เป่ยเฟิงยื่นมือออกไปจากจุดที่ยืนตรงขอบหน้าผา แม้ว่าด้านล่างจะดูเหมือนสามารถหล่นลงไปได้ แต่จริง ๆ แล้วมันถูกปกคลุมด้วยค่ายกลและไม่มีแม้แต่มดตัวเดียวที่จะหนีออกไปได้
มือของเขาค่อย ๆ สัมผัสกับค่ายกลที่ครอบคลุมพื้นที่ยอดเขาทั้งหมด
เขาค่อย ๆ เพิ่มแรงในการกดค่ายกล รอยแตกใยแมงมุมก็เริ่มเด่นชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกได้ถึงแรงที่กดกลับมายังร่างของเขา
นี่คือค่ายกลกับดัก มันสามารถสะท้อนการโจมตีบางส่วนกลับมาได้
“ค่ายกลนี้ไม่ใช่ของที่จะสร้างกันง่าย ๆ ใครเป็นคนสร้างมันกัน … ?” เป่ยเฟิงพึมพำกับตัวเอง
ค่ายกลที่มีอยู่บนดาวเทียนมู่ส่วนมากมาจากมรดกที่ตกทอดมาหรือมาจากภายนอก นอกจากนี้ส่วนใหญ่มันไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนดั้งเดิม
อย่างไรก็ตามค่ายกลตรงหน้าเขามันดูเหมือนไม่ใช่ของที่ไม่สมบูรณ์ เพราะมันสามารถกักขังผู้ที่มีพลังราชาพันปีได้ นอกจากนี้สิ่งที่ใช้สร้างค่ายกลดูเหมือนจะไม่ใช่ของที่หาได้ง่าย ๆ เพราะค่ายกลเหล่านี้มันดูราวกับถูกเตรียมการมาอย่างดีเพื่อใช้งานเพียงครั้งเดียว
ถึงแม้ว่ามันจะดูสร้างง่าย ๆ แต่ความจริงแล้วการสร้างค่ายกลแบบนี้มันใช้ทรัพยากรและมีมูลค่าที่สูงมาก !
“มันน่าจะมีบางอย่างที่ทำให้พวกมันไม่ได้ทำลายค่ายกลแต่ก็สามารถหนีออกไปได้ และมันก็มีความเป็นไปได้ 2 ทางที่พวกมันเลือกจะทำแบบนี้ อย่างแรกคือแค่ต้องการหยุดข้ากับกู่ฉีเอาไว้ ส่วนอีกอย่างก็คือ …”
เป่ยเฟิงขมวดคิ้วแน่น เหตุผลที่ 2 นั่นก็คือพวกมันแค่ต้องการขังพวกเขาเอาไว้จากนั้นก็ไปรวบรวมข้อมูลแล้วกลับมาอีกครั้ง
เป่ยเฟิงหันกลับมาถามจี่ฉี “กู่ฉี แกทำลายค่ายกลนี้ได้หรือเปล่า ?”
“ว๊าก !”
กู่ฉีไม่ได้พูดอะไร มันยกมือขึ้นแล้วดึงดาบสีแดงเลือดขึ้นมา จากนั้นพลังงานจำนวนมากก็เริ่มรวมกันกลายเป็นฝักดาบที่ครอบคลุมตัวดาบไว้
แรงกดดันมหาศาลกระจายไปรอบ ๆ กู่ฉี พื้นดินรอบ ๆ 20 เมตรโดยมีกู่ฉีเป็นศูนย์กลางเริ่มเกิดรอยร้าว
“ดาบชั้นยอด !”
เป่ยเฟิงยืนอยู่ข้าง ๆ มันสับสนเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะเห็นการต่อสู้ระหว่างกู่จีและชิหลิน แต่เขาก็วิเคราะห์ข้อมูลส่วนใหญ่จากพันกระเรียน
เป่ยเฟิงอยากรู้อยากเห็นมาก เจ้ากระต่ายที่ปลุกความสามารถของพลังวิญญาณดาบจะมีความสามารถมากแค่ไหนกัน ?
