บทที่ 125 อดีตของนางเจียง (2)
เจียงไห่คอยสังเกตการณ์อยู่ตลอด เมื่อเห็นว่าอวี๋หวั่นแยกออกไปแล้ว จึงรุดเข้าไปขวางหน้ารถม้า มองอวี้จื่อกุยด้วยสายตาดุดัน
อวี้จื่อกุยรู้อยู่เต็มอกว่าวันนี้เขาคงไม่ได้ราชันสัตว์พิษคืนอย่างแน่นอน จึงมองไปยังรถม้าที่ปิดม่านไว้ “เจ้านำสิ่งที่ข้าพูดไปทบทวนให้ดี รีบโยนสิ่งที่ตนไม่อาจครอบครองได้ทิ้งไปแต่เนิ่นๆ ย่อมดีกว่า!”
อวี้จื่อกุยจากไปแล้ว
เจียงไห่ยังคงหยุดอยู่ที่เดิม รอให้อวี๋หวั่นถาม
บ่าวที่ซื้อมาจากหอซือเยวี่ยกลับมีวิทยายุทธ์ล้ำเลิศเพียงนี้ เป็นใครก็ต้องเกิดความสงสัย
อย่างไรก็ดี สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คืออวี๋หวั่นไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ให้เขาไปพาเจียงเสี่ยวอู่กลับมา ประเดี๋ยวจะต้องไปสำนักบัณฑิตต่อ
เจียงไห่มองไปยังม่านของรถม้าด้วยความประหลาดใจ
อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบร้อน “เมื่อครู่เจ้าใช้พลังทั้งหมดหรือไม่?”
เจียงไห่ชะงักไป แล้วรีบตอบว่า “ไม่ขอรับ ใช้วิทยายุทธ์ไปเพียงสามส่วน”
อวี้จื่อกุยกลับใช้พลังไปเจ็ดส่วน เมื่อครู่ที่เห็นว่าทั้งสองฝีมือสูสีกัน ก็เห็นได้ชัดว่าแท้จริงแล้ววิทยายุทธ์ของเจียงไห่เหนือกว่าอวี้จื่อกุยมาก ยอดฝีมือเช่นนี้ ขายตัวเองที่หอซือเยวี่ยมาเป็นแรงงาน ใช้คนได้ไม่เหมาะกับงานจริงๆ
“ฮูหยินน้อย…” ขณะที่เจียงไห่เอ่ยปากพูดบางอย่าง อวี๋หวั่นก็พูดขึ้นว่า “ข้าไม่สนอดีตของเจ้า ข้าสนแค่ว่าเจ้าซื่อสัตย์ต่อข้าหรือไม่”
“เจียงไห่ซื่อสัตย์” เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจียงไห่สาบานว่าจะภักดีต่อฮูหยิน”
เขาพูดว่า ‘ฮูหยิน’ ไม่ใช่ ‘ฮูหยินน้อย’ ต่างกันเพียงคำเดียว แต่ความหมายต่างกันราวฟ้ากับดิน
……
หลังจากที่อวี๋หวั่นนำขนมอิงเถากรอบหนึ่งจานและอิงเถาอีกหนึ่งตะกร้าไปส่งให้ถึงมืออวี๋ซง เธอก็กลับจวน
อวี๋หวั่นไปยังห้องหนังสือเพื่อบอกกับเยี่ยนจิ่วเฉาว่าเธอพบกับอวี้จื่อกุย อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วก็อยู่ตรงนั้นด้วย
เธอมองสีหน้าพวกเขาอย่างพินิจพิจารณา “เดี๋ยวนะ พวกท่านก็รู้หรือว่ามันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรหนานจ้าว?” งั้นก็หมายความว่าอวี้จื่อกุยไม่ได้โกหกจริงๆ
รู้สิ เอ๊ะ…เจ้าไม่รู้หรือ? อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันมองอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นรู้แล้วว่าตนครอบครองราชันสัตว์พิษ พวกเขาก็ยังคิดเสียอีกว่านางรู้มากกว่าพวกเขา
อวี๋หวั่นกุมขมับ ดูๆๆๆ ที่ข้อมูลคาดเคลื่อนก็เพราะอย่างนี้แหละ
ไม่ทันระวังก็ได้ของขวัญชิ้นใหญ่มาอยู่ในมือ เธอไม่รู้ว่าควรพูดว่าอย่างไรดี ส่วนเรื่องของราชทูตจากหนานจ้าว อวี๋หวั่นไม่ได้ใส่ใจเท่าไร ขอเพียงอวี้จื่อกุยไม่พูดออกไป ใครจะรู้ว่าราชันสัตว์พิษอยู่ที่เธอ?
อวี๋หวั่นกลับห้องไป
ทั้งสามคนในห้องหนังสือจึงเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมา
อิ่งลิ่วตกตะลึงจนอ้าปากค้าง “คุณชาย…ถ้าสิ่งที่อวี้จื่อกุยพูดไม่ผิด สิ่งศักดิ์สิทธิ์คือสินสอดที่เผ่าปีศาจมอบให้ตี้จีองค์โต เช่นนั้น…เจ้าสาวจากเผ่าปีศาจที่หนีงานแต่งมาไม่ใช่…ฮูหยินนางเป็น…ไอ้หยานี่มัน…”
“ใช่ๆๆ ใช่แล้ว!” อิ่งสือซันรู้ว่าอิ่งลิ่วจะพูดอะไร จึงรีบตอบเขาทันที
อิ่งลิ่วรู้สึกราวกับตนจะเป็นลมล้มพับไป ทำหน้าที่สืบข่าวมาหลายปี แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเจอเรื่องที่น่าตกใจเท่านี้มาก่อน เขา…เขาไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ
ปลายนิ้วของเยี่ยนจิ่วเฉาเคาะโต๊ะเบาๆ หนานจ้าวยอมใช้พระธิดาคนหนึ่งแลกเพื่อให้ได้มันมา แต่ของนั้นกลับจับพลัดจับผลูมาอยู่ที่อวี๋หวั่น ไม่รู้ว่าควรเรียกว่าเป็นความบังเอิญ…หรือบัญชาสวรรค์
“ราชทูตของอาณาจักรหนานจ้าวมีใครบ้าง?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
อิ่งลิ่วตอบ “ได้ยินว่ามีราชเลขาธิการของหนานจ้าว พาฮูหยินมาด้วย ราชทูตที่เหลือยังไม่ได้ข่าวมาขอรับ”
“ไปสืบมา” เยี่ยนจิ่วเฉาสั่ง
“ขอรับ” อิ่งลิ่วตอบ
เยี่ยนจิ่วเฉานั่งอยู่ในห้องหนังสืออีกสักพัก เพื่อขบคิดเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้รับมา กว่าจะกลับถึงห้องก็มืดแล้ว อวี๋หวั่นรอกินข้าว สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปกับโต๊ะ
เยี่ยนจิ่วเฉาดันเก้าอี้ติดล้อของเขาไป เขาคิดว่าจะอุ้มอวี๋หวั่นไปนอนบนเตียง แต่เมื่อเข้าจับขาของเธอ ก็พบว่าเธอเหงื่อโทรมกาย เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนหน้าผาก คิ้วขมวดแน่น
ไม่สบายหรือ หรือว่า…
เยี่ยนจิ่วเฉาโอบอวี๋หวั่นเอาไว้ มือยื่นออกไปแตะหน้าผาก อวี๋หวั่นตัวสั่น ทันใดนั้นเองก็ลืมตาขึ้น
อวี๋หวั่นหอบเอาอากาศเข้าปอด ในดวงตายังคงหลงเหลือความตื่นตระหนกและหวาดกลัว เมื่อเห็นว่าตนอยู่ในอ้อมแขนของเยี่ยนจิ่วเฉา สีหน้าก็ผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
“ฝันร้ายหรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
อวี๋หวั่นพยักหน้า
เยี่ยนจิ่วเฉาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้เธอ “ได้ยินว่าคณะทูตจากหนานจ้าวจะมา กลัวเลยหรือ?”
อวี๋หวั่นส่ายหน้า เธอฝันร้ายถึงอีกเรื่องหนึ่ง
“ฝันถึงอะไรหรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยถามเสียงเบา
อวี๋หวั่นยังคงตื่นตระหนกกับความฝัน ไม่ทันสังเกตว่าเสียงของเยี่ยนจิ่วเฉาอ่อนโยนกว่าแต่ก่อนมาก แต่เธอก็สัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของเยี่ยนจิ่วเฉาคล้ายกับปลอบประโลมให้จิตใจของเธอสงบขึ้น
“เยี่ยนจิ่วเฉา” อวี๋หวั่นนั่งอยู่ในอ้อมอกของเยี่ยนจิ่วเฉา เธอพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ข้าฝันว่าพวกท่านจากข้าไป ตอนแรกก็เป็นท่าน หลังจากนั้นก็เป็นต้าเป่า เอ้อร์เป่า แล้วก็เสี่ยวเป่า”
เธอจำความฝันของตนแทบไม่ได้ จำได้เพียงเขานั่งอยู่บนเรือลำหนึ่งซึ่งแล่นออกสู่ทะเล จากนั้นก็ไม่กลับมาอีก
สามพี่น้องก็เติบโตขึ้น พวกเขามองไม่เห็นเธอ ไม่ได้ยินที่เธอพูด พวกเขาจากไปพร้อมกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง
เยี่ยนจิ่วเฉาจึงบอกว่า “สมองของเจ้าคิดมากเรื่องอะไรกัน?”
อวี๋หวั่นก้มหน้าแล้วจับนิ้วเรียวของเขา “ข้าไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย”
เธอมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรหนานจ้าวไว้ในครอบครอง ฝันถึงตนเองวิ่งหนีเอาชีวิตรอดถึงจะเหมาะ ใครจะไปรู้ว่าเธอฝันว่าสี่พ่อลูกจากเธอไปได้อย่างไร? หรือว่าลึกๆ แล้วในใจของเธอคิดไม่ตกเรื่องที่พวกเขาไม่ยอมกินขนมที่เธอทำ?
“แล้วขนมอิงเถากรอบของเจ้าอยู่ที่ใด?” เยี่ยนจิ่วเฉาไม่เห็นขนมอยู่บนโต๊ะ
อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว “เอาไปให้พี่รองของข้ากินแล้ว”
เยี่ยนจิ่วเฉาหน้าบูดบึ้ง
อวี๋หวั่นยังคงเล่นกับนิ้วมือของเขาต่อไป “ก็ท่านกินอิ่มแล้ว ข้าเอาไปให้พี่รองไม่เห็นเป็นไรนี่?”
เถาเอ๋อร์เดินถือกลีบดอกไม้ที่เพิ่งเด็ดมา ขณะที่ก้าวข้ามธรณีประตูก็เห็นคุณชายนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนฮูหยินบ้านตนนั่งอยู่ในอ้อมกอดของเขา แม้จะเห็นเพียงด้านหลัง แต่ก็ทำให้เถาเอ๋อร์รู้สึกเขินจนตัวบิด
เถาเอ๋อร์รีบปิดตาแล้วเดินออกมา ทั้งยังไม่ลืมที่จะปิดประตูให้ทั้งสองด้วย
เถาเออร์เดินออกมา เมื่อเลี้ยวตรงระเบียงทางเดินก็พบกับซูมู่
“ท่านพี่ซู” เถาเอ๋อร์ดึงนางไว้ “ท่าน…ท่านอย่าเพิ่งไป”
“มีอะไรหรือ?” ซูมู่ถามอย่างไม่เข้าใจ
เถาเอ๋อร์มีสีหน้าลำบากใจ “คุณชาย…กับฮูหยิน…เอ่อ…สรุปแล้วอย่าเพิ่งไปจะดีกว่า…รอให้พวกเขาเรียกน้ำร้อนก่อนค่อยว่ากัน…”
ห้องของพวกนางอยู่อีกฝั่งของห้องด้านหน้า หากจะกลับห้องก็ย่อมต้องผ่านห้องของอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉา เถาเอ๋อร์เป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์ จึงปิดประตูให้ฮูหยินเรียบร้อยแล้ว
ซูมู่จ้องไปยังห้องด้านหน้า ทันใดนั้นนางก็เดินตรงไปยังลานบ้าน
……
ในห้อง ดวงตาของทั้งสองมีเพียงกันและกัน
ทันใดนั้นเอง ด้านนอกประตูก็มีเสียงเตาะแตะๆ ตามมาด้วยเสียงดัง ‘ปึง’ มีคนทุบประตูห้องของทั้งคู่
“อื้อๆๆๆๆ!”
เป็นเสี่ยวเป่าที่ใช้มือเล็กๆ เคาะประตู แถมยังส่งเสียงจากจมูกด้วย
ไม่นาน ต้าเป่าและเอ้อร์เป่าก็ตามมา
ทั้งสามอยากเข้ามาในห้อง แต่ประตูปิดอยู่ อีกทั้งพวกเขายังพูดไม่ได้ จึงกระวนกระวายจนจะร้องไห้แล้ว
“คุณชายน้อย คุณชายน้อย!”
แม่นมวิ่งกระหืดกระหอบตามมา หมายจะอุ้มเด็กน้อยทั้งสามคนไป พวกเขากลับไม่ยอม และร้องไห้ออกมา!
อวี๋หวั่นกุมขมับ
บัดนี้เยี่ยนจิ่วเฉารู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ส่งลูกลิงทั้งสามไปหาซั่งกวนเยี่ยนให้รู้แล้วรู้รอด
อวี๋หวั่นทำได้เพียงจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วไปเปิดประตูให้พวกเขาเข้ามา
ทั้งสามโผเข้าหาอ้อมอกของอวี๋หวั่น ดวงตาโตมีน้ำตารื้น
“…เล่นสนุกกันอยู่ ทำไมอยู่ๆ ก็จะหาท่านพ่อกับท่านแม่กันนะ” นางหลี่ซึ่งเป็นแม่นมอธิบายจากด้านนอกห้อง
“เข้าใจแล้ว พวกท่านไปก่อนเถิด” อวี๋หวั่นจูงเด็กน้อยทั้งสามเข้ามาในห้อง
ทั้งสองถูกขัดจังหวะ ก็ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก จึงคิดว่าจะรอให้เด็กๆ หลับแล้วค่อยจัดการต่อ แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาไปกินอะไรมา กระโดดโลดเต้นไปมาในห้องไม่หยุด จนอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉาหลับไปแล้ว พวกเขาก็ยังมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือ
…………………………………………..