“หยุด !”
“ฆ่า !”
เหล่าผู้ติดตามของชายวัยกลางคนไม่คิดว่าจะได้มาเห็นสถานการณ์แบบนี้
ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าพี่ใหญ่ของพวกเขาจะเอาชนะเป่ยเฟิงได้ง่าย ๆ แต่ในไม่ช้ากระดานมันกลับพลิกกลับโดยสมบูรณ์ !
ตั้งแต่เริ่มพวกเขามีเวลาหายใจไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น แต่ผลลัพธ์มันกลับตาลปัตรขนาดนี้ !
พวกเขาเชื่อมั่นในตัวของชายวัยกลางคนไม่น้อย เนื่องจากมันมีระยะความต่างของพลังระหว่างเป่ยเฟิงและชายวัยกลางคนอยู่
นอกจากนี้มันยังมีพวกสัตว์อสูรระดับราชาพันปีที่คอยดูท่าทีอยู่รอบ ๆ
ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่คิดว่าจะเกิดผลลัพธ์แบบนี้ !
แม้ระยะห่างของพวกเขากับชายวัยกลางคนจะสั้น ๆ และสามารถพุ่งเข้าไปหาได้ภายในไม่กี่วินาที แต่มันกลับไม่ง่ายขนาดนั้น
“ฮึ่ม พวกอ่อนแอไม่มีสิทธิ์ขอความช่วยเหลือ !” เป่ยเฟิงล้อเลียนชายวัยกลางคนก่อนจะโจมตีต่อไป
“อ๊าก ! ขวางกั้น ! โล่ไทเทเนียม ! เกราะอมตะ !”
ชายวัยกลางคนไม่คิดเลยว่าชายคนนี้จะโจมตีออกมาได้หลากหลายกระบวนท่าภายในไม่กี่วินาที !
ชายวัยกลางคนได้ใช้พลังวิญญาณของเขาอย่างเต็มที่ในการป้องกันการโจมตีของเป่ยเฟิง
“น่าขัน แกพูดมาได้ยังไงว่าเกราะอมตะ ?”
เป่ยเฟิงถึงกับชะงักไปชั่วครู่ ต้องยอมรับเลยว่าเซ้นส์การตั้งชื่อของอีกฝ่ายห่วยแตกกว่าเขามาก
“มังกรเสือ คู่เคลื่อน !”
เสือและมังกรรวมเป็นหนึ่งเดียวแล้วพุ่งไปตามหมัดของเป่ยเฟิง
“โฮก !”
“โฮก !”
เสียงคำรามที่น่าสะพรึงกลัวดังขึ้นสองครั้งพร้อมกับเป่ยเฟิงที่ขยับออกหมัด !
ด้วยความแข็งแกร่งของมังกรและความดุร้ายของเสือ มันทำให้หมัดของเขาน่าสะพรึงกลัวมาก และหมัดที่น่าสะพรึงกลัวนี้ก็พุ่งตรงเข้าหาชายวัยกลางคน
“ปัง !”
หมัดพุ่งทะลุหน้าอก !
ในเวลานั้นไม่มีแม้แต่เสียงกระทบของโลหะ
แต่มันเป็นเสียงระเบิด
เลือดฉีของชายวัยกลางคนบาดเจ็บสาหัส
อวัยวะภายในของเขาครึ่งหนึ่งบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีของเป่ยเฟิง !
หากเป็นผู้มีพลังเพียงร้อยปีจะต้องตายทันทีที่บาดเจ็บหนักขนาดนี้ แต่เพราะชายคนนี้มีพลังระดับราชาพันปีดังนั้นเขาจึงสามารถฟื้นตัวได้รวดเร็ว แต่ทว่ามันจะทำให้รากฐานของเขาสั่นคลอนไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังดีกว่าถูกฆ่า !
เลือดสด ๆ หยดลงมาจากหน้าอกของเขา
“ขวางมัน ! ขวางมันที !”
ชายวัยกลางคนยิ้มให้กับผู้ติดตามของเขาที่พุ่งเข้ามา
“พี่ใหญ่ รีบหนีไป !”
