หอคอยแห่งดวงดาวถือว่าเป็นสุดยอดผลงานชั้นสูงของสำนักหยินหยาง ไม่ว่าใครก็สามารถสร้างมันได้ มันทำให้แม้แต่ผู้ฝึกตนธรรมดา ๆ ล้มอีกฝ่ายที่มีพลังมากกว่าได้
แต่ทว่ามันใช้วัสดุจำนวนมากในการดำรงอยู่ของหอคอยแห่งดวงดาว มันจึงอธิบายได้ว่ามันคล้ายหลุมดำขนาดย่อม แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขั้นราชาพันปีที่ไม่มีอำนาจใดหนุนหลังก็ยังไม่กล้านำเงินจำนวนมากออกมาเสี่ยงโชค !
หอคอยแห่งดวงดาวระดับหนึ่งดาวมันเพียงพอที่จะทำให้ผู้เชี่ยวชาญราชาพันปีขั้นสูงสุดสู้กับหมื่นปีได้ และหากเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นหมื่นปีเขาก็สามารถสู้กับอีกฝ่ายที่มีพลังมากกว่า 2-3 ขั้นได้
กล่าวอีกอย่างก็คือหากผู้บรรลุระดับหมื่นปีขั้นต้นมาสู้กับอีกฝ่ายที่มีพลังระดับหมื่นปีขั้นสองหรือสาม เขาก็สามารถสู้อีกฝ่ายได้สบาย ๆ !
นอกจากนี้หอคอยแห่งดวงดาวมันยังสามารถนำมาใช้เพื่อฝึกฝนยกระดับตัวเองได้อีกด้วย !
ไม่เพียงแต่มีพลังแห่งดวงดาวที่หอคอยแห่งดวงดาวดูดซึมมาให้ มันยังสามารถให้ผู้ใช้สังเกตการเคลื่อนที่ของดวงดาวและดาวเคราะห์จำนวนนับไม่ถ้วนได้ นอกจากนี้มันยังทำให้เขาสามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของดวงดาวได้
เป่ยเฟิงรู้ดีว่าหอคอยแห่งดวงดาวท้าทายอำนาจสวรรค์แค่ไหน แต่ทว่าไม่สามารถสร้างมันได้ในตอนนี้ หากเขาไม่ขายน้ำเทียนจุนมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหาเงินจำนวนมากมาสร้าง
เป่ยเฟิงส่ายหัวและหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาอยากจะสร้างหอคอยแห่งดวงดาวแต่มันยังไม่ใช่เวลานี้
เมื่อเขาหลับตาลง ห้องลับก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ธูปสีแดงเลือดเผาไหม้อย่างเงียบ ๆ ตามมุมห้อง มันไม่มีควันใด ๆ ออกมาแม้แต่น้อย
เป่ยเฟิงเริ่มทำความเข้าใจเคล็ดบัญญัติกฎสวรรค์ไปพร้อม ๆ กับการกลั่นพลังยาจากในร่างไปด้วย
เคล็ดบัญญัติกฎสวรรค์มาถึงขั้น 4 แล้ว ความเร็วในการฝึกฝนของเขาจะเพิ่มขึ้นทวีคูณอีกครั้ง
แต่เมื่อเทียบกับความเร็วในการฝึกฝนของเคล็ดอื่น ๆ แล้วมันถือว่าไม่ต่างกันมากนัก อย่าลืมว่าเคล็ดการบัญญัติกฎสวรรค์มันต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากเพื่อที่จะพัฒนาไปให้ไวที่สุด
ยิ่งคุณจ่ายไปมากเท่าไหร่ ปริมาณเลือดฉีที่ได้ก็ยิ่งมากขึ้น มันมากจนเคล็ดการฝึกฝนอื่น ๆ ไม่สามารถนำมาเทียบกันได้
หยดเลือดสีขาวเงินบริสุทธิ์ที่หาที่เปรียบมิได้จำนวนนับไม่ถ้วนเริ่มก่อตัวขึ้นในกระดูกของเป่ยเฟิง
เลือดสีขาวเงินนี้เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนไปเป็นสีทองและเลือดสีทองก็เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์และความเหนียวหนืดราวกับลาวาที่กำลังเปล่งประกายออกมาจากหยางบริสุทธิ์ !
