมูลค่าที่สูงมาก !

“มันน่าจะมีบางอย่างที่ทำให้พวกมันไม่ได้ทำลายค่ายกลแต่ก็สามารถหนีออกไปได้ และมันก็มีความเป็นไปได้ 2 ทางที่พวกมันเลือกจะทำแบบนี้ อย่างแรกคือแค่ต้องการหยุดข้ากับกู่ฉีเอาไว้ ส่วนอีกอย่างก็คือ …”

เป่ยเฟิงขมวดคิ้วแน่น เหตุผลที่ 2 นั่นก็คือพวกมันแค่ต้องการขังพวกเขาเอาไว้จากนั้นก็ไปรวบรวมข้อมูลแล้วกลับมาอีกครั้ง

เป่ยเฟิงหันกลับมาถามจี่ฉี “กู่ฉี แกทำลายค่ายกลนี้ได้หรือเปล่า ?”

“ว๊าก !”

กู่ฉีไม่ได้พูดอะไร มันยกมือขึ้นแล้วดึงดาบสีแดงเลือดขึ้นมา จากนั้นพลังงานจำนวนมากก็เริ่มรวมกันกลายเป็นฝักดาบที่ครอบคลุมตัวดาบไว้

แรงกดดันมหาศาลกระจายไปรอบ ๆ กู่ฉี พื้นดินรอบ ๆ 20 เมตรโดยมีกู่ฉีเป็นศูนย์กลางเริ่มเกิดรอยร้าว

“ดาบชั้นยอด !”

เป่ยเฟิงยืนอยู่ข้าง ๆ มันสับสนเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะเห็นการต่อสู้ระหว่างกู่จีและชิหลิน แต่เขาก็วิเคราะห์ข้อมูลส่วนใหญ่จากพันกระเรียน

เป่ยเฟิงอยากรู้อยากเห็นมาก เจ้ากระต่ายที่ปลุกความสามารถของพลังวิญญาณดาบจะมีความสามารถมากแค่ไหนกัน ?

การเคลื่อนไหวของกู่ฉีเต็มไปด้วยพลัง แรงกดดันของมันเพิ่งสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ !

พลังแก่นแท้และพลังวิญญาณของมันไปรวมกันอยู่ที่ดาบ ตราบใดที่มีเวลามากพอมันก็ไม่ยากที่จะสังหารอีกฝ่ายที่มีพลังมากกว่า

แต่โดยปกติแล้วคงไม่มีคนงี่เง่าที่ไหนที่จะให้เวลาคู่ต่อสู้ของเขาได้รวบรวมพลัง ทักษะนี้จึงไม่มีอะไรมากนัก

การโจมตีที่รวบรวมพลังนั้นส่วนใหญ่ที่แพร่หลายมากที่สุดคือทักษะตวัดดาบ

แม้ว่าทักษะตวัดดาบอาจจะดูเป็นเหมือนพื้นฐานและไม่มีอะไรมาก มันก็เหมือนแค่การปลดดาบออกจากฝักแล้วฟันออกไป แต่ก็ยังมีใครบางคนที่อาศัยเพียงแค่เทคนิคนี้ปีนไปยังยอดสูงสุดได้

จริง ๆ แล้วมันคือทักษะที่ลึกซึ้งมาก – รวบรวมวิญญาณและพลังทั้งหมดไว้ที่ดาบจากนั้นก็ปลดปล่อยทุกอย่างออกมาพร้อมกัน อย่างไรก็ตามเมื่อดาบพุ่งออกไปแล้วมันต้องกลับมาที่ฝักเพื่อรวบรวมพลังอีกครั้ง

จากสิ่งที่เป่ยเฟิงได้ศึกษาในบันทึก มีผู้เชี่ยวชาญบางคนที่ฝึกฝนทักษะตวัดดาบจนไม่จำเป็นต้องเอาดาบกลับคืนฝันเพื่อปลดปล่อยการโจมตีครั้งใหม่ การโจมตีทุกครั้งของเขาทรงพลังราวกับมันเป็นการโจมตีด้วยการตวัดดาบ !

แม้ว่าการโจมตีจะดูอ่อนแอกว่าดาบที่ถูกเอากลับฝัก แต่หากอาศัยแง่ความคมของดาบที่เขาใช้ มันก็สามารถชดเชยส่วนนั้นได้ง่าย ๆ

เป่ยเฟิงมองการกระทำของกู่ฉีด้วยความจริงจัง แรงกดดันที่รวบรวมนั้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่แม้แต่เขาก็ยังขนลุก

แน่นอนว่าเขารู้ว่ามันมีขีดจำกัดที่ใช้รวบรวมพลัง มันไม่สามารถรวบรวมพลังงานโดยไม่มีขีดจำกัดได้ และดูเหมือนกู่ฉีก็น่าจะใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว

หากใครรวบรวมพลังเกินขีดจำกัด การโจมตีของพวกเขาอาจจะเบากว่าดาบที่ยังไม่ได้รวมพลังเลยด้วยซ้ำ

“ชิ้ง !”

