บทที่ 128 ซูมู่
Ink Stone_Romance
หลังแยกจากซูมู่ จื่อซูก็กลับห้องไป
ปั้นซย่าเพิ่งจะปูเตียงให้จื่อซูเสร็จ เมื่อเห็นนางรีบกลับห้องมาจึงถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง? ซูมู่รับปิ่นของเจ้าหรือไม่?”
จื่อซูส่ายหน้า
ปั่นซย่ามิได้รู้สึกแปลกใจ “ข้าบอกแล้วนี่ นางไม่รับปิ่นของเจ้าหรอก นางไม่ใช่คนอย่างนั้น! จะว่าไป แม่นางซูช่างเป็นคนดีเหลือเกิน! ทั้งมีความสามารถ ทั้งจิตใจดี แม้แต่คุณชายน้อยทั้งสามยังชอบนาง! หากรู้จักนางเร็วกว่านี้ก็คงดี ตอนนั้นพวกเราน่าจะอยู่ห้องเดียวกับนาง ให้ฝูหลิงไปอยู่กับเถาเอ๋อร์และหลีเอ๋อร์”
จื่อซูก็รู้สึกเช่นกันว่าซูมู่คงจะเป็นคนดีจริงๆ ก่อนหน้านี้ตนเข้าใจนางผิดไป คงเป็นนางที่ระแวง กังวลว่านางจะใช้คุณชายน้อยมาเป็นเครื่องมือเพื่อปีนข้ามหน้าข้ามตาตน แต่วันนี้นางกลับช่วยเหลือตนไว้โดยมิได้หยุดคิดด้วยซ้ำ…
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในสมองของจื่อซูยังคงมีใบหน้าไร้ความรู้สึกของซูมู่ลอยอยู่
ใบหน้าของซูมู่ในตอนนั้น มืดมนเสียจนน่ากลัว
…………….
ลุงวั่นเข้าวังมาตั้งแต่วัยเยาว์ อาศัยอยู่ในเมืองหลวงมาร่วมยี่สิบปี แล้วจึงย้ายตามเยี่ยนอ๋องไปสร้างจวนที่เมืองเยี่ยน หลังจากนั้นก็ลงหลักปักฐานที่เมืองเยี่ยน เมืองเยี่ยนดีไปเสียทุกอย่าง เพียงแต่ติดทะเล อากาศค่อนข้างชื้น ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ลุงวั่นเริ่มมีปัญหาสุขภาพ ทุกครั้งที่ฟ้ามืดฝนตก หัวเข่าของเขาจะต้องเจ็บแปลบขึ้นมา
“ฝนจะตกอีกแล้ว” ลุงวั่นลากเข่าอันปวดเมื่อยกลับห้องไป
“เฉวียนจื่อน้อย!”
ลุงวั่นหาเก้าอี้มานั่ง แล้วรินชาให้ตนเองถ้วยหนึ่ง
ขันทีน้อยซึ่งฉลาดเฉลียวคนหนึ่งเดินเข้ามา ขันทีน้อยผู้นี้รับใช้อยู่ในจวนเยี่ยนอ๋อง เดินทางเข้ามายังเมืองหลวงพร้อมกับเจ้านาย หลังจากที่จวนคุณชายมีนายหญิง บ่าวชายและเหล่าองครักษ์ก็ถูกโยกย้ายออกไปส่วนนอก เหลือเพียงเฉวียนจื่อน้อยเพียงคนเดียว
“พ่อบ้านวั่น ท่านเสร็จธุระแล้วหรือ? หิวหรือไม่? ข้าน้อยให้ห้องครัวเก็บอาหารเอาไว้ กำลังจะไปยกมาให้ท่าน!” เฉวียนจื่อน้อยพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ไม่ต้องรีบร้อน ข้าไม่หิว” ลุงวั่นโบกมือ “เจ้าไปยกน้ำร้อนเถิด”
เฉวียนจื่อน้อยมองลุงวั่นลูบหัวเข่า จึงเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ท่านเจ็บขาอีกแล้วหรือ?”