เป่ยเฟิงจมอยู่ในห้วงสมาธิของเขา ร่างกายของเขาราวกับหลุมดำ มันเริ่มดูดกลืนหลิงฉีรอบ ๆ เข้ามาอย่างช้า ๆ !
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ พลังของเป่ยเฟิงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เขานั่งไขว่ห้างและทำสมาธิ ร่างกายของเขาส่องแสงสว่างออกมาพร้อมกับระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นกระจายออกมาจากร่างของเขา
“ท่านหัวหน้าตระกูล มีข่าวดี !”
เสียงของผู้คุ้มกันดังขึ้นจากด้านนอก คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความสุข
“หืม ?”
เป่ยเฟิงลืมตาขึ้นพร้อมกับแสงสีทองที่พุ่งออกมาจากดวงตาแล้วทิ้งรอยยาวสองอันบนผนังห้องลับ !
เมื่อเขายืนขึ้น กลิ่นอายของเขาก็สูงขึ้นราวกับเขากำลังเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นภูเขา ในเวลาเดียวกันออร่าที่น่าหวาดกลัวก็ระเบิดออกมาจากร่างของเขา !
“อุก !”
นอกห้องลับ ผู้คุ้มกันที่พกความยินดีมานั้นรู้สึกได้ถึงพลังที่น่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมา มันทำให้เขาถึงกับกระอักเลือดออกมาพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจ
“ข้าไม่ได้บอกงั้นรึว่าห้ามใครมารบกวนข้ายกเว้นข้าจะออกมาเอง ?” เสียงของเป่ยเฟิงดังขึ้นพร้อมกับประตูที่ค่อย ๆ เปิดออกมาจนเผยให้เห็นร่างของเขา
“ท่านหัวหน้าตระกูล ข้าน้อยสมควรตาย !”
หยวนเปาลดหัวลงพร้อมกับขาข้างหนึ่งที่คุกเข่ากับพื้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“เกิดอะไรขึ้น ?”
โถงทางเดินค่อย ๆ ทรุดตัวลงอย่างช้า ๆ โดยมีหยวนเป่าคุกเข่าอยู่นิ่ง ๆ
ใบหน้าของเป่ยเฟิงยังคงไม่แยแสสิ่งใด ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาด เขาจึงโบกมือและถามขึ้น “แปลก ทุกคนหายไปไหนกันหมด ?”
เป่ยเฟิงขมวดคิ้ว เขาได้ออกคำสั่งไว้ว่าห้ามคนอื่นมารบกวนเขาเด็ดขาดและหลี่ปู้ก็ได้จัดคนคุ้มกันมาคอยประจำการที่หน้าห้องเอาไว้ แต่ทว่าเมื่อเขาสำรวจไปรอบ ๆ เขากลับไม่พบใครอื่นนอกจากคนตรงหน้า
ข้อห้ามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการฝึกฝนคือการห้ามถูกรบกวนในขณะเก็บตัวอยู่ หากไม่ใช่ว่าเป่ยเฟิงไม่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ไว้ใจได้และเลือกที่จะไม่ทิ้งตระกูลไปในขณะที่ตระกูลตกอยู่ในอันตราย อีกฝ่ายคงกลายเป็นศพไปแล้ว
เมื่อรู้สึกว่าแรงกดดันค่อย ๆ หายไป หยวนเปาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะพูดขึ้น “ท่านหัวหน้าตระกูล ข่าวดีขอรับ !!! คุณหนูบู่ฮุยเธอสามารถสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเทียนมู่ได้ !”
“หืม ?”
เป่ยเฟิงประหลาดใจเล็กน้อย มหาวิทยาลัยเทียนมู่ไม่ใช่มหาวิทยาลัยกระจอก ๆ โดยปกติแล้วมีเพียงอัจฉริยะที่สามารถทำลายคอขวดไปยังระดับราชาพันปีก่อนอายุ 25 ได้เท่านั้นที่จะสอบเข้าได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามันจะน่าประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกแปลกอะไรนัก
“หืม ?”
พลังจิตของเป่ยเฟิงกระจายออกไปทุกทิศทาง ในตอนนี้พลังจิตของเขาสามารถกระจายออกไปได้ไกลกว่าหมื่นลี้ และตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงออร่าของคนแปลกหน้าที่อยู่ในตระกูลหลี่
ในไม่ช้าร่างของเป่ยเฟิงก็ค่อย ๆ หายไปทิ้งไว้แต่เพียงร่างจาง ๆ
‘ท่านหัวหน้าตระกูลก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว !’ หยวนเปาตกตะลึงอย่างมาก แรงกดดันก่อนหน้านี้ที่เป่ยเฟิงปลดปล่อยออกมามันทำให้เขาถึงกับตกใจกลัว มันราวกับว่าเขาเกือบจะตายเพียงเพราะโดนแรงกดดันของอีกฝ่าย
เรือรบสีขาวเงินลอยเหนือคฤหาสน์ตระกูลหลี่ มันมีรูปร่างคล้ายดาบขนาดหญ่
ในห้องโถงใหญ่ที่คฤหาสน์ตระกูลหลี่ หลี่ปู้และคนอื่น ๆ อยู่กันพร้อมหน้า พวกเขามองชายชราที่นั่งอยู่โดยมีหลี่บู่ฮุยยืนอยู่ข้างหลังเขาด้วยความเคารพ
นอกเหนือจากหลี่บู่ฮุยแล้ว ยังมีชายหนุ่มอีก 3 และหญิงสาวอีก 2 คน ออร่าของพวกเขาแข็งแกร่งมาก เห็นได้ชัดว่ามีพลังไม่น้อยกว่าระดับราชาพันปี ! นอกจากนี้พวกเขายังเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งกว่าผู้มีพลังระดับเดียวกัน !
อีกด้านคือผู้อำนวยการระดับสูงของโรงเรียนซานชวน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มในขณะที่พูดคุยกับชายชราด้วยความสุข หลังจากผ่านไปนานหลายปี ในที่สุดก็มีอัจฉริยะที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยเทียนมู่ปรากฎในโรงเรียนของเขา !
มันจะไม่ให้เขารู้สึกตื่นเต้นได้ยังไง ? ตอนนี้ทรัพยากรที่โรงเรียนซานชวนได้รับมานั้นลดลงอย่างมาก ผู้อำนวยการจึงกังวลอย่างมากจนขนาดที่ผมของเขานั้นเกือบจะร่วงจนหมดหัว เขาจึงทำได้เพียงแค่เอาทรัพยากรทั้งหมดที่มีไปช่วยนักเรียนที่เขาคัดเลือกเอาไว้ทั้ง 3 คน
แต่ใครจะไปคิดกันว่าทั้ง 3 คนกลับล้มเหลวทั้งหมด … พวกเขาสอบตกทั้งหมด แต่ใครจะไปคิดกันว่าหลี่บู่ฮุยจะเป็นคนที่ทำให้เขาประหลาดใจมากที่สุด !
นี่เป็นผลลัพธ์ที่เขาไม่ได้คาดคิด หลังจากได้รับข่าวมันก็ทำให้รอยยิ้มของเขากว้างอย่างมาก เขาถึงกับเดินเล่นในโรงเรียนไปพร้อมกับรอยยิ้มที่เปล่งประกายตลอดเวลา …
“เรือรบที่ลอยอยู่เหนือคฤหาสน์ตระกูลหลี่นั้นมัน ‘ดาบนภา’ ใช่ไหม ! พระเจ้า นั่นคือเรือรบที่ถูกสร้างขึ้นโดยมหาวิทยาลัยเทียนมู่ ใครจะไปคิดกันว่ามันจะมาปรากฎที่ตระกูลหลี่ !”
“อย่าบอกนะว่า มีคนของตระกูลหลี่สอบเข้ามหาวิทยาลัยเทียนมู่ได้ ?”
“นี้มันสุดยอดเกินไปแล้ว ! เมืองซานชวนของเราไม่มีใครเข้ามหาวิทยาลัยเทียนมู่มาได้หลายร้อยปีแล้ว !”
“ตระกูลหลี่ … เฮ้อ”
ผู้คนจำนวนมากมองเห็นเรือรบ ‘ดาบนภา’ เหนือตระกูลหลี่ มันทำให้พวกเขาตื่นเต้นอย่างมาก
ในเวลาเดียวกันทุกคนก็ต้องถอนหายใจ นั่นคือมหาวิทยาลัยเทียนมู่ … ทำไมเด็กสาวที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์คนนั้นไม่ใช่คนในตระกูลของพวกเรากัน … ?
ตระกูลทั้งหลายเข้าใจได้แจ่มชัดมากขึ้นแล้วว่าตระกูลหลี่ในตอนนี้กำลังเติบโตขึ้นขนาดที่ว่าก้าวกระโดดเลยก็ว่าได้
หากตระกูลหลี่มีผู้เชี่ยวชาญเพียงแค่ 2-3 คน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในอนาคตพวกเขาจะอ่อนแอลง แต่ทว่าตอนนี้พวกเขามีผู้สืบทอดแล้ว …
“ชั้วะ !”
ร่างหนึ่งปรากฎในห้องโถงและนั้นก็ทำให้คนทั้ง 5 ที่อยู่ด้านหลังชายชราปะทุพลังขึ้นพร้อมจะโจมตี
“คารวะท่านหัวหน้าตระกูล !”
“ท่านพ่อ !”
“ท่านปู่ !”
หลี่ปู้และคนอื่น ๆ คารวะเป่ยเฟิง
เมื่อเห็นฉากตรงหน้า ทั้ง 5 คนที่อยู่ด้านหลังชายชราก็ผ่อนคลายลงพร้อมกับพลังที่ค่อย ๆ สงบ
“น่ากลัวจริง ๆ !”
เมื่อเป่ยเฟิงปรากฎตัวขึ้น ก็ได้มีพลังทั้ง 5 กักขังเอาไว้จนทำให้เขาขยับไม่ได้ เขาไม่กล้าเคลื่อนไหวใด ๆ ราวกับว่าหากเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยมันจะทำให้เขาบาดเจ็บได้
‘ดูเหมือนพวกเขาจะมีพลังขั้นราชาพันปีขั้นปลายหรือไม่ก็ราชาพันปีขั้นสูงสุด !’ เป่ยเฟิงคิดด้วยความตกใจ จากนั้นเมื่อเขาเห็นไปมองชายชราที่นั่งอยู่ก็ทำให้เขารู้สึกมึนหัว !
ทุกอย่างตรงหน้าเขาหายไปหลงเหลือแค่เพียงชายชรา จากมุมมองของเป่ยเฟิง ชายชราดูอ่อนแออย่างมากแต่ทว่าในไม่ช้าเขาเขาก็เริ่มแข็งแกร่งยิ่งขึ้น จนในที่สุดร่างของเขาก็เต็มไปด้วยพลังสีทองที่หมุนวนรอบตัวเขา
“อัก !”
ร่างของเป่ยเฟิงสั่นสะเทือนจากนั้นเลือดสีเงินก็ค่อย ๆ ไหลออกมาจากมุมปากของเขา เขาเงยหน้ามองชายชราด้วยความจริงจัง
“หืม ? สหายตัวน้อยช่างน่าสนใจนัก เจ้าสนใจจะเข้ามหาวิทยาลัยเทียนมู่และมาเป็นผู้ช่วยของข้าหรือไม่ ?”
ชายชราหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับวางถ้วยน้ำชาในมือของเขา เขาสามารถมองเห็นพลังของบุคคลตรงหน้าเขาได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเพิ่งบรรลุระดับราชาพันปีมาไม่นาน แต่พลังจิตของเขากลับทรงพลังจนน่ากลัวอย่างมาก มันขนาดที่ว่าเขาสามารถสำรวจตัวเขาด้วยพลังจิตแต่ทว่ากลับได้รับผลย้อนกลับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เดิมที่มันเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างมากที่จะสำรวจคนอื่นด้วยพลังจิต ชายชราตั้งใจจะสอนบทเรียนให้เป่ยเฟิง แต่ใครจะไปคิดกันว่าเขาจะหลุดพ้นจากมันไปได้เอง
เป่ยเฟิงโค้งคำนับด้วยความเคารพก่อนจะกล่าวตรงไปตรงมา “ขอบคุณผู้อาวุโสสำหรับความตั้งใจของท่าน แต่มันคงไม่ดีนักเพราะข้ามีทางเลือกของข้าแล้ว”
“โอ้ ? ดูเหมือนเจ้าจะเป็นคนที่ได้รับเลือกจากนิกายสวรรค์นิรันดร์ งั้นก็ลืมมันไปซะหากเจ้าไม่เต็มใจ”
ซิหลิงดูแก่ลงไปอีกครั้ง แต่ทว่าดวงตาของเขากลับสดใสและมีชีวิตชีวา ในขณะที่เขาจ้องมองเป่ยเฟิง มันทำให้เป่ยเฟิงรู้สึกหนังหัวของเขาชาราวกับว่าการจ้องมองนี่มันสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างของเขา
‘เขาต้องมีพลังเหนือกว่าระดับราชาพันปีแน่นอน !’
ร่างกายของเป่ยเฟิงแข็งค้างเมื่อถูกจ้องมอง เขารู้สึกได้ถึงความไร้พลัง
ในเวลาเดียวกันมันเกิดเรื่องแปลกขึ้น ต้นไม้โบราณที่สูงไม่ถึง 2 เมตรปรากฎในร่างของเป่ยเฟิงและปกป้องเขาจากการจ้องมองของซิหลิง
เป่ยเฟิงไม่ได้คาดคิดเลยว่าสิ่งที่เจียซุยซายชักชวนในตอนนั้นจะเป็นประโยชน์ได้ขนาดนี้
หลังจากได้ยินคำพูดของชายชรา เป่ยเฟิงก็เลือกที่จะนิ่งเงียบไป
“ครั้งนี้ตาแก่คนนี้มาที่นี่เพื่อรับตัวบู่ฮุย ตาแก่คนนี้ตั้งใจที่จะรับบู่ฮุยมาเป็นศิษย์ แต่สำหรับศิษย์ของข้าที่มีพลังเพียงขั้นร้อยปีนั้น บู่ฮุยจะไม่สามารถกลับมาที่นี่ได้อีกนาน ดังนั้นข้าจึงผ่านมาที่นี่เพื่ออนุญาตให้บู่ฮุยได้อำลาครอบครัวของเธอ”
ซิหลิงรู้สึกสงสารตัวเองเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะไม่สามารถมองผ่านเป่ยเฟิงได้อีกต่อไป แต่เขาก็ค้นพบสิ่งที่น่าตกใจ พลังเลือดฉีของคน ๆ นี้มันแข็งแกร่งเป็นพิเศษ มันเหนือกว่าผู้มีพลังระดับเดียวกันกับเขาอย่างมาก แม้ในบรรดาอัจฉริยะจำนวนนับไม่ถ้วนที่เขาเคยเห็นมาก่อนก็มีน้อยมากที่จะเป็นแบบเป่ยเฟิง พูดให้ถูกก็คือเขาติดอยู่ในอันดับต้น ๆ !