เสียงดาบดังขึ้น และเป่ยเฟิงก็เห็นเพียงแสงไฟส่องประกายระยิบระยับผ่านดวงตาของเขา

เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าฝักดาบสีแดงหายไปแล้ว

“แกร๊ก !”

เสียงแตกดังขึ้นราวกับเสียงเปลือกไข่ที่กำลังแตก

ค่ายกลกระพริบไปมาอย่างต่อเนื่อง ในไม่ช้าก็มีรอยแตกขนาดใหญ่อยู่ที่ผิวค่ายกลจำนวนมาก

การตวัดดาบครั้งนี้มันเร็วเกินไป มันเร็วจนค่ายกลไม่สามารถตอบสนองได้ทัน !

เป่ยเฟิงมองไปที่ค่ายกลที่กำลังแตกสลายด้วยใบหน้าจริงจัง “การมุ่งเน้นไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งแทนที่จะมุ่งไปที่หลาย ๆ เส้นทางเหมือนคนอื่น ๆ มันจะทำให้เขาคนนั้นไม่อ่อนแอแต่กลับทรงพลังกว่าคนอื่น ๆ มาก”

ด้านข้าง กระต่ายนักเลงกู่ฉีกำลังหรี่ตามองเป่ยเฟิงราวกับมันกำลังคิดว่าจะแทงมนุษย์ด้วยดีไหม

แต่ในไม่ช้ามันก็มีความอันตรายบางอย่างพุ่งเข้ามาในหัว สุดท้ายมันทำได้เพียงกลอกตาและหันกลับไป มันรู้แล้วว่ามันตกลงไปในหลุมกับดักและไม่สามารถหนีพ้นไปได้อีกต่อไป

สุดท้ายมันก็ละความสนใจและนั่งลงพร้อมกับหันมากินแครอทต่อ

‘เส้นทางของข้ายังคงอีกยาวไกล ดูเหมือนข้าจะต้องมีความรู้มากกว่านี้หากคิดจะจัดการกับอีกฝ่ายให้ได้ จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่เคยเจอผู้เชี่ยวชาญที่น่ากลัวมากเลยซักครั้ง’

‘ถึงข้าจะไม่มีความสามารถที่เรียกได้ว่าทรงพลังที่แท้จริง ก็ยังเอาตัวรอดมาได้ถึงตอนนี้ แต่ถ้าไปเจอผู้เชี่ยวชาญที่น่ากลัวเข้าซักครั้ง บางทีมันอาจทำให้พ่ายแพ้ง่าย ๆ เลยก็ได้ใครจะไปรู้ ถึงจะมีทักษะและวิชาที่แตกต่างกันหลายพันทักษะหรือวิชา แต่อีกฝ่ายก็ใช้เพียงแค่ทักษะเดียวก็ทำลายทุกอย่างของข้าได้แล้ว’

ใจของเป่ยเฟิงคิดอย่างรวดเร็ว ความคิดและแรงบันดาลใจนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาในความคิดของเขา

‘งั้น จะเริ่มจากอะไรก่อนที่จะทำให้มันดีที่สุดดี ?’ เป่ยเฟิงคิดอย่างจริงจัง

มันราวกับเขารู้สึกได้ว่าเขาเข้าใจบางสิ่ง แต่ก็เหมือนไม่เข้าใจอะไรเลย

“เพ้ย ช่างมัน”

เป่ยเฟิงส่ายหัวแล้วค่อย ๆ ลืมตา เขาดูเหมือนจะเข้าใจบางสิ่งบางอย่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“กี้ กี้ !”

กู่ฉีวางถือแครอทเอาไว้แล้วลุกขึ้นมาจากพื้น

“พวกเราไปกันเถอะ”

แม้ว่าเป่ยเฟิงจะผิดหวังเล็กน้อย แต่เขาก็รู้สึกดีขึ้นมากเมื่อมองเจ้ากระต่าย สุดท้ายเขาก็ได้กำไรอย่างมากในการมาครั้งนี้

ไม่เพียงแค่ได้ต้นไผ่จักรพรรดิสวรรค์ เขายังจับสัตว์อสูรที่มีพลังขั้นราชาพันปีมาได้ !

แม้แต่เมืองเทียนฮวง ตัวตนที่เรียกว่าราชาพันปีนั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อย หรือจะพูดให้ถูกก็คือทั้งเมืองอาจจะมีแค่ไม่กี่ร้อยคน !

