เมื่อคิดว่ายาเปลี่ยนร่างที่พวกเขาพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้มันมาเป็นเพียงขยะบางส่วนของนิกายเหล่านั้น มันทำให้เขาอยากจะกระอักเลือดออกมา
ผู้ฝึกตนที่เพิ่งออกมาจากซากโบราณไม่รู้ว่าสัตว์อสูรที่เคารพกำลังคิดอะไรอยู่ หากพวกเขารู้ พวกเขาคงสาปแช่งอย่างแน่นอน
บัดซบ แกทำเป็นกระอักเลือดเหมือนแกเป็นคนไปหามาเอง เราสิที่เป็นคนไปเสี่ยงชีวิตเพื่อไปหามันมา แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับแก ?
หากไม่ใช่ความว่าที่ว่าพวกเขาไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ พวกเขาคงจัดการเจ้าสัตว์อสูรที่น่ารังเกียจนี้ไปแล้ว
สัตว์อสูรที่เคารพสำรวจยาเปลี่ยนร่าง จากนั้นก็ประกาศขึ้น “การสำรวจครั้งนี้สิ้นสุดลงแล้ว การสำรวจครั้งต่อไปจะเป็นอีก 100 ปีนับจากนี้ ข้าหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากพวกเจ้าทุกคนในเวลานั้น”
“น่าเสียดายเจ้าสัตว์ร้ายหลุมแห่งความว่างเปล่านั้น แต่ก็อย่างว่าแหละ หากมันออกมาจริง ๆ คงมีแต่พวกเราที่จะพินาศ” ผู้มีพลังระดับหมื่นปีถอนหายใจ
“ใช่ คุณค่าของสัตว์ร้ายหลุมแห่งความว่างเปล่ามันมีมากมายมหาศาล บางทีมันอาจจะมากกว่าสมบัติทั้งหมดที่ตระกูลข้าสะสมมาเสียด้วยซ้ำ”
กลุ่มผู้มีพลังระดับหมื่นปียืนอยู่กลางอากาศเฝ้ามองสัตว์ร้ายหลุมแห่งความว่างเปล่าด้วยความเสียดาย
“สัตว์ร้ายหลุมแห่งความว่างเปล่ามันน่ากลัวจริง ๆ คงมีแค่พวกเราเท่านั้นแหละที่รู้ถึงความน่ากลัวของมันแบบชัด ๆ” ผู้มีพลังระดับร้อยปีกล่าวออกมาพร้อมกับถอนหายใจ
“หยุดมองได้แล้ว สัตว์ร้ายจิตวิญญาณแห่งความว่างเปล่ามันไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะฝันว่าจะจัดการมันได้” คนของตระกูลฉิงเยาะเย้ยเขา
“อย่าได้ดูถูกคนอื่นนัก เหตุผลเดียวที่เจ้าแข็งแกร่งกว่าผู้อื่นนั้นก็เพราะเจ้าเกิดมาพร้อมกับภูมิหลังที่ดี เพราะมีตระกูลใหญ่หนุนหลัง พวกเจ้าเลยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการฝึกฝนหรอก !” ผู้ฝึกตนคนหนึ่งเยาะเย้ยกลับ
“หยุดซะ เจ้าอยากตายหรือยังไง ?” ผู้ฝึกตนพเนจรอีกคนรีบวิ่งมาห้าม
โดยไม่คาดคิด สมาชิกของตระกูลฉิงกลับพยักหน้าและยอมรับตรง ๆ “เจ้าพูดถูก การได้กลับมาเกิดเป็นสมาชิกในตระกูลใหญ่ช่างเป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ”
ผู้ฝึกตนพเนจรเหมือนแมวที่ถูกเหยียบหาง เขาไม่สนใจอะไรอีกต่อไป เขาก้าวออกไปและพูดขึ้น “เจ้า !!! ข้าจะฝึกฝนให้หนักและจะทำให้เจ้าได้เห็นว่าคนที่ไม่มีใครหนุนหลังเลยแบบข้าก็สามารถเอาชนะพวกเจ้าได้ด้วยความพยายาม ! ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปตามกาลเวลา อย่าได้รังแกผู้เยาว์ให้มากนัก !”
ผู้คนรอบตัวเงียบลงทันที
ความเงียบกินเวลาอย่างน้อยหนึ่งนาที จากนั้นเสียงเยาะเย้ยก็ดังขึ้นจากฉิงริยู่ว “ไร้สาระ หากการฝึกหนักมันมีประโยชน์จริง งั้นจะมีอัจฉริยะไว้ทำไม ?”
“ฮ่าฮ่า ทำไมพวกเจ้าถึงได้แค่กลั่นแกล้งพวกผู้เยาว์กัน ? ทำไมพวกเจ้าไม่ลองดูว่าตอนนี้พวกเจ้าอายุเท่าไหร่กันแล้ว ?” ศิษย์ของนิกายอสูรแรกเริ่มเข้าร่วมเยาะเย้ยด้วย
เสียงหัวเราะของพวกเขาหยาบและเสียงดัง
รุ่นเยาว์ที่พูดนั้นยังมีอายุน้อย แต่ดูเหมือนเขาได้รับการยอมรับจากทุกคนเพราะสหายของเขาที่ร่วมด้วยกันต่างมีอายุหลายร้อยปี
“หลายร้อยปีที่ผ่านมาพวกเจ้าทุกคนก็เป็นได้เพียงแค่สุนัขเท่านั้น ด้วยพลังเพียงระดับร้อยปีทำไมเจ้าถึงได้มีความมั่นใจขนาดนี้ ?” คนของตระกูลฉิงเยาะเย้ยอีกฝ่าย
ร่างกายของเป่ยเฟิงสั่นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงนี้
“น่าสนใจ”
เป่ยเฟิงหันไปมองคนที่กำลังพูดกันอยู่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำพูดเหล่านี้ในโลกใบนี้ แม้ว่าคำเหล่านี้จะแตกต่างกันบ้าง แต่เขาก็คุ้นเคยกับมันดี
“ถ้าข้ามีทรัพยากรมากพอเหมือนพวกเจ้า ข้าคงไม่ก้าวไปได้ช้าแบบนี้หรอก !”
ผู้ฝึกตนคนหนึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความอิจฉา ทำไมเขาถึงไม่มีโชคในเรื่องการฝึกฝน ทำไมเขาถึงไม่ต้องกังวลในเรื่องทรัพยากรและทักษะฝึกฝน ทำไมเขาต้องเสี่ยงตายเพื่อทรัพยากรเพียงเล็กน้อยกัน ?
คนของตระกูลฉิงหัวเราะและกวักมือยั่วยุ “เจ้าไม่คิดว่าตัวเองอ่อนแอกว่าข้างั้นรึ ? เข้ามา ข้าสัญญาว่าจะไม่ฆ่าเจ้า”
“อย่าใจร้อน ชายคนนั้นเป็นศิษย์ของตระกูลใหญ่” คนที่อยู่ข้างเขาเตือน พวกเขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนพเนจรเท่านั้น มันจะไปเทียบกับผู้ที่มีตระกูลใหญ่หนุนหลังได้ยังไงกัน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายลังเล คนของตระกูลฉิงจึงยิ้มและพูดต่อ “ไม่ต้องกังวล มันก็แค่การแลกเปลี่ยนความรู้ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ข้าจะไม่เอาความเจ้าแน่ มีคนมากมายที่นี่ พวกเขาจะเป็นพยานให้เจ้าได้ ถ้าไม่มีเหตุผลที่จะกลับคำพูด”
จางหยวนลังเลครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับ “ได้ เรามาสู้กัน ! ข้าจะทำให้รู้ว่าข้าไม่ได้อ่อนแอกว่าเจ้า !”
เมื่อคิดว่าตัวเองต้องสู้กับสัตว์อสูรอย่างดุเดือดมาตลอดหลายปีเพียงเพื่อทรัพยากร และเมื่อนึกถึงความสะดวกสบายของคนที่มีตระกูลใหญ่หนุนหลัง มันทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองอย่างมาก
เขาไม่พอใจพวกตระกูลและนิกายเหล่านี้มานานแล้ว พวกเขาทำราวกับตัวเองสูงส่งและยิ่งใหญ่ตลอดเวลา ตอนนี้เมื่อมีโอกาสเขาก็จะพิสูจน์ให้เห็นเองว่าแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ฝึกตนพเนจร แต่เขาก็แข็งแกร่งกว่าพวกที่ถูกดูแลโดยตระกูลใหญ่ !
“หกร่างกลืนกินสวรรค์ !”
“ดาบนิรันดร์”
ทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรง พวกเขาใช้วิชาสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา !
เลือดฉีอันน่าสะพรึงกลัวระเบิดออกเมื่อทั้งสองปะทะกัน
ภายในเวลาไม่กี่วินาที ทั้งสองก็ปะทะกันไปหลายร้อยครั้งแล้ว !
“ปัง !’
“เป็นไปไม่ได้ !”
มีใครบางคนพุ่งออกมาจากพร้อมกับรอยฝ่ามือที่ประทับอยู่ที่หน้าอก
แม้ว่ามันอาจจะดูไม่ร้ายแรง แต่อวัยวะทั้งห้าของเขาและภายในทั้งหกต่างได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก
“น่าผิดหวัง นี่คือความสามารถที่เจ้ามี ? มันไม่พอแม้แต่จะรับฝ่ามือของข้าเลยแม้แต่น้อย” คนของตระกูลฉิงส่ายหัวด้วยความรังเกียจ
“เจ้าบอกว่าเจ้าแข็งแกร่งแต่เจ้าไม่รู้วิธีใช้มัน แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาวุ่นวายกับข้า ? เจ้าไม่มีสิทธิ์ แต่ข้ามีสิทธิ์ !”
“สิทธิ์ที่ข้าได้มามันก็มาจากชีวิตของผู้แข็งแกร่งรุ่นก่อนที่สร้างขึ้นมาบนดวงดาวเทียนมู่ !”
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นดอกไม้ที่เติบโตในโรงเรือน เป็นเด็กทารกอ่อนแอตัวเล็กที่ต้องได้รับการปกป้องตลอดเวลาหรือยังไง ? เมื่อตอนข้าอายุเพียง 14 ปี ข้าก็ได้ต่อสู้กับสัตว์อสูรแล้ว ตอนนั้นเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ?” คนของตระกูลฉิงถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เป็นไปไม่ได้ ! ข้ามีพลังระดับร้อยปีเหมือนกัน นอกจากนี้ทักษะต่อสู้ของข้าก็ไม่เลวเช่นกัน ทำไมเจ้าถึงแข็งแกร่งกว่าข้า ?”
จางหยวนไม่สามารถยอมรับได้ เขาพ่ายแพ้ได้ง่ายขนาดนี้ได้ยังไงกัน ?
“ถึงแม้ข้าจะบอกว่าจะไม่ทำให้เจ้าต้องตาย แต่ข้าจะทิ้งร่องรอยเอาไว้ ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะคิดว่าใครก็สามารถเข้ามาท้าทายตระกูลฉิงได้ตราบที่เขาต้องการ” เมื่อพูดจบเขาก็ก้าวไปข้างหน้าและเตรียมจะลงมือ
เป่ยเฟิงก้าวออกมาและพูดอย่างสงบ “พอแล้ว ให้เรื่องมันลงแค่นี้เถอะ ไว้หน้าข้าบ้าง”
“ท่านหัวหน้าตระกูล … ?’
หลี่ปู้และหลี่ปิงมองหน้ากันทันที แม้ว่าเป่ยเฟิงจะปฎิบัติกับตระกูลของตัวเองอย่างดิบดี แต่พวกเขารู้ดีว่าเป่ยเฟิงไม่ใช่พวกที่ชอบไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น ทำไมเขาถึงเลือกที่จะเข้าไปยุ่งกัน ?
เป่ยเฟิงไปยืนขวางทางคนของตระกูลฉิงและปลดปล่อยพลังระดับราชาพันปีออกมา
ความจริงแล้วนี่คือสิ่งที่เป่ยเฟิงตั้งใจจะทำ
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้ยินคำพูดที่คุ้นเคยของโลกใบเดิม มันทำให้เขารู้สึกดีไม่น้อย แม้ว่ามันจะเป็นเพียงประโยคเดียวก็ตาม
คนของตระกูลฉิงลังเลครู่หนึ่งและพูดขึ้น “ในเมื่อผู้อาวุโสเอ่ยปาก งั้นเรื่องนี้ถือว่าจบลงที่นี่แล้วกัน”
“ขอบคุณมาก” เป่ยเฟิงพยักหน้า ในเมื่ออีกฝ่ายไว้หน้าเขา เขาจึงตอบรับอีกฝ่ายเช่นกัน
เลือดค่อย ๆ ไหลออกมาจากริมฝีปากของจางหยวน ดวงตาของเขาเต็มไปดวามริษยาพร้อมกับพูดขึ้น “ไม่จำเป็นต้องมายุ่ง ซักวันหนึ่ง ซักวันหนึ่งข้าจะใช้ความแข็งแกร่งบอกกับพวกเจ้าทุกคนว่าข้าไม่ได้อ่อนแอไปกว่าพวกเจ้าทุกคน !”
ใบหน้าของคนตระกูลฉิงเปลี่ยนไป เขาหันไปถามเป่ยเฟิง “ผู้อาวุโส นี่ … ?”
ร่างของเป่ยเฟิงแข็งเล็กน้อย ใบหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลง เขาหันไปมองจางหยวนพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “ข้าไม่ค่อยแสดงความมีน้ำใจออกมาบ่อยนัก แล้วเจ้าคิดจะทำอะไร ? ตอนนี้แม้ว่ามันจะแปลก … แต่ข้ามีคำถามอยากจะถามบางอย่างจากเจ้า”