เมื่อเห็นชายมีหนวดเดินเข้ามา รอยยิ้มแปลก ๆ ก็ปรากฏบนหน้าเป่ยเฟิง
หลี่ปู้มองชายมีหนวดที่กำลังเดินเข้ามาหาท่านหัวหน้าตระกูลและหัวเราะเบา ๆ ในใจ “เส้นทางสวรรค์มีให้เดินแต่เจ้ากลับไม่สนใจมัน แต่เส้นทางนรกเจ้ากลับอยากจะเดินไป”
“พวกแกสองคนมาที่นี่ได้อย่างปลอดภัย งั้นพวกแกต้องจ่ายค่าคุ้มครองโดยเป็นแหวนมิติวงนั้น”
ชายมีหนวดเยาะเย้ย เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมาใจดีกับทั้งสองคนอีกต่อไป เขาบอกความต้องการของเขาโดยไม่ปิดบัง
“คิกคิก ฮั่นตั๋วมันเอาอีกแล้ว”
“เจ้าสองคนนั้นโชคดีจริง ๆ หึ เจ้าฮั่นตั๋วนั้นยิ่งมีชื่อเสียงเรื่องการก่อเรื่องอยู่ด้วย”
“ฮ่า มีแต่คนที่อ่อนแอกว่ามันเท่านั้นแหละมันถึงกล้าทำแบบนั้น คิกคิก ลองให้มันมาอยู่ทำกับกลุ่มพวกเราสิ ! มันคงไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าจะมีชีวิตรอดไปได้”
ผู้ฝึกตนจำนวนมากหันไปมองและคุยกันอย่างสนุกสนาน
ฮั่นตั๋วได้ยินคำพูดเหล่านี้เช่นกัน แต่เขาได้แต่อดกั้นความโกรธพร้อมกับใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดง เนื่องจากเขาอ่อนแอกว่าคนเหล่านั้นมาก
“เจ้าอยากได้แหวนมิติของข้า ?” เป่ยเฟิงถามโดยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“เอามันมาแล้วข้าจะปล่อยแกไป” ฮั่นตั๋วขมวดคิ้ว มันไม่รู้สถานการณ์เลยจริง ๆ
“งั้นเอาไปสิ”
เป่ยเฟิงถอดแหวนมิติออกจากนิ้วแล้วโยนไปทางฮั่นตั๋ว
“บัดซบ ! ไอ้เด็กบัดซบนั้นโง่จริง ๆ !”
“มันอาจจะเป็นนายน้อยจากตระกูลเล็ก ๆ ที่ออกมาดูโลกภายนอกก็ได้ ความแข็งแกร่งของฮั่นตั๋วมันแข็งแกร่งเกินไปมันเลยทำให้เขาหวาดกลัว”
“นี้มันใช่เรียกว่าขึ้เขลาที่ปรับตัวได้ทุกสถานการณ์หรือเปล่า ?”
กลุ่มผู้ฝึกตนกำลังมองและคาดเดาว่าเป่ยเฟิงจะจัดการฮั่นตั๋วอย่างไร แต่ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าเขาจะมอบให้ง่าย ๆ ขนาดนี้
“???” ฮั่นตั๋ว
ฮั่นตั๋วยังคงยืนมึนงง เขาคิดว่าคนตรงหน้าจะทิ้งความภูมิใจแล้วสบถคำหยาบใส่เขาต่อหน้าทุกคน แต่เขากลับถอดแหวนมิติมาให้เขาง่าย ๆ มันจึงทำให้เขารู้สึกมึนงงเล็กน้อย “หรือว่าการปล้นใครบางคนมันจะกลายเป็นเรื่องง่ายไปแล้ว ?”
เป่ยเฟิงยังคงสงบนิ่ง เขามองฮั่นตั๋วและพูดเบา ๆ “ในเมื่อข้าให้แหวนมิติกับเจ้าไปแล้ว งั้นมันถึงเวลาที่เจ้าจะมอบชีวิตมาแล้วล่ะ”
ฮั่นตั๋วไม่รู้ว่าเป่ยเฟิงหมายถึงอะไร เขาจึงพูดออกมาด้วยความสับสน “พูดบ้าอะไรของแก – แกกล้างั้นรึ !”