แม้ว่าจะฟังดูเหมือนเยอะ แต่หากเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วมันน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดของเมืองเทียนฮวง

หากไม่มีผู้เชี่ยวชาญระดับราชาพันปีคอยดูแล มันก็จะไม่มีพวกที่ตั้งตัวเป็นตระกูลหรือนิกายได้ สำหรับผู้ฝึกตนขั้นร้อยปีนั้นมันเป็นเพียงแมลงตัวเล็กที่น่ารำคาญสำหรับพวกเขาเท่านั้น

เป่ยเฟิงเดินนำโดยมีกู่ฉีเดินตามหลังไปด้วย เมื่อเห็นศพกระต่ายนักเลงจำนวนนับไม่ถ้วนตามภูเขา ความเศร้าเสียใจก็กระพริบผ่านสายตาของกู่ฉี

เป่ยเฟิงมองเงียบ ๆ ไม่พูดอะไร นี่เป็นปัญหาที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้ มันคงได้แค่ตำหนิตัวเองที่อ่อนแอเกินไปและไม่สามารถปกป้องสิ่งมีค่าของมันไว้ได้

“ว๊าก !”

กระต่ายนักเลงโบกมือ ลูกบอลเลือดสีแดงจำนวนมากก็บินไปทุกทิศทางแล้วกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ จากนั้นร่างของเหล่ากระต่ายนักเลงก็ถูกวางไว้ในหลุมแล้วฝังเอาไว้

เป่ยเฟิงไม่ได้ถามว่าเหตุใดมันถึงไม่ลงมือก่อนหน้านี้ หากมันลงมือตั้งแต่แรกมันอาจจะลดจำนวนกระต่ายที่ตายลงไปได้มาก มันอาจจะมีเหตุผลที่มันไม่ทำแบบนั้นก็ได้

ทั้ง 2 ยังคงเดินต่อไป ตลอดทางมีมนุษย์ที่โชคร้ายเดินสวนขึ้นมา แน่นอนว่าพวกเขาถูกสังหารโดยกู่ฉี

เมื่อมาถึงตีนเขา เป่ยเฟิงรู้สึกว่ามิติแห่งนี้ใกล้พังทลายลงทุกเมื่อ

ตอนที่เขามาที่นี่ครั้งแรก มันเต็มไปด้วยทุกหญ้าเขียวขจีและสิ่งมีชีวิต แต่ว่าในตอนนี้ทุกชีวิตต่างร่วงโรยไป ดินที่อุดมสมบูรณ์ก็เปลี่ยนเป็นสีเทาและแห้งแล้ง

ภูเขาทั้ง 3 เปรียบเสมือนหัวใจหลักของมิติ ภูเขาแต่ละลูกนั้นมีรูปร่างที่ทรงพลัง แต่ทว่าพวกมันถูกทำลายหมดแล้วเพราะการต่อสู้ของกู่ฉีและชิหลิน

แต่หากมองสถานการณ์ในตอนนี้จะเห็นว่าที่มิตินี้ใกล้พังนั้นก็เพราะภูเขาทั้ง 3 ลูกนั้นหลงเหลือพลังฉีน้อยมาก

“ข้าละอยากรู้จริง ๆ ว่า หลี่ปู้ทำอะไรอยู่”

ร่างของเป่ยเฟิงเบลอเล็กน้อยก่อนจะปรากฏตัวออกไปไกลหลายร้อยเมตร ข้างหลังของเขาเป็นกู่ฉีที่ตามมาติด ๆ

ในเวลาเดียวกัน ร่างกายของหลี่ปู้เต็มไปด้วยบาดแผล นอกจากนี้ยังมีแผลที่ลากจากเอวไปจนเกือบสุด มันเกือบจะแยกร่างของเขาเป็น 2 ส่วน

มีง้าวสีขาวเงินที่คม 2 ด้านอยู่บนยอดแท่นหิน ง้าวเป็นอาวุธที่มีรูปร่างเป็นใบมีดโค้งเหมือนดวงจันทร์โดยตัวมีดยึดติดกับด้าม มันเป็นอาวุธที่สามารถใช้แทงหรือสับได้ ง้าวมีทั้งคมด้านเดียวและสองด้าน ด้านเดียวเรียกว่าง้าวมังกร ในขณะที่คมสองด้านเรียกว่าง้าวสวรรค์

ง้าวสวรรค์เล่มนี้มีความยาวกว่า 1 จาง มันมีสีขาวเงินทั้งเล่มและปกคลุมไปด้วยลวดลายที่สลับซับซ้อน ใบมีดโค้ง 2 อันเปล่งประกายอย่างเยือกเย็นและแสงที่แหลมคมของมันก็ไหลไปตามขอบจนดูเหมือนจะรวมเข้ากับหอก