การเคลื่อนไหวของกู่ฉีเต็มไปด้วยพลัง แรงกดดันของมันเพิ่งสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ !
พลังแก่นแท้และพลังวิญญาณของมันไปรวมกันอยู่ที่ดาบ ตราบใดที่มีเวลามากพอมันก็ไม่ยากที่จะสังหารอีกฝ่ายที่มีพลังมากกว่า
แต่โดยปกติแล้วคงไม่มีคนงี่เง่าที่ไหนที่จะให้เวลาคู่ต่อสู้ของเขาได้รวบรวมพลัง ทักษะนี้จึงไม่มีอะไรมากนัก
การโจมตีที่รวบรวมพลังนั้นส่วนใหญ่ที่แพร่หลายมากที่สุดคือทักษะตวัดดาบ
แม้ว่าทักษะตวัดดาบอาจจะดูเป็นเหมือนพื้นฐานและไม่มีอะไรมาก มันก็เหมือนแค่การปลดดาบออกจากฝักแล้วฟันออกไป แต่ก็ยังมีใครบางคนที่อาศัยเพียงแค่เทคนิคนี้ปีนไปยังยอดสูงสุดได้
จริง ๆ แล้วมันคือทักษะที่ลึกซึ้งมาก – รวบรวมวิญญาณและพลังทั้งหมดไว้ที่ดาบจากนั้นก็ปลดปล่อยทุกอย่างออกมาพร้อมกัน อย่างไรก็ตามเมื่อดาบพุ่งออกไปแล้วมันต้องกลับมาที่ฝักเพื่อรวบรวมพลังอีกครั้ง
จากสิ่งที่เป่ยเฟิงได้ศึกษาในบันทึก มีผู้เชี่ยวชาญบางคนที่ฝึกฝนทักษะตวัดดาบจนไม่จำเป็นต้องเอาดาบกลับคืนฝันเพื่อปลดปล่อยการโจมตีครั้งใหม่ การโจมตีทุกครั้งของเขาทรงพลังราวกับมันเป็นการโจมตีด้วยการตวัดดาบ !
แม้ว่าการโจมตีจะดูอ่อนแอกว่าดาบที่ถูกเอากลับฝัก แต่หากอาศัยแง่ความคมของดาบที่เขาใช้ มันก็สามารถชดเชยส่วนนั้นได้ง่าย ๆ
เป่ยเฟิงมองการกระทำของกู่ฉีด้วยความจริงจัง แรงกดดันที่รวบรวมนั้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่แม้แต่เขาก็ยังขนลุก
แน่นอนว่าเขารู้ว่ามันมีขีดจำกัดที่ใช้รวบรวมพลัง มันไม่สามารถรวบรวมพลังงานโดยไม่มีขีดจำกัดได้ และดูเหมือนกู่ฉีก็น่าจะใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว
หากใครรวบรวมพลังเกินขีดจำกัด การโจมตีของพวกเขาอาจจะเบากว่าดาบที่ยังไม่ได้รวมพลังเลยด้วยซ้ำ
“ชิ้ง !”
เสียงดาบดังขึ้น และเป่ยเฟิงก็เห็นเพียงแสงไฟส่องประกายระยิบระยับผ่านดวงตาของเขา
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าฝักดาบสีแดงหายไปแล้ว
“แกร๊ก !”
เสียงแตกดังขึ้นราวกับเสียงเปลือกไข่ที่กำลังแตก
ค่ายกลกระพริบไปมาอย่างต่อเนื่อง ในไม่ช้าก็มีรอยแตกขนาดใหญ่อยู่ที่ผิวค่ายกลจำนวนมาก
การตวัดดาบครั้งนี้มันเร็วเกินไป มันเร็วจนค่ายกลไม่สามารถตอบสนองได้ทัน !