“อินทรีหมี ทุบ !”
เป่ยเฟิงไม่ลังเลใด ๆ หลังจากพูดจบเขาก็โจมตีทันที ทันใดนั้นกล้ามเนื้อของเขาก็พองขึ้นราวกับเต็มไปด้วยพลังมหาศาล !
เสียงกระแทกดังขึ้นจากการที่เขาใช้หมียักษ์และอินทรีควงนภา พื้นที่รอบ ๆ เปลี่ยนกลายเป็นกำปั้นแล้วพุ่งไปข้างหน้า
ชื่อเสียงของฮั่นตั๋วก็ไม่ใช่ของปลอม ร่างของเขาสั่นและกระดูกแตกบางส่วนหลังจากที่รับหมัดของเป่ยเฟิงเข้าไป !
เป่ยเฟิงไม่สนใจใด ๆ เขาต่อยไปข้างหน้าอีกครั้งจนเกิดรอยแยกของมิติ !
ฮั่นตั๋วคำรามขึ้น “แกตายแน่ !”
ตอนแรกเขาตั้งใจจะปล่อยคนตรงหน้าไป แต่ใครจะคิดกันว่าอีกฝ่ายจะเปิดฉากโจมตีก่อน !
“หัวหน้า !”
“เจ้านั่นกล้าสู้กลับ ? งั้นพวกมันสมควรตาย !”
เพื่อนร่วมทีมของฮั่นตั๋วไม่ใช่คนมีเกียรติ พวกเขารีบพุ่งเข้าไปหาเป่ยเฟิงทันที
“ชิ้ง !”
เสียงดึงดาบดังขึ้นพร้อมกับร่างของหลี่ปู้ที่ขวางทางคนอื่น ๆ
“น่าสนใจ พวกมันเริ่มสู้กันแล้ว”
“ถือซะว่าดูเอาสนุกละกัน ถ้าภายใน 5 นาทีไม่มีผู้ชนะ พวกเราก็ฆ่าพวกมันซะในเมื่อทำเราเสียเวลาขนาดนี้”
ผู้นำของกลุ่มอื่น ๆ รวมตัวกันและพูดคุยกัน
ฮั่นตั๋วยิ้มเล็กน้อยจากนั้นก็พุ่งไปข้างหน้า เป็นเพียงแค่ขั้นสี่ของร้อยปีขั้นต้นแต่กลับกล้าหันเขี้ยวใส่เขา ? เจ้าเด็กนี้มันคิดว่าตัวเขาเป็นลูกพลับอ่อนหนุ่มที่สามารถถูกใครรังแกก็ได้ ?
“บูม !”
การโจมตีครั้งที่ 2 ปะทะกันจนเกิดคลื่นทรงพลังกระจายไปรอบ ๆ
ฮั่นตั๋วถูกบังคับให้ถอยไปหลายก้าวพร้อมกับขาที่ชาไม่หยุด แต่จากนั้นเขาก็ตั้งหลักแล้วพุ่งไปหาเป่ยเฟิงด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม !
เป่ยเฟิงก็ไม่กลัวเช่นกัน เขายืนคงยืนอยู่ที่เดิมโดยมีกรงเล็บที่ทรงพลังครอบคลุมอยู่รอบ ๆ หลังจากนั้นเขาก็พุ่งเข้าใส่อีกครั้ง !
ทั้ง 2 ปะทะกันอีกครั้งจนเกิดรอยแยกของอากาศรอบ ๆ ราวกับอวตารของพระพุทธเจ้าพันกร
ในอีกด้าน หลี่ปู้อยู่ในสถานะที่ค่อนข้างน่าสังเวช คน ๆ หนึ่งต่อสู้กับอีก 17 คน ไม่สิ มันควรจะเป็น 17 คนรุมหนึ่ง
แม้ว่าความแข็งแกร่งของจะเป็นถึงขั้นสี่ของร้อยปีขั้นสูงสุด แต่มันก็ยังยากที่จะรับมือกับคนจำนวนมาก !
“ตาย !”