“หลบเร็วเข้า !”
ทันใดนั้นเขาก็พบว่าผู้ติดตามของเขาดูตกใจอย่างมาก
“อุฟ !”
เงาสีดำที่มีรูปร่างเหมือนดาบเหวี่ยงไปทั่วร่างของชายวัยกลางคน
ที่คอของเขาค่อย ๆ มีเลือดซึมออกมา จากนั้นทั่วร่างของเขาก็ฟันขาดสะบั้น !
มันเป็นเป่ยเฟิง เขาใช้ดาบฉีที่เขาสร้างขึ้นมาฟันชายวัยกลางคน !
ดาบของเป่ยเฟิงไม่ได้มีคมเหมือนดาบ นอกจากนี้ตรงปลายของมันก็ไม่ใช่ใบมีด แต่ทว่ามันเป็นฟันฉลาม !
แถวของฟันที่แหลมคมบนตัวดาบทำให้มันดูเหมือนฟันฉลามของจริง !
เมื่อเห็นร่างกายของเขาระเบิด เป่ยเฟิงก็พึมพำ “หืม ? ดูเหมือนข้าจะลงมือหนังไป มันสะบั้นแม้แต่ร่างกายของเขา”
มันเป็นร่างกายที่ยอดเยี่ยม ! เขาควบคุมพลังจิตให้ยึดส่วนของร่างกายเข้าด้วยกันอย่างช้า ๆ
แต่ทว่าเพราะเขาเผลอทำลายอวัยวะภายในของอีกฝ่ายไปโดยไม่ตั้งใจ มันทำให้แม้ว่าจะรวบรวมชิ้นส่วนต่าง ๆ มาได้แต่มันก็ไม่มีสามารถพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้ในอนาคตแล้ว
“พี่ใหญ่ !”
“ตาย ! ตาย ! ข้าจะฆ่าแก !”
ทั้ง 5 คนพุ่งเข้าหาเป่ยเฟิง ชายวัยกลางคนที่สูงกว่าหนึ่งจั้งคำรามพร้อมกับดวงตาสีแดง มันแสดงให้เห็นว่าเขาได้คลั่งไปแล้ว !
ร่างของเขาใหญ่โตจนทำให้คนอื่นรู้สึกถึงแรงกดดันอันหนักหน่วง เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลังมากกว่าผู้ใด จับคู่กับพลังวิญญาณที่เขาใช้มันยิ่งทำให้ร่างของเขาใหญ่ขึ้นไปอีก !
กล้ามเนื้อของเขาดูแข็งเหมือนเหล็ก มันโป่งพองและแข็งจนดูอันตราย
“ฆ่าข้าสิ ถ้าแกทำได้ละก็นะ”
เป่ยเฟิงเฉยชาจากนั้นเขาก็ก้มตัวลงหมอบเหมือนเสือที่เตรียมจู่โจม
“โลหิตชะรำสวรรค์ !”
เป่ยเฟิงตะโกนด้วยท่าทางที่เหมือนเสือ !
เสือขาวหิมะไร้ตำหนิปรากฎตัวด้านหลังเขาพร้อมกับจิตสังหารอันทรงพลัง !
ใช่ มันเป็นเสือขาว !
เสือขาวที่เป็นหนึ่งในสี่สิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน !
“ฆ่า !”
“ปัง !”
ชั้นน้ำแข็งสีเข้มปรากฎขึ้นบนพื้นเมื่อเสือปรากฎตัว
“นี่มันสัตว์อสูรอะไรกัน !”
“สายเลือดชั้นสูง ! ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ?”
“แม้แต่เสือโลหิตจากเผ่าเสือก็ไม่สามารถเทียบกับสัตว์อสูรตัวนี้ได้ !”
“ในเมื่อมนุษย์คนนี้สามารถสร้างเทวรูปของเจ้าตัวนี้ได้ นั่นหมายความว่าเขาเคยเห็นสัตว์อสูรตัวนี้มาก่อนแน่นอน !”