“ไม่เจ็บมานานแล้ว” เมืองหลวงอากาศแห้ง เขามาอยู่หลายเดือน รู้สึกเจ็บเพียงไม่กี่ครั้ง อาการดีกว่าที่เมืองเยี่ยนมาก “อากาศจะเปลี่ยนแล้ว เจ้ารีบไปเถอะ เบาเสียงสักหน่อย คุณชายน้อยหลับแล้ว อย่าทำให้พวกเขาตื่น”
“ขอรับ!” เฉวียนจื่อน้อยถือถังไม้ไปตักน้ำในห้องครัว เดินไปได้ครึ่งทาง ก็เห็นซูมู่ถือตะกร้าใส่อิงเถาเดินไปยังห้องครัวเช่นกัน
อ่านนิยาย
หากกล่าวถึงคุณสมบัติ ซูมู่ไหนเลยจะเทียบเฉวียนจื่อน้อยที่คร่ำหวอดในจวนเยี่ยนอ๋องอยู่หลายปีได้ แต่ใครให้ซูมู่ไปเข้าตาคุณชายน้อยกันเล่า เฉวียนจื่อน้อยจึงใส่ชื่อของซูมู่ไว้ในรายชื่อผู้ที่ไม่อาจล่วงเกิน
เฉวียนจื่อน้อยยิ้มร่า พร้อมกับเอ่ยทักทาย “ท่านพี่ซู บังเอิญนัก ท่านก็จะไปห้องครัวเล็กหรือ?”
ซูมู่พยักหน้าน้อยๆ “ข้าจะไปทำน้ำอิงเถาสักหน่อย เจ้าจะไปตักน้ำร้อนหรือ?”
สายตาของซูมู่ไปหยุดที่ถังไม้ที่เขาถืออยู่
เฉวียนจื่อน้อยถอนหายใจ “โรคเก่าของพ่อบ้านวั่นกำเริบอีกแล้วน่ะสิ ข้าจะตักน้ำร้อนไปให้เขาแช่เท้า”
“งั้นเจ้าก็ไปเถิด” ซูมู่บอกเขา
“พ่อบ้านวั่นรอนาน ท่านพี่ซูข้าขอตัวก่อน!” เฉวียนจื่อน้อยหัวเราะ แล้วถือถังน้ำเดินตัวปลิวไป
ลุงวั่นไม่ได้ให้เฉวียนจื่อน้อยคอยรับใช้ เฉวียนจื่อน้อยจึงออกไปก่อน เขาแช่เท้าลงในถังไม้ บิดผ้าฝ้ายร้อน แต่สุดท้ายก็เป็นเพราะอายุมาก แช่น้ำร้อนก็ช่วยไม่ได้มาก ยังคงปวดอยู่ดังเดิม
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตู
“ใครกัน?” ลุงวั่นถาม
“ข้าเอง ซูมู่”
“จะ…เจ้ารอประเดี๋ยว!” ลุงวั่นยกขาขึ้น เดิมทีก็เจ็บอยู่แล้ว เมื่อขยับก็ยิ่งเจ็บยิ่งกว่าเดิม
เขาปล่อยขากางเกงลง สวมรองเท้า นำถังไม้ไปไว้ข้างห้อง จากนั้นจึงเดินไปเปิดประตูให้ซูมู่
“ดึกป่านนี้ เจ้ามาหาข้า มีเรื่องอันใดหรือ?” ลุงวั่นถามด้วยความแปลกใจ
ฟ้ามืดแล้ว บ่าวที่ไม่จำเป็นต้องทำงานกะดึกล้วนเข้านอนแล้ว
ซูมู่ส่งถุงผ้าขนาดประมาณฝ่ามือให้กับลุงวั่น “ได้ยินเฉวียนจื่อบอกว่าท่านปวดขา ท่านลองสิ่งนี้สักหน่อย”
“นี่คือ…” ลุงวั่นชะงักไป
ซูมู่ตอบว่า “เป็นยาตำรับพื้นบ้านของบ้านเกิดข้า มีเกลือก้อน ขิงแผ่นและต้นหอม คนสูงอายุที่หมู่บ้านข้าล้วนแต่ใช้เวลาปวดขา ใช้แล้วจะหายปวด”
ลุงวั่นรับมาอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หัวเข่าของเขาปวดมาไม่รู้กี่ปี เอาของไม่กี่อย่างนี้มารักษาขาเขาให้หายคงจะง่ายไปหน่อยกระมัง แต่น้ำใจของผู้อื่น ลุงวั่นย่อมต้องกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณมาก”