เป่ยเฟิงเตะออกไปอย่างรวดเร็วจนฮั่นตั๋วเสียหลัก จากนั้นมือซ้ายของเขาก็คว้าข้อมือของฮั่นตั๋ว แล้วมือขวาก็แทงนิ้วไปที่หน้าผากของฮั่นตั๋วราวกับดาบ !
ชั้นเลือดฉีหลายชั้นราวกับคลื่นมหาสมุทรไหลลงไปในทะเลจิตสำนึกของฮั่นตั๋ว จากนั้นก็เปลี่ยนให้สมองของเขากลายเป็นข้าวต้ม
“ถ้าจะโทษก็โทษตัวเองที่อ่อนแอเกินไป”
เป่ยเฟิงมองไปยังฮั่นตั๋วที่ตายแล้วตรงเท้าของเขา เขาได้รับบาดเจ็บที่มือซ้ายเล็กน้อย เขาส่ายแขนไปมาจากนั้นเลือดฉีก็ไหลลงมาที่รอยช้ำแล้วแผลก็หายไป
พลังของเป่ยเฟิงไม่ได้แข็งแกร่งกว่าฮั่นตั๋ว แต่ทว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งกว่ามาก ที่จริงเขาสามารถฆ่าฮั่นตั๋วได้ง่าย ๆ ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวก่อนที่ฮั่นตั๋วจะตอบสนองทันได้ด้วยซ้ำ
“เอ๊ะ ? ฮั่นตั๋วตายแล้ว”
“นี้มันหมายถึงการไล่ล่าห่านป่าทุกวันแต่สุดท้ายก็ถูกห่านป่าไล่ล่าแทน”
“คิกคิก ฮั่นตั๋วมันคิดว่าตัวเองกำลังข่มขู่สัตว์ตัวน้อย ๆ ที่ไม่เป็นอันตราย แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายคือหมาป่าที่หิวโหย !”
กลุ่มผู้ฝึกตนที่กำลังดูอยู่อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปได้เร็วขนาดนี้
เป่ยเฟิงโบกมือและแหวนมิติของฮั่นตั๋วก็ลอยมาอยู่ในมือของเขา พลังจิตที่ทรงพลังของเขาสามารถทำลายตราประทับของฮั่นตั๋วได้ในทันที
พื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 30 เมตรปรากฏขึ้นในการรับรู้ของเป่ยเฟิง “ถึงแหวนนี้มันจะด้อยกว่าแหวนอันเก่าของข้า แต่มันก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย” เป่ยเฟิงพึมพำ
หลังจากมองดูของในแหวนเพียงชั่วครู่ เขาก็ส่ายหัวด้วยความผิดหวัง สิ่งที่มีค่าคงเป็นแกนสัตว์อสูรขั้นสี่ของร้อยปีกว่า 600 อัน ส่วนที่เหลือคือขยะ
จากนั้นร่างกายของเป่ยเฟิงก็หายไปแล้วไปปรากฏตัวข้างหลังหลี่ปู้
“หมียักษ์กระแทก !”
“ปีกนภาสวรรค์ !”
เป่ยเฟิงราวกับมาเดินเล่น ทุกการต่อยของเขาจะต้องมีใครบางคนตาย !
ในไม่ช้าเป่ยเฟิงและหลี่ปู้ก็ฆ่าคนอื่น ๆ ไปกว่า 15 คน
สองคนสุดท้ายที่เหลือรอดนั้นอ่อนแอกว่าคนอื่น ๆ พวกเขาหันหน้ามองกันก่อนที่คนหนึ่งจะตะโกนขึ้น “แยกทางแล้วหนีไป !”
“มาดูกันว่าพวกแกจะหนีไปได้ไหม” เป่ยเฟิงส่ายหัว จากนั้นเขาก็ใช้อินทรีปีนภูเขาและแม่น้ำ !
ร่างจำแลงของอินทรีควงนภาที่ใหญ่กว่า 10 เมตรปรากฏตัวขึ้น ปีกของมันทอดยาวออกไปหลายสิบเมตร จากนั้นมันสะบัดปีกไปยังทั้งสองคนที่กำลังหนีไป ปีกที่แหลมคมที่เปล่งประกายแสงสีทองพุ่งเข้าไปหาทั้งคู่ทันที !
