ถึงอย่างนั้นสภาพของเขาในปัจจุบันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่น่ามองนัก เขาราวกันคนป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้ายที่สามารถปลิวไปตามแรงลมได้
ถึงแม้ว่าเขาจะดูบอบบางแต่ดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ มันราวกับว่ามันคือความแข็งแกร่งที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน !
ทุกคนที่มีพลังระดับเดียวกันจะสามารถรู้สึกได้ถึงพลังฉีที่ร่างกายของเขาปลดปล่อยออกมา มันราวกับแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกราก !
‘ตอนนี้ข้าใช้พลังที่แท้จริงได้แค่ 20-30 % เท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้มีพลังระดับราชาพันปีขั้น 3 หรือ 4 ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า !’
นี่คือความมั่นใจของเป่ยเฟิง !
ด้วยการหลอมรวมที่สมบูรณ์แบบของเลือดฉี มันทำให้เลือดฉีของเขาเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ !
‘หากคำนวณจากแก่นแท้แห่งชีวิตที่ข้าเสียไป ผู้ที่มีพลังระดับราชาพันปีที่หลอมรวมเลือดฉีได้น้อยกว่า 60 % ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าเช่นกัน !’
รอยยิ้มที่มั่นใจปรากฎบนใบหน้าของเป่ยเฟิง ในตอนนี้มันราวกับว่าเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาได้แล้วในโลกใบนี้ !
แน่นอนว่าเขาสามารถต่อสู้กับผู้ที่หลอมเลือดฉี 60% ได้อย่างสูสี ส่วนผู้ที่หลอมรวมได้มากกว่า 70% นั่น มันไม่มีปัญหาสำหรับเขาแม้แต่น้อยที่เขาจะหนีอีกฝ่ายไปได้ง่าย ๆ หากว่าเขาไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ !
สำหรับผู้เชี่ยวชาญที่หลอมรวมเลือดฉีได้มากกว่า 80% หรือผู้มีพลังระดับราชาพันปีขั้นสูงสุดนั้น เขายังไม่ใช่คู่มือของอีกฝ่าย
แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว นอกเหนือจากผู้คนของนิกายหรือสำนักชั้นยอด ผู้ฝึกตนธรรมดา ๆ ไม่มีทางหลอมรวมเลือดฉีได้มากขนาดนี้ !
ส่วนผู้ที่หลอมรวมเลือดฉีได้มากกว่า 90% แน่นอนว่าพวกเขาคือศิษย์หลักของเหล่านิกายต่าง ๆ !
พวกเขาคือผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้สืบทอด ดังนั้นพวกเขาจึงถูกดูแลอย่างดีเพื่อที่จะสามารถหลอมรวมเลือดฉีให้ได้มากกว่า 90% !
ปัจจุบันเป่ยเฟิงยังไม่สามารถก้าวเดินไปที่ไหนก็ตามที่เขาต้องการ แต่อย่างน้อยเขาก็ขยับเข้าใกล้ระดับนั้นแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นคือเขายังเป็นเพียงผู้มีพลังระดับราชาพันปีขั้นแรก ! ยังมีที่ว่างขนาดใหญ่ที่จะให้เขาพัฒนาอีกมาก !
หากเป่ยเฟิงยังคงความบริสุทธิ์ของเลือดฉีได้แบบนี้จนบรรลุระดับราชาพันปีขั้นสูงสุด ความสามารถในการต่อสู้ของเขาจะอยู่ในระดับที่สามารถท้าทายผู้มีพลังระดับหมื่นปีได้อย่างแน่นอน !
‘ตอนนี้แก่นแท้แห่งชีวิตของข้ายังบาดเจ็บอยู่ มันเลยไม่สามารถฝึกฝนได้ ถึงอย่างนั้นข้าก็สามารถนำหลิงฉีเพื่อมาบำรุงเส้นเลือดที่เพิ่งเปิดใหม่ได้ หลังจากนั้นเมื่อแก่นแท้แห่งชีวิตฟื้นตัวได้สมบูรณ์ ข้าก็จะเริ่มชำระล้างเส้นเลือดได้ใหม่อีกครั้ง !’
ดวงตาของเป่ยเฟิงเปล่งประกาย ด้วยความแข็งแกร่งของรากฐานของเขา เขาไม่ควรหยุดเพียงแค่ระดับราชาพันปีขั้นแรกไว้นานนัก พลังอันน่าสะพรึงกลัวของเลือดฉีของเขานั้นมันมากเกินไปที่จะทำให้เขาบรรลุขั้นต่อไปได้ไม่ยาก !
แต่เนื่องจากแก่นแท้แห่งชีวิตของเขาเสียหาย มันจึงทำให้เขาไม่สามารถแบกรับภาระที่ตามมาได้ การทำแบบนั้นจะเป็นการทำร้ายรากฐานของเขาและนั่นไม่ใช่สิ่งที่คุ้มค่าที่จะทำ
หากใครไม่สามารถอดทนต่อสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ได้ พวกเขาก็จะไม่สามารถแบกรับสิ่งสำคัญได้
เป่ยเฟิงเข้าใจในความเป็นไปของสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาได้อย่างดี เขาจึงไม่ยอมละทิ้งโอกาสในอนาคตเพียงเพื่อผลกำไรอันน้อยนิดตรงหน้า
พลังจิตอันทรงพลังของค่อย ๆ พุ่งเข้าไปในร่างจากนั้นก็เริ่มชักนำหลิงฉีให้ไหลเวียนไปตามเส้นทางที่เพิ่งถูกชำระล้าง
เลือดและฉีของเขาไหลเวียนออกไปทุกทิศทางไปตามเส้นเลือดที่สลับซับซ้อนไปมา ในไม่ช้าเส้นเลือดทุกเส้นก็เริ่มเด่นชัดและสดใสราวกับทำมาจากทับทิมคุณภาพสูง สำหรับเส้นเลือดที่ยังไม่ได้ชำระล้างพวกมันยังคงมีสีแดงเข้ม ข้างในพวกมันเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกที่สะสมไว้ก่อนที่เขาจะเริ่มฝึกฝน
“เพียงแค่ 1% ที่ถูกชำระล้าง พลังฉีของข้ากลับเพิ่มมากถึง 2 เท่า ! นี่มันช่างน่าประหลาดใจจริง ๆ ตอนแรกรากฐานของข้าถือว่ามั่นคงไม่น้อย แต่ในตอนนี้มันกลับมั่นคงมากยิ่งขึ้น ส่วนรากฐานของร่างกายข้าเองก็แข็งแกร่งมากกว่าคนทั่วไปอย่างมากในตอนนี้” เป่ยเฟิงพึมพำกับตัวเองในขณะสำรวจเลือดฉีที่เต็มไปด้วยพลังที่กำลังวิ่งผ่านเส้นเลือดของเขาราวกับแม่น้ำ !
“ถ้าเส้นเลือดทั้งหมดของข้าถูกชำระล้าง บางทีข้าอาจไม่ต้องใช้ความสามารถพิเศษก็สามารถบดขยี้ผู้ที่มีพลังระดับราชาหมื่นปีได้สบาย ๆ !” เป่ยเฟิงพึมพำกับตัวเองพร้อมกับส่ายหัวไปด้วย เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งความหวังไว้สูงเกินไป การชำระล้างเส้นเลือดทั้งหมดของเขามันเป็นไปได้ยากมาก ต่อให้เขาขายไผ่จักรพรรดิสวรรค์ทั้งหมดไปก็ตาม
ยิ่งเขาพัฒนามากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งต้องการทรัพยากรมากขึ้นตามไปด้วย สถานการณ์ในปัจจุบันถือว่าเป็นความโชคดีเท่านั้น มันจะไม่ง่ายแบบนี้อีกต่อไปในอนาคต
‘ข้าไม่อยากจะคิดเลยว่าต้องใช้สมุนไพรเท่าไหร่กันในการชำระล้างเส้นเลือดเพียงเส้นเดียว’
เป่ยเฟิงยิ่งคิดเรื่องนี้เขาก็ยิ่งปวดหัว คนอื่นต่างเก็บและรักษาสมุนไพรจิตวิญญาณราวกับสมบัติล้ำค่า พวกเขาเก็บพวกมันอย่างดีราวกับมรดกของตระกูล โดยเฉพาะสมุนไพรจิตวิญญาณที่มีประโยชน์กับผู้มีพลังระดับราชาพันปี
แต่ดูเป่ยเฟิง สมุนไพรล้ำค่าของอีกฝ่ายมันกลับชำระล้างเส้นเลือดของเขาได้แค่หลอดเดียว … นอกจากการชำระล้างเส้นเลือดไม่กี่หลอดแล้วมันก็ไม่ได้ส่งผลลัพธ์ใด ๆ มากนัก ทว่าสำหรับคนอื่นแล้วมันเป็นสิ่งที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของพวกเขาได้อย่างมหาศาลแทน
เขาจะต้องสูญเสียไปอีกจำนวนมากเพื่อที่จะให้ได้สมุนไพรเพื่อที่จะชำละล้างเส้นเลือดจำนวนมาก บางทีต่อให้เป็นตระกูลระดับสูงเองก็ต้องกระเป๋าแฟบลงหากว่ามีคนอย่างเขาอยู่ด้วย !
คลื่นของหลิงฉีบริสุทธิ์ที่ถูกกลั่นโดยเป่ยเฟิงค่อย ๆ ไหลไปตามทุกส่วนของร่ายกายของเขา หลอดเลือดที่ได้รับบาดเจ็บจำนวนมากเริ่มฟื้นฟูขึ้นอย่างช้า ๆ
เป่ยเฟิงรู้สึกราวกับว่าเขากำลังนั่งอยู่ในน้ำพุร้อน ครู่ต่อมาเขาก็ลืมตาขึ้นก่อนจะพ่นหมอกเลือดสีแดงเข้มออกมา
ที่ระหว่างคิ้วของเขา ลวดลายแปลก ๆ ก็ปรากฎขึ้น หากคนที่มีพลังระดับต่ำมองมัน พวกเขาก็จะรู้สึกว่าความต้องการที่ซ่อนอยู่ในใจของพวกเขาถูกปลุกเร้าขึ้นมา !
จิ้งจอกน้อยนอนหลับอยู่ในพื้นที่ที่หมอกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ หางทั้ง 13 หางของมันแกว่งไปมาเบา ๆ
ลึกลงไปในซอกทะเลจิตสำนึกของเป่ยเฟิง มีของ 3 สิ่งปรากฎออกมา เบ็ดตกปลาสีทอง เจดีย์สีดำที่สูงกว่า 10 ชั้นและตราประทับบางอย่าง
‘ถึงเวลามาดูกันแล้วว่ามันคืออะไร !’ เป่ยเฟิงมองตราประทับด้วยท่าทางไม่สบายใจ
‘ตราประทับนี่ติดตามเข้ามาในโลกใบนี้ด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่มันมีประโยชน์อะไรบ้าง ? ทำไมข้าถึงไม่รู้สึกถึงความผันผวนของพลังแม้แต่น้อย นอกจากนี้ข้าก็ยังทำอะไรมันไม่ได้ ไม่ว่าจะดูยังไงมันก็ดูไม่เหมือนตราประทับธรรมดา ๆ’
ดวงตาของเป่ยเฟิงเปล่งประกายด้วยความไม่สบายใจ
ตราประทับนี้ถูกค้นพบในรถม้าข้ามโลกที่อยู่ในสุสานจักรพรรดิฉิน มันถูกซ่อนอยู่ในทะเลจิตสำนึกของเขามาตลอดเวลา
นอกจากนี้เขาไม่สามารถมองเห็นมันได้ตลอดเวลา ต่อให้บรรลุระดับราชาพันปีมาแล้วก็ตาม
มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่ออย่างมาก พลังจิตของเป่ยเฟิงนั้นแข็งแกร่งมากและแม้ว่าเขาจะอยู่ในระดับร้อยปีแต่พลังจิตของเขาก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าผู้มีพลังระดับราชาพันปี
ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาสามารถควบคุมสมองของเขาได้สมบูรณ์แบบ
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็หามันไม่เจอ !
สิ่งนี่สร้างความสับสนให้เป่ยเฟิงอย่างมาก มันราวกับว่ามันสามารถซ่อนตัวเองในหัวของเขาได้สบาย ๆ แม้ว่ามันจะดูไม่เหมือนมีพลังอะไรก็ตาม
… อย่าลืมว่าร่างกายของเขาได้ถูกทำลายไปแล้ว นั่นหมายความว่ามันสามารถซ่อนตัวอยู่ในจิตวิญญาณของเขาได้ !
ยิ่งคิดมันก็ยิ่งทำให้เป่ยเฟิงสั่นสะท้าน
แม้ว่ามันจะไม่ได้สร้างปัญหาใด ๆ ให้กับเป่ยเฟิง แต่มันก็ยากที่จะคาดการณ์ว่ามันจะทำอะไรในอนาคต ท้ายที่สุดแล้วมันคือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณของคน ๆ หนึ่ง
มันราวกับว่ามันสามารถย้ายไปส่วนไหนก็ได้ตามที่มันต้องการ แม้ว่าเป่ยเฟิ’จะใช้พระราชวังแห่งดวงดาวมาช่วยแต่ก็ไร้ประโยชน์
“ในเวลานั้นเมื่อประเทศจินและจูหายไป รถม้าจำนวนมากที่ใช้สัตว์แปลกประหลาดลากก็ได้เข้ามาในสุสานจักรพรรดิฉิน แต่หลังจากผ่านไปเนินนานทำให้พวกมันค่อย ๆ หายไป ในตอนที่เดินทางข้ามดวงดาวรถม้าก็เกิดปัญหาขึ้นระหว่างทาง แม้ว่าสัตว์แปลก ๆ ตัวนั้นจะกลับไปที่สุสานได้ในตอนสุดท้ายแต่พวกมันก็ตายเพราะอาการบาดเจ็บของมันอยู่ดี นอกจากนี้มันก็ไม่สมควรมีผู้มีชีวิตรอดหลงเหลืออยู่ด้วยเช่นกัน” เป่ยเฟิงพึมพำกับตัวเองพร้อมกับจิตใจที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่า เขาสงสัยมากว่าทำไมชาวฉินทิ้งเหลือรถม้าชนชั้นสูงเหล่านี้เอาไว้ พวกเขาเจอสถานการณ์แบบไหนกันในระหว่างทาง
จากซากศพที่หลงเหลืออยู่ ใครก็สามารถบอกได้ว่าการต่อสู้รุนแรงเพียงใด มิตินั้นเต็มไปด้วยซากศพของสัตว์อสูรและผู้ฝึกตน มันยากที่จะบอกว่าใครเป็นฝ่ายชนะ
ซากปรักหักพังในสนามรบไม่ใช่หลักฐานเพียงอย่างเดียวที่บ่งบอกถึงการต่อสู้ มันเป็นเพียงแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งเท่านั้น
เราสามารถสรุปได้ว่าเมื่อตราประทับนี้อยู่ในมือใคร คน ๆ นั้นก็จะถูกโจมตี เมื่อผู้ครอบครองตายมันก็จะถูกส่งต่อไปทันที แต่ทว่าตราประทับนี้มันใช้ทำอะไรกัน ? มันคือสัญลักษณ์หรือสิ่งที่ใช้ส่งต่อให้บรรพบรุษกัน ? หรือมันอาจจะเป็นตราประทับของผู้บัญชาการ !
ยิ่งเป่ยเฟิงพยายามทำความเข้าใจมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งสับสนมากขึ้น ด้วยข้อมูลที่มีอันน้อยนิดมันยากที่เขาจะคิดอะไรได้มากนัก
ท้ายที่สุดแล้วเป่ยเฟิงก็ตัดสินใจไม่คิดเกี่ยวกับมัน เนื่องจากตราประทับนี่ไม่ได้เป็นภัยคุกคามตัวเขา เขาจึงไม่กังวลมันมากนัก
เป่ยเฟิงไม่รู้ว่าจักรพรรดิฉินแข็งแกร่งแค่ไหน แต่เขารู้ว่าอีกฝ่ายต้องน่ากลัวอย่างมาก
ลำพังแค่มรดกหยินหยางเพียงอย่างเดียวก็สามารถบอกได้แล้วว่าประเทศมีความแข็งแกร่งมากขนาดไหน และถึงแม้ว่าสำนักหยินหยางจะถูกมองว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มที่แข็งแกร่งอย่างมาก แต่พวกเขาก็ยังไม่เหมาะที่จะถูกเรียกว่าผู้มีอำนาจสูงสุดในดินแดนฉิน ! มีอีกหลายนิกายที่แข่งขันกันเพื่อปีนไปยังจุดสูงสุด !
นอกจากนี้มรดกหยินหยางที่เป่ยเฟิงได้รับมานั้นยังเป็นเพียงแค่ขั้นพื้นฐานเท่านั้น เห็นได้ชัดว่ามรดกหยินหยางที่แท้จริงทรงพลังเพียงใด
แต่ถึงกระนั้นในบรรดานิกายหลายร้อยแห่งรวมไปถึงตระกูลที่ทรงพลังก็ยังไม่เพียงพอที่จะกำราบราชวงศ์ฉินได้ มันจึงบอกได้เลยว่าราชวงศ์ฉินแข็งแกร่งแค่ไหน !
แม้แต่สัตว์แปลกประหลาดที่สามารถฉีกมิติได้ด้วยคลื่นฝ่ามือของมันก็ยังมีไว้เพื่อรากรถม้าเท่านั้น
ไม่ต้องพูดถึงทหารทองแดงทั้ง 12 ตัวเลย เป่ยเฟิงไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะมองมันด้วยสายตา !
ถึงกระนั้นเป่ยเฟิงก็มั่นใจว่าเขาในตอนนี้สามารถมองมันได้แล้วหากได้พบกันอีกครั้ง !
ตัดสินจากความแข็งแกร่งของจักรวรรดิฉินแล้ว ไม่มีทางที่หุ่นทองแดงจะอ่อนแอ
ถึงกระนั้นจักรวรรดิฉินกลับพ่ายแพ้ ดังนั้นคู่ต่อสู้ของพวกเขาแข็งแกร่งขนาดไหนกัน ?
เลือดของเป่ยเฟิงเดือดพร่าน เขาเกลียดตัวเองที่ไม่ได้เกิดในยุคนั้น
แน่นอนว่ามันมีกลุ่มที่ทรงพลังอยู่จำนวนมากที่เต็มเปี่ยมไปด้วยผู้มากด้วยพรสวรรค์ !
มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียสำหรับผู้ที่เกิดในยุคนั้น
ผู้ที่มีพรสวรรค์สามารถพัฒนาได้ยอดเยี่ยมในยุคนั้น แต่ด้วยผู้ฝึกฝนที่มีจำนวนมาก มันทำให้เกิดการแข่งขันที่ดุเดือดไม่น้อย
แม้ว่าจะมีหลายตำนานส่งผ่านมายังเหล่าคนรุ่นใหม่ แต่หลายคนก็ไม่สามารถเข้าใจถึงเบื้องหลังเรื่องราวประวัติศาสตร์ได้
เป่ยเฟิงส่ายหัวก่อนที่จะปฎิญาณในใจ
‘ข้า เป่ยเฟิง ไม่ใช่ผู้ที่อ่อนแออีกต่อไป แม้ว่าข้าจะไม่ได้เกิดในยุคนั้น แต่ข้าก็จะเป็นผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ในยุคนี้ !’
‘เวลาอยู่ข้างข้า ข้ามีมันไม่จำกัด แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังขังข้าไม่ได้ !’
‘ให้ข้าได้โอ้อวดว่าข้าได้มีส่วนร่วมในยุคนี้เถอะ !’