เป่ยเฟิงมองไปที่ค่ายกลที่กำลังแตกสลายด้วยใบหน้าจริงจัง “การมุ่งเน้นไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งแทนที่จะมุ่งไปที่หลาย ๆ เส้นทางเหมือนคนอื่น ๆ มันจะทำให้เขาคนนั้นไม่อ่อนแอแต่กลับทรงพลังกว่าคนอื่น ๆ มาก”
ด้านข้าง กระต่ายนักเลงกู่ฉีกำลังหรี่ตามองเป่ยเฟิงราวกับมันกำลังคิดว่าจะแทงมนุษย์ด้วยดีไหม
แต่ในไม่ช้ามันก็มีความอันตรายบางอย่างพุ่งเข้ามาในหัว สุดท้ายมันทำได้เพียงกลอกตาและหันกลับไป มันรู้แล้วว่ามันตกลงไปในหลุมกับดักและไม่สามารถหนีพ้นไปได้อีกต่อไป
สุดท้ายมันก็ละความสนใจและนั่งลงพร้อมกับหันมากินแครอทต่อ
‘เส้นทางของข้ายังคงอีกยาวไกล ดูเหมือนข้าจะต้องมีความรู้มากกว่านี้หากคิดจะจัดการกับอีกฝ่ายให้ได้ จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่เคยเจอผู้เชี่ยวชาญที่น่ากลัวมากเลยซักครั้ง’
‘ถึงข้าจะไม่มีความสามารถที่เรียกได้ว่าทรงพลังที่แท้จริง ก็ยังเอาตัวรอดมาได้ถึงตอนนี้ แต่ถ้าไปเจอผู้เชี่ยวชาญที่น่ากลัวเข้าซักครั้ง บางทีมันอาจทำให้พ่ายแพ้ง่าย ๆ เลยก็ได้ใครจะไปรู้ ถึงจะมีทักษะและวิชาที่แตกต่างกันหลายพันทักษะหรือวิชา แต่อีกฝ่ายก็ใช้เพียงแค่ทักษะเดียวก็ทำลายทุกอย่างของข้าได้แล้ว’
ใจของเป่ยเฟิงคิดอย่างรวดเร็ว ความคิดและแรงบันดาลใจนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาในความคิดของเขา
‘งั้น จะเริ่มจากอะไรก่อนที่จะทำให้มันดีที่สุดดี ?’ เป่ยเฟิงคิดอย่างจริงจัง
มันราวกับเขารู้สึกได้ว่าเขาเข้าใจบางสิ่ง แต่ก็เหมือนไม่เข้าใจอะไรเลย
“เพ้ย ช่างมัน”
เป่ยเฟิงส่ายหัวแล้วค่อย ๆ ลืมตา เขาดูเหมือนจะเข้าใจบางสิ่งบางอย่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“กี้ กี้ !”
กู่ฉีวางถือแครอทเอาไว้แล้วลุกขึ้นมาจากพื้น
“พวกเราไปกันเถอะ”
แม้ว่าเป่ยเฟิงจะผิดหวังเล็กน้อย แต่เขาก็รู้สึกดีขึ้นมากเมื่อมองเจ้ากระต่าย สุดท้ายเขาก็ได้กำไรอย่างมากในการมาครั้งนี้
ไม่เพียงแค่ได้ต้นไผ่จักรพรรดิสวรรค์ เขายังจับสัตว์อสูรที่มีพลังขั้นราชาพันปีมาได้ !
แม้แต่เมืองเทียนฮวง ตัวตนที่เรียกว่าราชาพันปีนั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อย หรือจะพูดให้ถูกก็คือทั้งเมืองอาจจะมีแค่ไม่กี่ร้อยคน !