เมื่อได้ยินเสียงบางอย่างขึ้น คนที่หนีไม่แม้แต่จะหันหลังไปมอง พวกเขาไม่สนใจใด ๆ นอกจากเร่งความเร็วขึ้นไปอีกเท่า
“ตุ้บ !”
เสียงแทงทะลุบางอย่างถึงสองครั้งดังขึ้น
“สุดท้ายการฆ่าและปล้นก็ยังคงเป็นสิ่งที่ได้กำไรมากที่สุด” เป่ยเฟิงเล่นกับแหวนมิติ 5 วงในมือพร้อมกับหัวเราะออกมา
“เลือกไปอันหนึ่งแล้วเก็บไว้กับตัว”
เป่ยเฟิงยื่นมือออกไปหาหลี่ปู้
หลี่ปู้ไม่ได้ปฏิเสธใด ๆ เขาหยิบแหวนขึ้นมาสุ่ม ๆ โดยไม่แม้แต่จะมอง
เป่ยเฟิงนำแกนสัตว์อสูร 300 อันออกจากแหวนมิติของฮั่นตั๋วและเดินนำหลี่ปู้ไปยังผู้นำกลุ่มอื่น ๆ แล้วมอบแกนสัตว์อสูรโดยท่าทางไม่แยแสใด ๆ
หลังจากได้แกนสัตว์อสูรมาครบแล้ว ชายชราก็เก็บพวกมันเข้าไปในทันทีแล้วหยิบวัตถุดิบต่าง ๆ ออกมาเพื่อสร้างค่ายกล จากนั้นหมอกจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นแล้วป้องกันการมองเห็นรวมไปถึงพลังจิตของคนอื่น ๆ
ทุกคนรู้สึกได้ถึงพลังค่ายกลขั้นสูง แต่ทว่าในหมอกชายชรากำลังยิ้มแย้มจนรอยยิ้มฉีกไปถึงหูในขณะเก็บแกนสัตว์อสูรลงไปในแหวนมิติทั้งหมดของเขา
ระลอกคลื่นสีแดงปรากฏขึ้นรอบ ๆ ภูเขา จากนั้นประตูที่กว้างพอสำหรับ 10 คนเข้าไปก็เปิดขึ้น กลุ่มผู้ฝึกตนไม่ได้ลังเลใด ๆ พวกเขารีบวิ่งเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว
เป่ยเฟิงพูดกับหลี่ปู้ก่อนจะหายตัวไป “ข้าไม่เข้าไปหรอกนะ ถ้าเจ้าอยากเข้าไปก็ได้ แต่หลังจากนั้นก็ไปรอข้าที่ภูเขาก่อนหน้านี้”
สิ่งที่เขาต้องการนั้นคือต้นไผ่จักรพรรดิสวรรค์ไม่ใช่อาวุธ ในขณะเดียวกัน หลี่ปู้ได้แต่เฝ้ามองด้านหลังของเป่ยเฟิงพร้อมกับสบถออกมาในใจ เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ ! ความรู้สึกของการถูกทิ้งเอาไว้เขาทนมันไม่ไหวอีกแล้ว
เป่ยเฟิงรีบวิ่งไปที่ภูเขาตรงกลาง เคยมีคำพูดเอาไว้ว่าม้าจะตายได้หากต้องวิ่งขึ้นไปบนภูเขา แม้ว่าความเร็วของเป่ยเฟิงจะเร็วมาก แต่เขาก็ยังใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงกว่าจะมาถึงเชิงเขา
เมื่อเห็นกระต่ายนักเลงที่บาดเจ็บล้มตายจำนวนมากรวมไปถึงผู้ฝึกตนของมนุษย์ เป่ยเฟิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความกลัวเพียงอย่างเดียวของเขาคือการที่เขามาสายเกินไป อย่างไรก็ตามดูจากสถานการณ์แล้วดูเหมือนยังไม่สาย
เสียงการต่อสู้สามารถได้ยินจากบนภูเขา เป่ยเฟิงรีบวิ่งขึ้นไปบนภูเขาอย่างรวดเร็ว
ยิ่งเขาเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ จำนวนศพของกระต่ายนักเลงก็เพิ่มมากขึ้น ในทางกลับกันจำนวนของผู้ฝึกตนของฝั่งมนุษย์กลับน้อยลงมากกว่าเดิม
อาจจะเป็นเพราะกระต่ายนักเลงที่มีพลังขั้นสี่ของร้อยปีส่วนมากถูกฆ่าตายที่ด้านนอก กระต่ายนักเลงส่วนใหญ่ที่เป่ยเฟิงเห็นในที่นี่ส่วนมากมีพลังเพียงขั้นสองหรือสามเท่านั้น มีไม่กี่ตัวที่มีพลังขั้นสี่
“ฆ่า ! ฆ่าเจ้าพวกกระต่ายบัดซบนี้ให้หมดแล้วโชคดีจะเป็นของเรา !”
“ทุ่งสมุนไพรจิตวิญญาณอันล้ำค่านี้กลับถูกพวกกระต่ายนักเลงชั้นต่ำนี้ครอบครองเอาไว้ !”
“ผลดวงดาวสวรรค์ รากมังกรดำ ดอกไม้โชคลึกลับ ทั้งหมดมันคือสมุนไพรอันล้ำค่า !”
หลังจากวิ่งมาได้ครึ่งทางบนภูเขา เป่ยเฟิงก็พบกับกลุ่มผู้ฝึกตนที่ด้านหน้า
สิ่งแรกที่เขาได้กลิ่นคือกลิ่นหอมของสมุนไพรจากนั้นก็ตามมาด้วยกลิ่นเหม็นของเลือด
กระต่ายนักเลงหลายพันตัวกำลังปกป้องสวนสมุนไพรใหญ่ ดวงตาของพวกมันเป็นสีแดงและไม่เคลื่อนไหวใด ๆ พวกมันกำลังใช้ชีวิตของพวกมันเข้าสู้กับผู้ฝึกตนของฝั่งมนุษย์อย่างดุเดือด
ทุกนาทีจะมีกระต่ายนักเลงและผู้ฝึกตนของทางมนุษย์ล้มตายลง นี้แหละคือความจริงของโลกใบนี้ ความจริงที่ว่าการพยายามทำให้ตัวเองแข็งแกร่งและมั่นคั่งยิ่งขึ้น !
กลุ่มกระต่ายนักเลงทั้งหมดในที่แห่งนี้มีพลังขั้นสี่ของร้อยปี นั้นคือเหตุผลที่ว่าทำไมผู้ฝึกตนของมนุษย์ถึงไปต่อไม่ได้
“ดูเหมือนพวกเขาจะอดใจไม่ไหวแล้ว” เป่ยเฟิงพึมพำในขณะมองผู้ฝึกตนที่กำลังวิ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง กระต่ายนักเลงค่อย ๆ ล้มลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดูเหมือนพวกมันยากที่จะต้านทานพวกมนุษย์
กระต่ายนักเลงที่บาดเจ็บหนักจนสู้ไม่ไหวเลือกที่จะทิ้งศพของพวกมันเอาไว้ จากนั้นก็รีบวิ่งหนีไปยังยอดเขา
ผู้ฝึกตนของฝั่งมนุษย์ราวกับถูกฉีดด้วยเลือดไก่ พวกเขารีบวิ่งเข้าไปในสวนสมุนไพรด้วยความบ้าคลั่ง พวกเขาไม่แม้แต่จะหยุดควบคุมเลือดฉีของพวกเขา พวกเขารีบคว้าและขุดสมุนไพรจิตวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง
สมุนไพรจำนวนมากถูกขุดออกมาโดยที่ยังไม่ถึงเวลา หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที สวนสมุนไพรที่เขียวขจีทั้งหมดก็กลายเป็นว่างเปล่า
ชุยหยุนเทียนยืนนิ่งอยู่ด้านบน โดยมีกลุ่มชายชุดดำอยู่ด้านหลัง เขามองผู้ฝึกตนด้านล่างที่กำลังแย่งสมุนไพรกันอยู่ เขาเปิดปากและพูดราวกับกำลังพูดกับตัวเอง “ทำไมเจ้าไม่ไปเลือกสมุนไพรนั้นบ้าง บางอันมันอาจจะมีประโยชน์สำหรับผู้ฝึกตนขั้นราชาพันปีด้วยซ้ำ”