“ข้าขอตัวก่อน” ซูมู่เดินจากไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ลุงวั่นชะงักไป เขาคิดไปเองหรืออย่างไร เมื่อครู่รู้สึกประหนึ่งคนที่ตนพูดด้วยไม่ใช่ซูมู่ หากแต่เป็นฮูหยินน้อย
ก็เห็นอยู่ว่าหน้าตาไม่เหมือนกัน แต่ท่าทางเยือกเย็นพูดน้อยนี้ อย่างกับเป็นเงาของฮูหยินอย่างไรอย่างนั้น
บางทีนี่อาจเป็นโชคชะตา คุณชายน้อยถึงรู้สึกสนิทสนมกับนาง
ลุงวั่นอดไม่ได้ที่จะนึกถึงประวัติของซูมู่ จากที่ได้สนทนากับพ่อบ้านหู ซูมู่เป็นคนเมืองหวั่น บิดามารดาจากไปเร็ว ท่านปู่เป็นคนเลี้ยงนางมา อายุสิบสามปีท่านปู่ก็จากไป นางถูกท่านป้าทิ้งเอาไว้ในชนบท หลังจากนั้นไม่กี่ปี ครอบครัวของป้านางก็สิ้นเนื้อประดาตัว จึงขายนางให้พ่อค้าคนกลาง พวกเขาพานางมายังเมืองหลวง และขายให้หอซือเยวี่ย
“เป็นเด็กจากครอบครัวยากจนเช่นกัน” ลุงวั่นรำพึงรำพัน
เพียงแต่น่าเสียดายที่ต่างคนต่างชะตา แม้จะเป็นเด็กจากชนบทเหมือนกัน แต่ซูมู่ไม่ได้โชคดีอย่างฮูหยินน้อย ที่ได้สามีอย่างคุณชาย และมีลูกอย่างคุณชายน้อยทั้งสาม
“เป็นเด็กดีเช่นนี้ น่าเสียดาย” ลุงวั่นส่ายหน้า เดินกะโผลกกะเผลกกลับไปยังเตียงนอน เปิดถุงผ้าออก เป็นไปดังที่ซูมู่บอก ในถุงเป็นเกลือก้อน ต้นหอมและขิงแผ่น น่าจะเพิ่งขึ้นจากหม้อเพราะยังร้อนอยู่ ลุงวั่นแปะมันลงบนหัวเข่า
เขาไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากมาย เขายังคิดเพียงว่ามันคือถุงประคบร้อน ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อ เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น หัวเข่าของเขาไม่เจ็บเหมือนเดิมแล้ว
……………..
ในห้องหลัก อวี๋หวั่นคอยเฝ้าเด็กน้อยทั้งสามซึ่งกำลังหลับสบาย ฟ้ามืดแล้ว เยี่ยนจิ่วเฉาและอิ่งสือซันยังไม่กลับมา วันนี้เห็นทีคงไม่ได้พาลูกๆ กลับหมู่บ้าน ก็ดี เพราะเธอก็ไม่ค่อยอยากให้ลูกไปไหน
ตอนกลางวันอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย เธอไม่อาจคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ตอนนี้อยู่เงียบๆ คนเดียว เธอจำต้องยอมรับว่ารู้สึกน้อยใจ แต่คิดไปคิดมาก็คงเป็นเรื่องปกติ ก็ช่วงนี้เธอยุ่งเสียจนปล่อยพวกเขาทิ้งไว้ พวกเขารู้สึกเหงา บังเอิญมีซูมู่ที่สามารถทำให้พวกเขามีความสุขได้ พวกเขาจึงรู้สึกสนิทกับนาง
คลิก
เพียงแต่ซูมู่คนนี้…มักทำให้อวี๋หวั่นรู้สึกอึดอัดอยู่เสมอ
เป็นเพราะว่าเธออิจฉาหรือ?
แต่ทำไมเธอต้องอิจฉาสาวใช้ด้วยละ?