ง้าวสวรรค์นี้ถูกตกแต่งจนราวกับเป็นภาพวาด มันมีชื่ออีกอย่างว่าง้าวภาพวาดสวรรค์ ง้าวสวรรค์นี้จัดอยู่ในอาวุธหนักและมันแตกต่างจากหอกหรืออาวุธเบาอื่น ๆ มันมีวิธีใช้งานมากมายและมันมีความต้องการสูงมากในการใช้มัน นอกจากนี้ยังต้องมีความแข็งแกร่งตัวผู้ใช้รวมไปถึงเทคนิคใช้อาวุธหนักถึงจะใช้มันได้

หลี่ปู้เมื่อเห็นมันเขาก็ไม่สามารถละสายตาไว้ได้ เขาลืมกระทั่งอาการบาดเจ็บของเขา เขาก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวจากนั้นก็ยื่นมือออกไปสัมผัสอาวุธตรงหน้าด้วยความอ่อนโยน

เกล็ดขนาดเท่าเมล็ดงาครอบคลุมทั่วตัวง้าวทั้งหมด แต่มันไม่ได้รู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อยเมื่อได้สัมผัสมัน แต่กลับกันมันสามารถปรับรูปร่างของมันให้เข้ากับฝ่ามือของเขาได้อย่างสมบูรณ์

สำหรับผู้ฝึกตน อาวุธที่ดีไม่ได้ดึงดูดความสนใจได้เท่าหญิงสาว … อันที่จริงมันกลับน่าหลงไหลมากกว่าพวกเธอทั้งหมด !

เลือดของหลี่ปู้ย้อมง้าวในขระเขาจับมันแน่น โดยไม่รู้ตัว เลือดของเขาค่อย ๆ ถูกดูดซึมเข้าไปในง้าว

“วิ้ง วิ้ง !”

ง้าวสวรรค์เริ่มสั่นเบา ๆ พร้อมกับปลดปล่อยเสียงแหลมคมออกมาราวกับมันเป็นเสียงตะโกนของเสือและเสียงคำรามของมังกร

แสงแพรวพราวพุ่งออกมาจากง้าวสวรรค์พร้อมกับปลดปล่อยแรงกดดันมหาศาลออกมา !

แต่สำหรับหลี่ปู้แล้ว ความกดดันนี้ทำอะไรเขาไม่ได้ ดวงตาของเขาปิดลงพร้อมกับรอยยิ้มที่แขวนอยู่บนใบหน้าของเขา

ง้าวสวรรค์ลอยขึ้นอย่างช้า ๆ โซ่ดำจำนวนมากเริ่มปรากฏเรือนราง หากนับอย่างระมัดระวังจะมองเห็นว่ามันมีโซ่ทั้งหมด 9 เส้น

ง้าวสั่นอย่างรุนแรงราวกับต้องการทำลายโซ่ที่ผูกมัดมันเอาไว้

“แก๊ง”

“แก๊ง”

เสียงดัง 2 เสียงดังขึ้นจากนั้นโซ่สีดำ 2 เส้นที่ยึดติดกับง้าวก็แตกสลายไป !

เมื่อโซ่ 2 เส้นแตกสลายไป ง้าวสวรรค์ก็ราวกับสัตว์อสูรที่ถูกกดขี่ที่ต้องการออกมาจากกรง มันสั่นรุนแรงและบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม !

Fishing in the Myriad Heavens

Fishing in the Myriad Heavens

Status: Ongoing

เป่ยเฟิงผู้เหนื่อยหน่ายกับชีวิตในเมือง เขาได้ตัดสินใจกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิดของเขาในชนบท ในขณะที่เขากำลังเก็บ [ดอกแอสเตอร์] ที่โผล่อยู่ใกล้ๆรั้วของเขา เขาได้มองไปที่ภูเขาทางใต้ลูกนั้น เขาแค่ไม่คิดว่าการเลี้ยงไก่และเป็ดไม่กี่ตัวจะทำให้ชีวิตเขาเรียบงานและสบายใจขนาดนี้ได้

ยังไงก็ตามใครจะไปคิดว่าชะตากรรมเล่นตลกกับเป่ยเฟิง ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้พบกับบ่อน้ำโบราณ หรือจะเรียกว่าบ่อน้ำเวทมนย์ดี ไม่ว่าปลาที่ตกได้ตัวโคตรใหญ่

หรือจะเป็น ไก่ตัวใหญ่ที่เมื่อมันโผล่ออกมาก็ได้วิ่งไล่จิกเขาไปทั่ว เขาได้แต่นึกเสียใจและตะโกนเขาถามสวรรค์ว่า “ถ้าวันนั้นเขาต้องการมังกรแทนที่จะเป็นไก่ มันจะเกิดเชี้ยไรขึ้นกับเขา”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท