เป่ยเฟิงนั่งไขว้ห่างโดยมีฉีที่ทรงพลังห่อหุ้มตัวเขาเอาไว้
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและมุ่งมั่น !
เป่ยเฟิงรู้ดีว่าการได้มีพลังระดับราชาพันปีหมายถึงเขาสามารถปกป้องตัวเองได้แล้ว !
แม้ว่าดาวเทียนมู่จะพัฒนาไปได้ไกลมาก แต่ทว่าตัวตนระดับหมื่นปีกลับมีจำนวนน้อยมาก มันเรียกได้ว่าหายากมากที่จะพบพวกเขาตามเมืองเล็ก ๆ
เว้นเสียแต่ว่ามันจะเป็นเมืองชั้นนำหรือเมืองหลวง แต่ถึงอย่างนั้นการพบเจอกับตัวตนระดับหมื่นปีก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี
เป่ยเฟิงแทบจะอดใจหาคนที่จะมาสู้ด้วยกับเขาไม่ไหวแล้วในตอนนี้ !
แต่ทว่าเขารู้ดีว่ายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เขาต้องระวังไว้ – เจ้าสิ่งนั้นยังไงล่ะ !
“ข้าต้องหาคนหนุนหลังข้าในกรณีที่ศัตรูของข้าแข็งแกร่งเกินไปจนข้าเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้” เป่ยเฟิงพึมพำกับตัวเองก่อนที่จะนึกถึงนิกายสวรรค์นิรันดร์ !
เนื่องจากนิกายไม่ได้มีศิษย์มากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงเอาใจใส่ศิษย์ของพวกเขาทุกคน และเมื่อได้รับการช่วยเหลือจากเหล่าอาจารย์ในนิกาย มันจึงไม่แปลกที่ชีวิตของพวกเขาจะไม่มีปัญหาใด ๆ
‘ยังก่อน นิกายสวรรค์นิรันดร์ยังมีเวลาอีกซักพักถึงจะเปิดให้ทดสอบ’
เป่ยเฟิงคิดแผนเอาไว้และตัดสินใจที่จะกลับไปเมืองเทียนฮวงก่อน
ค่ำคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว เวลาเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดและมันก็เป็นสิ่งที่ด้อยค่าที่สุดเช่นกัน เมื่อพวกเขามีพลังเพิ่มขึ้น การฝึกฝนแบบเก็บตัวในแต่ละครั้งนั้นมันกินเวลาของพวกเขาไปยาวนานถึงหลายร้อยปีเลยทีเดียว
เช้าวันรุ่งขึ้น ตระกูลหลี่ก็เริ่มเตรียมของ
ต่อจากนั้นพวกเขาก็ค่อบ ๆ นำสิ่งของที่เตรียมไว้ทยอยขึ้นเรือรบ
ผู้คนในเมืองซานชวนรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่าตระกูลหลี่กำลังจะไปแล้ว
ในทางกลับกัน เจ้าของร้านอาหารบางคนรู้สึกเสียใจที่ตระกูลหลี่กำลังจากไป ตระกูลหลี่คือลูกค้ารายใหญ่สำหรับพวกเขา เพียงแค่การกินอาหารเพียงวันเดียวมันกลับทำให้พวกเขาได้กำไรของปีนั้นทั้งปีเลยทีเดียว
หลายวันต่อมา ตระกูลหลี่ก็มาถึงเมืองเทียนฮวงจากนั้นก็ตั้งหลักปักฐานที่คฤหาสน์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
เป่ยเฟิงสั่งให้ฮ่านกุยและเจ้าตัวนิ่มอยู่ที่คฤหาสน์ จากนั้นเขาก็พาเจ้ากระต่าย หลี่ปู้และคนอื่น ๆ ไปยังหอคอยเชื่อมสวรรค์
เป่ยเฟิงสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะกล่าวขึ้น “หึหึ หลิงฉีในหอคอยเชื่อมสวรรค์ช่างหนาแน่นยิ่งนัก ! ลองจินตนาการถึงหลิงฉีที่อยู่ในหอเชื่อมสวรรค์อันดับต้น ๆ มันจะมีมากขนาดไหนกัน”
ความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับหอคอยเชื่อมสวรรค์เพิ่มมากขึ้น เป่ยเฟิงกำลังสงสัยว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่หอคอยเชื่อมสวรรค์จะใช้ทักษะบางอย่างเมื่อพวกเขาเข้ามาหรือไม่ก็สร้างพื้นที่ภายในเอาไว้
อาจกล่าวได้ว่าหอคอยเชื่อมสวรรค์นั้นเป็นปัจจัยหลักในการพัฒนาของดาวเทียนมู่ หากดาวเทียนมู่สามารถพึ่งพาหลิงฉีของหอคอยเชื่อมสวรรค์ พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีตัวตนระดับหมื่นปีจำนวนน้อยนิดอีกต่อไป
ความปรารถนาของเป่ยเฟิงเพิ่มขึ้นอีกอย่างคือการไขความลับของหอคอยเชื่อมสวรรค์ จากนั้นเขาก็ก้าวเข้าไปในหอคอยเชื่อมสวรรค์ สัตว์อสูรที่มีพลังเพียงร้อยปีไม่สามารถตอบสนองเความต้องการของเขาได้ดีนัก ตอนนี้มีเพียงสัตว์อสูรที่มีพลังระดับพันปีเท่านั้นที่สามารถฟื้นฟูแก่นแท้แห่งชีวิตและแหล่งกำเนิดฉีที่เสียหายของเขาได้
เป่ยเฟิงเตรียมพร้อมที่จะมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาร้อยทำลาย เขาจะใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาตัวเองอีกครั้ง
ตอนนี้เขาสามารถตกปลาได้แล้ว ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่มาตกปลาเนื่องจากเขากลัวว่าจะมีอันตรายที่ไม่อาจคาดเดาได้กำลังรอเขาอยู่ แต่ตอนนี้เขาเป็นผู้มีพลังระดับราชาพันปี มันจึงทำให้เขามีความกล้ามากยิ่งขึ้น
หลังจากเติมเต็มกระเพาะอาหารเสร็จแล้ว เป่ยเฟิงและคนของเขาก็มุ่งหน้าไปยังเทือกเขาร้อยทำลายทันที !
เป่ยเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะนำขวดที่ทำจากหินวิญญาณ 10 ขวดออกมา ทุกขวดบรรจุด้วยของเหลวสีเขียวหยกขนาดเท่าเม็ดถั่ว “หลี่ปู้ นี่คือน้ำเทียนจุนทั้ง 10 หยด พวกมันเพียงพอที่จะช่วยให้เจ้าทำความเข้าใจวิชาต่าง ๆ ของเจ้าได้ เราจะแยกย้ายกันสำรวจและจากนั้นจะมารวมตัวกันตรงจุดเริ่มต้นอีกครั้งในวันสุดท้าย”
ความปรารถนาปรากฎบนหน้าของหลี่ปู้และสายตาของทุกคนเมื่อเห็นเป่ยเฟิงนำขวดออกมา
พวกเขาสามารถบอกได้ทันทีว่าเจ้าสิ่งนี้ต้องมีค่าอย่างมาก เพียงแค่มองครั้งเดียวพวกเขาก็พอจะรับรู้ได้ถึงประโยชน์ของมัน ! มันจะต้องเป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาพวกเขาได้อย่างยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน !
เช่นเดียวกันกับคนที่ขาดสารอาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง พวกเขาปรารถนาที่อยากจะได้สิ่งที่พวกเขาขาดไป
ในฐานะผู้ฝึกตน มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่การรับรู้ของพวกเขาจะยอดเยี่ยมกว่าคนปกติหลายพันเท่า ดังนั้นหลี่ปู้และคนอื่น ๆ จึงต้องการของเหลวในขวดหยกอย่างมาก
“ท่านหัวหน้าตระกูล นี่มันไม่มากเกินไปหรือ ? มันจะดีกว่านี้ถ้าท่านใช้พวกมันกับเหล่านายน้อย”
หลี่ปู้พูดด้วยความเคารพ
“เมื่อข้านำมันออกมาหมายความว่าข้าได้คิดทุกอย่างดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ เพียงแค่ทำตามที่ข้าสั่ง เทือกเขาร้อยทำลายเต็มไปด้วยอันตราย ให้คนอื่น ๆ ตามเจ้าไปซะ ข้าหวังว่าพวกเขาจะเปลี่ยนไปเมื่อพวกเรามาพบกันอีกครั้ง”
เป่ยเฟิงโบกมือก่อนจะจากไป
2 วันต่อมาเป่ยเฟิงและกู่ฉีก็มาถึงเชิงเขาภูเขาไฟ
“สัตว์อสูรที่มีพลังระดับราชาพันปีมีความแตกต่างอย่างมากกับสัตว์อสูรที่มีพลังเพียงแค่ร้อยปี”
เป่ยเฟิงในตอนนี้น้ำหนักลดลงไปมาก ผิวของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาไล่ล่าสัตว์อสูรระดับราชาพันปีติดต่อกันถึง 2 วัน ถึงแม้ว่าเขาจะบาดเจ็บไม่น้อยแต่เขาก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
เขาฟื้นฟูพลังมาได้ 40% แล้วในตอนนี้ แต่แค่นี้ก็เพียงพอที่เขาจะสู้กับสัตว์อสูรระดับราชาพันปี
“ภูเขาไฟลูกนี้มันดูใหญ่มาก !’
ภูเขาไฟยักษ์มันดูราวกับว่าพร้อมจะปะทุและสังหารได้แม้แต่ตัวตนระดับหมื่นปี !
“ไปกันเถอะ”
เป่ยเฟิงเดินนำเจ้ากระต่ายกู่ฉีที่กำลังเคี้ยวสมุนไพรจิตวิญญาณอย่างผ่อนคลาย
ภูเขาไฟลูกนี้ไม่ได้ปะทุมาเป็นเวลานานแล้วเรื่องจากมีรากของต้นเทียนฝั่งอยู่ทั่วเชิงภูเขาไฟ
สภาพแวดล้อมในตอนนี้เต็มไปด้วยต้นไม้สีแดงรอบ ๆ ภูเขาไฟที่ปลิวไปด้วยใบไม้สีแดง ใบของมันดูราวกับเปลวไฟที่หล่นลงมาจากกิ่งไม้เนื่องจากมันมีสีแดงสด
เมื่อเข้าไปในป่า เป่ยเฟิงรู้สึกได้ว่าอุณหภูมิมันสูงขึ้นและมันมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกี่ยวกับหลิงฉี
“อย่าทำให้ข้าต้องผิดหวัง”
เป่ยเฟิงยิ้มจาง ๆ เหตุผลที่เขามาเยือนที่แห่งนี้ก็เพราะเขาค้นพบได้ถึงหลิงฉีที่น่าหวาดกลัวบางอย่าง
ก่อนหน้านี้ที่เชิงเขา เป่ยเฟิงรู้สึกได้ถึงควันหลิงฉีที่ทรงพลังบางอย่างได้ !
มีสัตว์มากมายในป่า ไม่ว่าจะเป็นกระรอก นก หรือสัตว์ตัวเล็ก ๆ
‘แปลก ทรัพยากรในป่าแห่งนี้มันไม่ได้มีมากนัก สัตว์พวกนี้มันกินอะไรกัน ? อย่าบอกข้านะว่าพวกมันต้องขึ้นภูเขาไฟเพื่อไปหาอาหารบนนั้น ?’
ป่านั้นเงีบบสงบจนกระทั้งเป่ยเฟิงและเจ้ากระต่ายเดินเข้าไป
“หยินน !”
เสียงร้องดังขึ้นจากนั้นตามมาด้วยลมกระโชกที่รุนแรง
เป่ยเฟิงเงยหน้าขึ้นก่อนจะเห็นนกสีแดงขนาดใหญ่กว่า 100 จั้งบินเหนือหัวพวกเขา
กรงเล็บของมันเป็นสีแดง ร่างของมันปกคลุมไปด้วยเกร็ดสีแดงที่เงางาม ในกรงเล็บของมันจับมังกรโคโมโดขนาดใหญ่กว่า 100 จั้งเอาไว้ !
“สัตว์อสูรตัวนี้จะต้องไม่ใช่สัตว์อสูรที่มีพลังระดับราชาพันปีธรรมดา ๆ แน่นอน !”
เป่ยเฟิงรู้สึกประหลาดใจมาก เขาไม่คิดเลยว่าจะพบสัตว์อสูรระดับราชาพันปีในทันทีที่เข้ามาในป่า
เป่ยเฟิงรู้สึกได้ว่าเจ้าสัตว์อสูรตัวนั้นสังเกตเห็นเขาเช่นกัน มันทำให้หัวใจของเป่ยเฟิงเต้นเร็วยิ่งขึ้น
“ฟิ้ว !”
โชคดีที่มันไม่มีความตั้งใจจะสู้กับเขา
เป่ยเฟิงรู้สึกโล่งใจ จากนั้นเขาก็กังวลว่าสถานที่แบบนี้อาจจะอันตรายเกินไปสำหรับเขา
เมื่อหันหลับมามองเจ้ากระต่าย เขาก็พบว่ามันกำลังเครียดจนต้องใช้สมุนไพรจิตวิญญาณมาสงบอารมณ์ของตัวเอง
“นี้มัน คงไม่ใช่ว่าเจ้านั่นเป็นสัตว์อสูรที่มีพลังระดับหมื่นปีหรอกนะ ?”
เป่ยเฟิงถอนหายใจในขณะมองไปยังทิศทางที่นกตัวนั้นบินผ่านไป
เป่ยเฟิงและกู่ฉีเร่งฝีเท้ามากขึ้น พวกเขายังคงตื่นตัวกับสภาพแวดล้อมและเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา เป่ยเฟิงถือพันรูปร่างที่เป็นดาบในมือและพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงมันตลอดเวลา !
เมื่อพลังของเขามากขึ้น เขาก็สามารถเปลี่ยนรูปร่างของพันรูปร่างได้ดียิ่งขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังใช้มันได้ไม่คล่องนัก มันก็เหมือนกับมีดที่อยู่ในมือเด็กที่ไม่สามารถเอาชนะมีดที่อยู่ในมือผู้ใหญ่ได้
“กุ้กก กุ้ก กุ้ก ค๊อกก กุ้ก กุ้ก”
ทันใดนั้นก็มีเสียงไก่ดังขึ้นใกล้ ๆ ตัวเป่ยเฟิง
เป่ยเฟิงตอบสนองด้วยการระงับพลังของตัวเองทันที เขาระงับมันไว้เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นเขา
ตอนแรกเขาใช้พลังเพื่อป้องกันการโจมตีจากเหล่านักล่า แต่ตอนนี้เหยื่อได้มาปรากฎตัวแล้ว เขาจึงไม่ต้องกังวลอีกต่อไป
“นี่มันอะไรกัน ?”
เป่ยเฟิงคิดว่ามันจะเป็นไก่หรือไม่ก็นก แต่ทว่ามันกลับเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน !
ห่างออกไปไกลหลายพันเมตร มันเป็นสัตว์อสูรที่มีหัวเป็นไก่ แต่ร่างเป็นงู มันมีความยาวกว่า 3 เมตร ร่างของมันปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีแดงสด ในขณะเดียวกันบนหัวของมันก็มีหงอนที่สูงกว่าครึ่งเมตรอยู่บนหัว
‘แผล่บ ตราบใดที่มันกินได้ก็พอ ! ถึงสัตว์อสูรตัวนี้จะดูตัวเล็กและธรรมดา ๆ แต่เลือดฉีของมันทรงพลังมาก มันจะต้องแข็งแกร่งกว่าสัตว์อสูรที่มีพลังระดับราชาพันปีที่ข้าฆ่าไปก่อนหน้านี้แน่นอน !’
เป่ยเฟิงสามารถบอกได้ทันทีว่ามันเป็นสายพันธุ์ที่ไม่เหมือนใคร สัมผัสจากพลังฉีของมันแล้วมันน่าจะมีพลังไม่ต่ำกว่าราชาพันปีขั้น 5 !
“แก่นแท้ของมันน่าจะรวมตัวกันอยู่ที่หงอนของมัน ดังนั้นอย่าทำลายมัน” เป่ยเฟิงบอกได้ทันทีว่ากว่า 90 % ของหลิงฉีของสัตว์อสูรตัวนี้อยู่ที่หงอนสีดำบนหัวของมัน !
ยิ่งกว่านั้นคือหงอนของมันน่าจะเป็นแหล่งกำเนิดเลือดฉี !