“ดูเหมือนว่าข้าจะเคยเห็นมันมาก่อนนะ แต่ที่ไหนซักที่นี่แหละ”
เหล่าสัตว์อสูรที่มีพลังระดับราชาพันปีถึงกับตัวสั่นไปพร้อมกัน พวกมันไม่เคยเห็นสัตว์อสูรเช่นนี้มาก่อน แม้ว่ามันจะเป็นเพียงภาพลวงตาที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นแต่มันก็ทำให้พวกมันรู้สึกถึงบางอย่างพิเศษ !
สัตว์อสูรที่ทรงพลังคิดไปคิดมาก่อนจะคำรามขึ้น “พระราชวัง ! ใช่แล้ว มันต้องเป็นสัตว์อสูรในพระราชวัง ! พวกเจ้าไม่คิดว่าสัตว์อสูรตัวนั้นมันเหมือนกับเทพมารราชาเสือขาวหรือยังไงกัน ?”
“มนุษย์รู้จักเทพเจ้าปีศาจเสือขาวได้ยังไงกัน ? มันผ่านมาตั้งหมื่นปีแล้วนะตั้งแต่เทพมารเสือขาวได้ปรากฎตัวออกมา !”
สัตว์อสูรเหล่านี้สับสนมาก มันเคยมีตำนานไว้ว่าเทพมารเสือขาวนั้นเคยมีตัวตนอยู่จริง ๆ แต่มันผ่านมาเป็นหมื่นปีแล้วตั้งแต่ที่เทพมารเสือขาวปรากฎตัวครั้งสุดท้าย นอกจากนี้เทพมารยังไม่ได้ทิ้งลูกหลานไว้เบื้องหลังอีกด้วย ดังนั้นหากนับตามสายเลือดแล้วกล่าวได้ว่าในเหล่าสายเลือดของเสือ เทพมารเสือขาวถือว่าเป็นราชาของพวกมัน
เป่ยเฟิงไม่ได้รู้เรื่องเหล่านี้ เทวรูปเสือขาวนั้นเป็นเพียงสิ่งที่เขาจิตนาการขึ้นมาในตอนที่ฝึกฝนรูปแบบเสือเท่านั้น
หมียักษ์และมังกรเองก็เป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฎตัวในโลกมาก่อนเช่นกัน ดังสัตว์อสูรเหล่านี้จึงไม่อาจเข้าใจถึงแรงกดดันและพลังของทั้งคู่ สำหรับอินทรีทะลวงสวรรค์นั้น แม้ว่ามันจะแข็งแกร่งมาก แต่สายเลือดของมันก็ไม่สามารถนำมาเทียบได้กับสัตว์อสูรที่มีพลังระดับราชาพันปี
“อ่อนแอเกินไป พวกแกมันอ่อนแอกว่าเจ้านั้นอีก”
เป่ยเฟิงต่อสู้กับทั้ง 5 คนโดยไม่ต้องใช้พลังวิญญาณใด ๆ เขาอาศัยแค่เลือดฉีและความเร็วของเขาก็สามารถสู้กับอีกฝ่ายได้สบาย ๆ !
พวกเขาเหล่านี้สงสัยมาก เพราะพวกเขาแทบจะรับการโจมตีจากเป่ยเฟิงเลยไม่ได้ซักครั้ง !
แม้ว่าพวกเขาจะมีพลังระดับราชาพันปีกันทุกคน แต่พวกเขาก็ไม่สามารถกดดันเป่ยเฟิงได้แม้แต่น้อย
“หากพวกเราต้องตาย งั้นพวกเราจะลากแกไปตายด้วย !”
ยักษ์ตัวสูงที่ดูน่าเกลียดกล่าวขึ้น ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้อ่อนแอแม้แต่น้อย มีเพียงไม่กี่คนที่มีพลังระดับราชาพันปีเช่นเดียวกับเขาที่จะเทียบกับเขาได้ !
นั่นเป็นเพราะเขาเป็นผู้ฝึกฝนทางด้านกายา !
มันไม่ใช่ความจริงไปซะทั้งหมดที่คนเราไม่สามารถกลับมาฝึกฝนได้เหมือนดั้งเดิมหลังจากหลอมรวมเลือดฉีไปได้แล้ว แต่ที่คนส่วนใหญ่เชื่อแบบนั้นเพราะว่าหลังจากหลอมรวมเลือดฉีได้แล้วพวกเขาจะมุ่งเน้นไปที่การกลั่นเลือดฉีของพวกเขาและมันจะจบลงที่การบำรุงและเสริมสร้างร่างกายของพวกเขาให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น สิ่งเดียวที่พวกเขาจะสูญเสียไปก็คือความแข็งแกร่งทางกายภาพแบบดั้งเดิมที่ได้จากการฝึกฝนหากเทียบกับผู้มีกายาบริสุทธิ์ที่มีระดับราชาพันปี !
“แกร๊ก !”
ร่างกายของเป่ยเฟิงเปล่งเสียงที่น่ากลัวในขณะที่เขาขยับแขนขา
จากนั้นเขาก็ต่อยออกไป และในไม่ช้ามังกรตัวหนึ่งก็ปรากฎออกมาจากหมัดกระแทกเข้ากับกำปั้นของยักษ์ตัวนั้น !
เมื่อหมัดทั้งคู่ปะทะกัน มันทำให้ร่างกายของเป่ยเฟิงสั่นไปชั่วครู่ จากนั้นกล้ามเนื้อของยักษ์ตัวนั้นก็ฉีกขาดสะบั้นพร้อมกับเส้นเลือดจำนวนมากที่ระเบิดออก !
“วิชาวิญญาณที่สับสน !”
แรงกดดันของเป่ยเฟิงเพิ่มขึ้นราวกับไร้ขีดจำกัด จากนั้นแสงสีขาวเงินก็พุ่งออกมาจากหัวของเขาปะทะกับยักษ์ตัวเล็ก !
ความเร็วของแสงมันเร็วเกินกว่าที่ยักษ์จะรู้สึกตัวทัน แต่ถึงเขาจะรับรู้ว่ามันกำลังพุ่งเข้ามาแต่เขาก็ไม่สามารถหลบได้อยู่ดี !
“อ๊าก !”
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ดวงตาของเขากลิ้งพลิกอีกด้านพร้อมกับตัวเขาที่ทรุดตัวลงกับพื้น
เป่ยเฟิงใช้พลังจิตที่น่าสะพรึงกลัวของเขาโจมตีจิตวิญญาณของอีกฝ่ายโดยตรง !
ในทันทีที่พลังจิตของเขาทำลายพลังจิตของอีกฝ่ายได้ มันก็ได้ทำลายพลังวิญญาณของเขาไปด้วยเช่นกัน !
อาจกล่าวได้ว่าพลังจิตคืออาวุธ ในขณะที่วิญญาณคือที่หลอมอาวุธ !
การมีวิญญาณที่แข็งแกร่งไม่ได้หมายความว่าพลังจิตจะทรงพลัง เช่นเดียวกันกับความสามารถอื่น ๆ
มีเพียงพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถใช้พลังจิตให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ในขณะเดียวกัน การมีพลังจิตที่แข็งแกร่งก็สามารถทำลายพลังวิญญาณได้ดีกว่าอาวุธจากภายนอกเสียด้วยซ้ำ !
แม้ว่ายักษ์ตัวนี้จะมีพลังระดับราชาพันปี แต่พลังจิตของเขาจะมาเทียบกับเป่ยเฟิงได้อย่างไร หากต้องเผชิญหน้ากับเป่ยเฟิง เขาต้องมีพลังจิตที่แข็งแกร่งพอสมควร เพราะพลังจิตของเป่ยเฟิงมันน่าสะพรึงกลัวราวกับเป็นใบมีดที่คมกริบ !
‘พลังจิตของข้ามันมาถึงระดับที่ส่งผลต่อความเป็นจริงได้แล้ว ในบรรดาผู้มีพลังระดับราชาพันปี มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีพลังจิตแข็งแกร่งพอจะต้านทานข้าได้ แต่ถึงอย่างนั้นการใช้พลังจิตโจมตีคนอื่นมันก็ทำให้ข้าเหนื่อยไม่น้อย’
‘ไม่เพียงแค่นั้น หากข้าประมาทคู่ต่อสู้เกินไป มันจะทำให้เกิดผลสะท้อนกลับซึ้งมันอันตรายกว่าที่ใช้ออกไปเสียด้วยซ้ำ !’
เป่ยเฟิงเห็นว่าพลังจิตของเขาลดไปถึง 1 ใน 3 มันทำให้เขาค่อนข้างตกใจไม่น้อย
‘การทำลายพลังวิญญาณของอีกฝ่ายที่มีพลังพอ ๆ กับตัวเองมันควรจะใช้ความระมัดระวัง ดูเหมือนต้องมีพลังจิตสูงกว่าอีกฝ่ายไม่น้อยกว่า 3 เท่าถึงจะทำได้’
เป่ยเฟิงตัดสินใจว่าเขาจะให้การโจมตีนี้เป็นทางเลือกสุดท้ายเท่านั้น ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นปัญหากับเขาได้หากอีกฝ่ายมีพลังจิตที่แข็งแกร่งเกินกว่าที่เขาจะคาดคิดไว้ ผลสะท้อนกลับนั้นมันน่ากลัวมากหากเขาโดนขึ้นมา
“ได้เวลาจบแล้ว” เป่ยเฟิงพึมพำก่อนจะขยับตัว ในไม่ช้าความเร็วของเขาก็เกินกว่าความเร็วเสียง !
ทันใดนั้นท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยฝ่ามือ มันพุ่งลงมาทำให้ทั้งสี่ยากจะขยับตัวไหว พวกเขาทำได้เพียงดิ้นรนด้วยความสิ้นหวัง
ความคิดของทั้งสี่ในตอนนี้คืออยากจะถอยหนีไป แม้ว่าพี่ใหญ่ของพวกเขาจะปฏิบัติกับพวกเขามาเป็นอย่างดี แต่อีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป พวกเขาไม่เห็นความหวังแห่งชัยชนะใด ๆ เลยด้วยซ้ำ !
แทนที่จะตายที่นี่เหมือนคนโง่ พวกเขาควรจะหนีไปแล้วค่อยกลับมาแก้แค้นอีกครั้งเมื่อพวกเขามีพลังมากกว่านี้ !
หากพี่ใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ เขาน่าจะเห็นด้วยอยู่แล้ว จริงไหม ?
ทั้งสี่คนมองหน้ากัน พวกเขารู้แล้วว่าตอนนี้พวกเขาควรจะทำอะไร
แน่นอนว่าเป่ยเฟิงรู้ว่าทั้งสี่ต้องการหนี แต่ในเมื่อเขาโจมตีออกไปแล้ว มันมีโอกาสที่่อีกฝ่ายจะร้องขอความเมตตากับเขาด้วยงั้นหรือ ?
ศัตรูต้องถูกฆ่า มีเพียงศัตรูที่ถูกฆ่าไปแล้วเท่านั้นถึงจะถือว่าเป็นเรื่องดี !
เป่ยเฟิงไม่ต้องการทิ้งปัญหาใด ๆ ที่สามารถเป็นปัญหาในอนาคตไว้
ท้ายที่สุดแล้วมันมีอะไรอีกหลายอย่างที่เขาไม่รู้จักมากมายในโลกใบนี้ ไม่มีอะไรรับประกันเขาได้ว่าศัตรูของเขาจะปล่อยเขาไปหากว่าต้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายในจังหวะสวรรค์บรรดาลในอนาคต *
*สวรรค์บรรดาล = เหตุการณ์ร้ายแรงที่ไม่สมควรเกิดขึ้น / เหตุการณ์ดี ๆ ที่ไม่สมควรเกิดขึ้น