แม้ว่าจะฟังดูเหมือนเยอะ แต่หากเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วมันน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดของเมืองเทียนฮวง
หากไม่มีผู้เชี่ยวชาญระดับราชาพันปีคอยดูแล มันก็จะไม่มีพวกที่ตั้งตัวเป็นตระกูลหรือนิกายได้ สำหรับผู้ฝึกตนขั้นร้อยปีนั้นมันเป็นเพียงแมลงตัวเล็กที่น่ารำคาญสำหรับพวกเขาเท่านั้น
เป่ยเฟิงเดินนำโดยมีกู่ฉีเดินตามหลังไปด้วย เมื่อเห็นศพกระต่ายนักเลงจำนวนนับไม่ถ้วนตามภูเขา ความเศร้าเสียใจก็กระพริบผ่านสายตาของกู่ฉี
เป่ยเฟิงมองเงียบ ๆ ไม่พูดอะไร นี่เป็นปัญหาที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้ มันคงได้แค่ตำหนิตัวเองที่อ่อนแอเกินไปและไม่สามารถปกป้องสิ่งมีค่าของมันไว้ได้
“ว๊าก !”
กระต่ายนักเลงโบกมือ ลูกบอลเลือดสีแดงจำนวนมากก็บินไปทุกทิศทางแล้วกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ จากนั้นร่างของเหล่ากระต่ายนักเลงก็ถูกวางไว้ในหลุมแล้วฝังเอาไว้
เป่ยเฟิงไม่ได้ถามว่าเหตุใดมันถึงไม่ลงมือก่อนหน้านี้ หากมันลงมือตั้งแต่แรกมันอาจจะลดจำนวนกระต่ายที่ตายลงไปได้มาก มันอาจจะมีเหตุผลที่มันไม่ทำแบบนั้นก็ได้
ทั้ง 2 ยังคงเดินต่อไป ตลอดทางมีมนุษย์ที่โชคร้ายเดินสวนขึ้นมา แน่นอนว่าพวกเขาถูกสังหารโดยกู่ฉี
เมื่อมาถึงตีนเขา เป่ยเฟิงรู้สึกว่ามิติแห่งนี้ใกล้พังทลายลงทุกเมื่อ
ตอนที่เขามาที่นี่ครั้งแรก มันเต็มไปด้วยทุกหญ้าเขียวขจีและสิ่งมีชีวิต แต่ว่าในตอนนี้ทุกชีวิตต่างร่วงโรยไป ดินที่อุดมสมบูรณ์ก็เปลี่ยนเป็นสีเทาและแห้งแล้ง
ภูเขาทั้ง 3 เปรียบเสมือนหัวใจหลักของมิติ ภูเขาแต่ละลูกนั้นมีรูปร่างที่ทรงพลัง แต่ทว่าพวกมันถูกทำลายหมดแล้วเพราะการต่อสู้ของกู่ฉีและชิหลิน
แต่หากมองสถานการณ์ในตอนนี้จะเห็นว่าที่มิตินี้ใกล้พังนั้นก็เพราะภูเขาทั้ง 3 ลูกนั้นหลงเหลือพลังฉีน้อยมาก
“ข้าละอยากรู้จริง ๆ ว่า หลี่ปู้ทำอะไรอยู่”
ร่างของเป่ยเฟิงเบลอเล็กน้อยก่อนจะปรากฏตัวออกไปไกลหลายร้อยเมตร ข้างหลังของเขาเป็นกู่ฉีที่ตามมาติด ๆ
ในเวลาเดียวกัน ร่างกายของหลี่ปู้เต็มไปด้วยบาดแผล นอกจากนี้ยังมีแผลที่ลากจากเอวไปจนเกือบสุด มันเกือบจะแยกร่างของเขาเป็น 2 ส่วน
มีง้าวสีขาวเงินที่คม 2 ด้านอยู่บนยอดแท่นหิน ง้าวเป็นอาวุธที่มีรูปร่างเป็นใบมีดโค้งเหมือนดวงจันทร์โดยตัวมีดยึดติดกับด้าม มันเป็นอาวุธที่สามารถใช้แทงหรือสับได้ ง้าวมีทั้งคมด้านเดียวและสองด้าน ด้านเดียวเรียกว่าง้าวมังกร ในขณะที่คมสองด้านเรียกว่าง้าวสวรรค์
ง้าวสวรรค์เล่มนี้มีความยาวกว่า 1 จาง มันมีสีขาวเงินทั้งเล่มและปกคลุมไปด้วยลวดลายที่สลับซับซ้อน ใบมีดโค้ง 2 อันเปล่งประกายอย่างเยือกเย็นและแสงที่แหลมคมของมันก็ไหลไปตามขอบจนดูเหมือนจะรวมเข้ากับหอก
ง้าวสวรรค์นี้ถูกตกแต่งจนราวกับเป็นภาพวาด มันมีชื่ออีกอย่างว่าง้าวภาพวาดสวรรค์ ง้าวสวรรค์นี้จัดอยู่ในอาวุธหนักและมันแตกต่างจากหอกหรืออาวุธเบาอื่น ๆ มันมีวิธีใช้งานมากมายและมันมีความต้องการสูงมากในการใช้มัน นอกจากนี้ยังต้องมีความแข็งแกร่งตัวผู้ใช้รวมไปถึงเทคนิคใช้อาวุธหนักถึงจะใช้มันได้
หลี่ปู้เมื่อเห็นมันเขาก็ไม่สามารถละสายตาไว้ได้ เขาลืมกระทั่งอาการบาดเจ็บของเขา เขาก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวจากนั้นก็ยื่นมือออกไปสัมผัสอาวุธตรงหน้าด้วยความอ่อนโยน
เกล็ดขนาดเท่าเมล็ดงาครอบคลุมทั่วตัวง้าวทั้งหมด แต่มันไม่ได้รู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อยเมื่อได้สัมผัสมัน แต่กลับกันมันสามารถปรับรูปร่างของมันให้เข้ากับฝ่ามือของเขาได้อย่างสมบูรณ์
สำหรับผู้ฝึกตน อาวุธที่ดีไม่ได้ดึงดูดความสนใจได้เท่าหญิงสาว … อันที่จริงมันกลับน่าหลงไหลมากกว่าพวกเธอทั้งหมด !
เลือดของหลี่ปู้ย้อมง้าวในขระเขาจับมันแน่น โดยไม่รู้ตัว เลือดของเขาค่อย ๆ ถูกดูดซึมเข้าไปในง้าว
“วิ้ง วิ้ง !”
ง้าวสวรรค์เริ่มสั่นเบา ๆ พร้อมกับปลดปล่อยเสียงแหลมคมออกมาราวกับมันเป็นเสียงตะโกนของเสือและเสียงคำรามของมังกร
แสงแพรวพราวพุ่งออกมาจากง้าวสวรรค์พร้อมกับปลดปล่อยแรงกดดันมหาศาลออกมา !
แต่สำหรับหลี่ปู้แล้ว ความกดดันนี้ทำอะไรเขาไม่ได้ ดวงตาของเขาปิดลงพร้อมกับรอยยิ้มที่แขวนอยู่บนใบหน้าของเขา
ง้าวสวรรค์ลอยขึ้นอย่างช้า ๆ โซ่ดำจำนวนมากเริ่มปรากฏเรือนราง หากนับอย่างระมัดระวังจะมองเห็นว่ามันมีโซ่ทั้งหมด 9 เส้น
ง้าวสั่นอย่างรุนแรงราวกับต้องการทำลายโซ่ที่ผูกมัดมันเอาไว้
“แก๊ง”
“แก๊ง”
เสียงดัง 2 เสียงดังขึ้นจากนั้นโซ่สีดำ 2 เส้นที่ยึดติดกับง้าวก็แตกสลายไป !
เมื่อโซ่ 2 เส้นแตกสลายไป ง้าวสวรรค์ก็ราวกับสัตว์อสูรที่ถูกกดขี่ที่ต้องการออกมาจากกรง มันสั่นรุนแรงและบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม !