โอรสแห่งชีวิตทำให้หลี่ปู้และคนอื่น ๆ รักษาอาการบาดเจ็บได้รวดเร็ว มิหน่ำซ้ำมันยังช่วยพัฒนาพลังของพวกเขาไปอีกขั้น
แก่นแท้พลังแห่งชีวิตเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บ ส่วนพลังที่หลงเหลือนั้นทำให้พวกเขานำมาใช้ในการฝึกฝนได้อย่างเต็มที่
เป่ยเฟิงไม่ได้รู้สึกเสียดายใด ๆ ในการให้โอรสแห่งชีวิตกับหลี่ปู้และคนอื่น ๆ เขารู้ดีว่ายิ่งพวกเขาแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ชีวิตของเขาก็จะสะดวกสบายมากขึ้น ท้ายที่สุดมีแต่คนที่มีชีวิตรอดจากการต่อสู้เท่านั้นที่จะช่วยเหลือเขาได้
สำหรับเหตุผลที่ว่าทำไทเขาถึงให้โอรสแห่งชีวิตที่เป็นเพียงเศษเสี้ยวนั้นไม่ใช่เพราะเขาตระหนี่ แต่มันเป็นเพราะพลังแห่งชีวิตมันมหาศาลเกินไป ขนาดเป่ยเฟิงเองยังใช้โอรสที่มีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือเท่านั้น และขนาดเพียงเท่านี้มันกลับเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตที่มากเกินไปจนเกือบจะฆ่าเขา
หากการต่อสู้กับหยานไป๋ไม่ได้ช่วยเผาผลาญพลังแห่งชีวิตไปถึงครึ่งหนึ่ง เป่ยเฟิงก็คงจะตายเพราะพลังแห่งชีวิตมากเกินไป นอกจากนี้มันยังคงหลงเหลือพลังแห่งชีวิตไม่น้อยหลังจากจบการต่อสู้
“ถึงการต่อสู้ครั้งนี้มันน่าจะอันตรายอย่างมาก แต่มันก็ทำให้ข้าได้ประโยชน์มาไม่น้อย เมื่อใดก็ตามที่ข้าดูดซับพลังแห่งชีวิตในร่างไปจนหมด เมื่อถึงตอนนั้นข้าก็จะสามารถทำลายคอขวดไปยังระดับราชาพันปีได้ !” เป่ยเฟิงพึมพำ การต่อสู้ครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นพรที่พระเจ้ามอบให้ก็ว่าได้เพราะฝ่ายเขาไม่ได้สูญเสียใด ๆ แม้แต่น้อย
เป่ยเฟิงนับจำนวนคนแล้วจึงพูด “ไปกันเถอะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ผู้คุ้มกันคนอื่น ๆ ที่อยู่ห่างออกไปก็รีบวิ่งมาอยู่ด้านข้างเป่ยเฟิงอย่างรวดเร็ว ดวงตาของพวกเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
เรือรบจะจอดอยู่ในเมืองเป็นเวลาหนึ่งวันเพื่อเติมเสบียงและของจำเป็นของพวกเขา ดังนั้นเป่ยเฟิงและคนของเขาจึงไม่เร่งรีบนัก พวกเขาเดินไปที่ประตูเมืองด้วยความผ่อนคลาย
“คนพวกนี้ทำให้ข้าประหลาดใจไม่น้อย”
เหนือประตูเมือง มีเด็กหนุ่มและนายพลกำลังยืนมองอยู่ พวกเขากำลังจ้องมองไปยังทิศทางของเป่ยเฟิงและคนของเขา
“นายท่าน คนพวกดูเหมือนเป็นต้นกล้าชั้นดี พวกเขาเหมาะกับการส่งเสริมมาก ทำไมพวกเราถึงไม่ทำให้พวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพซุยหยานกัน ?” นายพลบอกความคิดของเขาให้ชายหนุ่มฟัง
“อะไรกัน ? เจ้าบัดซบซุยซีซาน !”
ฉีที่น่าสะพรึงกลัวปะทุออกมาจากร่างของเด็กหนุ่มทะลุผ่านชั้นเมฆในเวลาไม่กี่วินาที แต่เวลาแค่นั้นมันก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนในเมืองถึงกับต้องสั่นสะท้านด้วยความกลัว !
นายพลรู้สึกว่าชายหนุ่มข้าง ๆ เขากำลังโกรธเหมือนมังกรที่โมโห เขาจึงถามด้วยความระวัง “นายท่าน เกิดอะไรขึ้น ?”
“ไปกันเถอะ”
ชายหนุ่มไม่ได้อธิบายใด ๆ เขาทำเพียงหันหน้าแล้วเดินจากไปด้วยใบหน้าไม่พอใจ
นายพลตื่นตระหนก เขาไม่กล้าถามว่าเกิดอะไรขึ้นอีกต่อไป เขารีบเดินตามไปอย่างเงียบ ๆ
“เจ้าโง่ซีซุยซาย เจ้านั่นรู้ตัวได้เร็วขนาดนี้ได้ยังไงกัน ?”
ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงฉีที่ไม่เหมือนใครของนิกายสวรรค์นิรันดร์จากเป่ยเฟิง หลี่ปู้และหลี่ปิง มันจึงทำให้เขาเสียใจไม่น้อย
ที่จริงแล้วชายหนุ่มคนนี้ชื่นชอบทั้งสามคนไม่น้อย แต่ด้วยความลังเลและต้องการเห็นความสามารถของพวกเขามากกว่านี้มันจึงทำให้เขาสูญเสียโอกาสในการดึงตัวพวกเขามาเป็นของเขา
เป่ยเฟิงกลับไปที่เมืองและนั้นก็ทำให้ผู้ฝึกตนหลายคนตกตะลึงด้วยความประหลาดใจ
ทุกคนในเมืองรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่น่ากลัวที่เกิดจากการต่อสู้ในระยะที่ไกลออกไป แต่ไม่มีใครกล้าไปดู
หลังจากเป่ยเฟิงและคนของเขากลับมาด้วยจำนวนเท่าเดิมก่อนออกไป มันทำให้ผู้ฝึกตนที่รู้ถึงความแค้นระหว่างเป่ยเฟิงและหอการค้าชิงโจวนั้นเต็มไปด้วยความสับสน
“เป็นไปได้ยังไงกัน ? อย่าบอกข้านะว่าหอการค้าชิงโจวเปลี่ยนวิธีการจัดการของพวกเขาไปแล้ว ?”
“เป็นไปไม่ได้ คนพวกนี้เป็นใครกัน ? ดูเหมือนแม้แต่หอการค้าชิงโจวก็ยังทำอะไรพวกเขาไม่ได้”
ผู้ฝึกคนพูดคุยกัน ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าหอการค้าชิงโจวที่ส่งผู้มีพลังระดับราชาพันปีถึง 3 คนออกไปนั้นต้องจัดการเป่ยเฟิงและคนของเขาได้อย่างแน่นอน
“เป็นไปไม่ได้ที่หอการค้าชิงโจวจะเปลี่ยนวิธีการจัดการของพวกเขา เจ้ารู้หรือเปล่าว่ามันเกิดอะไรขึ้น ? ไม่ใช่เพียงแค่พวกเขาไม่ได้เป็นอะไร แต่พวกเขากลับสังหารผู้มีพลังระดับราชาพันปีของหอการค้าชิงโจวไปถึง 2 คน ! โดยที่พวกเขาไม่มีใครตายเลยซักคน !” ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่แอบมองการต่อสู้อยู่ใกล้ ๆ รีบเผยความจริงต่อผู้คน
“สหายเต๋า เจ้าพูดจริงงั้นรึ ? ผู้มีพลังราชาพันปีของหอการค้าชิงโจวหาใช่คนอ่อนแอไม่ ! ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ตอแยกองทัพซุยหยานและหอการค้าอื่น ๆ พานหยุนเฟ่ยผู้มีพลังระดับราชาพันปีขั้นสองและยังมีหยานไป๋และหลู่ซีมู่ที่มีพลังราชาพันปีขั้นสาม พวกเขาก็แข็งแกร่งพอที่จะทำอะไรก็ตามที่พวกเขาต้องการ ! ทำไมพวกเขาถึงฆ่าคนพวกนี้ไม่ได้สักคนกัน ?”
ผู้ฝึกคนหลายคนไม่เชื่อ แม้ว่าการมีตัวตนของสัตว์อสูรระดับราชาพันปีอย่างกู่ฉีจะไม่ได้ปิดเป็นความลับ แต่หลายคนก็ไม่เชื่อว่าหลู่ซีมู่และคนของเขาจะพ่ายแพ้
“พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว ! ทั้งสามคนที่เดินอยู่ด้านหน้านั่นแหละ พวกเขาแข็งแกร่งมากและอาศัยความแข็งแกร่งของพวกเขาในการสังหารหยานไป๋ !” ผู้ฝึกตนคนเดิมอธิบายเพิ่มเติมและนั้นทำให้เกิดความโกลาหลไม่น้อย !
“เป็นไปได้ยังไงกัน ? สหายเต๋า เจ้าล้อพวกเราเล่นแล้ว ? เจ้าอย่าลืมว่ามันมีช่องว่างพลังขนาดใหญ่ระหว่างร้อยปีกับราชาพันปีอยู่จำได้ไหม ? แล้วอย่าลืมว่าราชาพันปีธรรมดา ๆ นั้นไม่มีทางเอาชนะหยานไป๋ได้ แล้วยังมีระดับขั้นที่บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งที่ห่างชั้นกันอีก แล้วดู อีกฝ่ายเป็นเพียงคนที่มีพลังระดับร้อยปีเท่านั้น !”
“เหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อนี้เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของดวงดาวเทียนมู่ !”
มันยากที่จะบอกให้คนเชื่อว่าคนที่มีพลังระดับร้อยปีเพียงสามคนจะเอาชนะผู้มีพลังระดับราชาพันปีขั้นสามได้ นอกจากนี้มันยังถูกกล่าวไว้ว่าเกิดขึ้นในที่พวกเขายืนอยู่อีก
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีคนไม่สนใจว่ามันจะเป็นเรื่องตลกหรือไม่ ท้ายที่สุดแล้วมันเป็นความจริงและในไม่ช้ามันก็เริ่มเกินจริงไปมากในตอนที่มันแพร่กระจายออกไป
มีเพียงผู้ฝึกตนจำนวนน้อยมากที่ได้เห็นว่าเป่ยเฟิงและคนของเขาทรงพลังและบ้าคลั่งแค่ไหน
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ เป่ยเฟิงและคนของเขาก็ขึ้นเรือรบไป เป่ยเฟิงเลือกห้องที่กว้างขวางเทียบเท่าห้องสองห้องและมันเป็นห้องที่อยู่ในระดับสูงสุด ห้องนี้มันทำให้เป่ยเฟิงสามารถมองเห็นวิวภายนอกได้
ห้องนี้ราคาไม่เท่าไหร่ เป่ยเฟิงเพียงแค่จ่ายออกไปเพียง 20,000 HCD เท่านั้น !
ด้วยความมั่งคั่งในปัจจุบันของเป่ยเฟิงนั้น 20,000 HCD มันเล็กน้อยมาก เขาคิดเพียงแค่ว่าการจ่ายเงินไปต้องได้รับการบริการที่ดีตามจำนวนที่จ่าย
เนื่องจากซีซุยซานไม่ยอมจ่ายเงินสำหรับค่าหินเพราะเขาผิดหวังที่ชักชวนเป่ยเฟิงไม่ได้ ทำให้เป่ยเฟิงในตอนนี้มีเงินเพียง 90 พันล้าน HCD เท่านั้น !