ที่จริงเรื่องนี้ไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไร
“ฮูหยิน” เถาเอ๋อร์เข้ามาในห้อง “ท่านพี่จื่อซูเสียขวัญเพราะเพิ่งตกน้ำ วันนี้เกรงว่าจะมานอนเฝ้าไม่ได้เจ้าค่ะ”
“นางตกน้ำได้อย่างไร?” อวี๋หวั่นถาม
เถาเอ๋อร์ตอบ “นางจะเดินไปที่พักของฝางมามา ขณะที่เดินผ่านสระน้ำนางก็ลื่น จากนั้นก็ตกลงไปในสระน้ำ ตอนนั้นซูมู่และปั้นซย่าอยู่ใกล้ๆ พวกนางได้ยินจึงเข้ามาช่วยเจ้าค่ะ”
อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว เป็นซูมู่อีกแล้ว ทำไมที่ไหนๆ ก็มีแต่นาง?
“เจ้าไปเรียกซูมู่มา”
“เจ้าค่ะ”
เถาเอ๋อร์เรียกซูมู่มายังห้องของอวี๋หวั่น
“เจ้าออกไปก่อน” อวี๋หวั่นบอกเถาเอ๋อร์
เถาเอ๋อร์ถอยออกไปอย่างรู้งาน ในห้องจึงเหลือเพียงอวี๋หวั่น ซูมู่ และเด็กน้อยทั้งสามซึ่งกำลังหลับสบาย
ซูมู่ยืนด้วยสีหน้าแน่วแน่อยู่บนพื้นซึ่งถูกขัดจนเงาวับ อวี๋หวั่นปิดม่านลง แล้วค่อยๆ เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้
“คุกเข่า” อวี๋หวั่นบอก
ซูมู่คุกเข่าลงอย่างว่าง่าย
คนทั่วไปหากถูกเจ้านายลงโทษให้คุกเข่าย่อมต้องปรากฏสีหน้าประหลาดใจ แต่ใบหน้าของนางไม่ปรากฏความประหลาดใจใดๆ ราวกับนางเกิดมาเพื่อเชื่อฟังคำสั่ง ทว่าหากพิจารณาโดยละเอียด จะพบว่านางมิได้มีความรู้สึกแต่อย่างใด
สายตาของอวี๋หวั่นจับจ้องมองนาง “คงรู้ใช่หรือไม่ว่าข้าลงโทษเจ้าทำไม?”
“บ่าวไม่รู้เจ้าค่ะ” ซูมู่ตอบ
อวี๋หวั่นพูดต่อ “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือแสร้งว่าไม่รู้กันแน่?”
“บ่าวไม่รู้เจ้าค่ะ” ซูมู่ตอบ
อวี๋หวั่นพูดอีกครั้ง “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือแสร้งว่าไม่รู้?”
ซูมู่ไม่ตอบ
อวี๋หวั่นจึงพูดต่อ “เจ้าเข้าจวนมาวันแรก ห้องด้านหลังก็ไฟไฟไหม้ เข้าจวนมาวันที่สอง จื่อซูก็ตกน้ำ ทั้งสองครั้งเจ้าล้วนแต่อยู่ในเหตุการณ์ เจ้าเป็นคนพบเห็นและช่วยเอาไว้ทั้งสิ้น เจ้าคิดว่าจะบังเอิญถึงเพียงนี้หรือ?”
ซูมู่เอ่ยขึ้นว่า “บ่าวพบเห็นได้อย่างไรไม่สำคัญ สำคัญที่ฮูหยินคิดว่าอย่างไรเจ้าค่ะ”
อวี๋หวั่นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าหมายความว่าหากข้าไม่เชื่อเจ้า ก็เท่ากับข้ากำลังใส่ร้ายป้ายสีเจ้าอยู่รึ?”
ซูมู่พูดว่า “บ่าวมิกล้า”
อวี๋หวั่นพูดว่า “ข้าว่าเจ้ากล้าเกินไปแล้ว”
ซูมู่ก้มลง จนหน้าผากแนบกับพื้น
ภาษิตโบราณกล่าวไว้ได้ถูกต้อง หากจับชู้ก็ต้องจับให้ได้ทั้งคู่ หากจะจัดการซูมู่ย่อมต้องมีหลักฐาน ซูมู่ช่วยชีวิตบ่าวเอาไว้ตั้งมากมาย ทั้งยังเอาอกเอาใจลูกชายของเธอเช่นนี้ ถ้าเธอลงโทษนางโดยไร้เหตุผล อย่าว่าแต่คำครหาของผู้คน แต่ยังอาจผิดใจกับลูกๆ ได้
เธอไม่ได้โง่ขนาดนั้น
อีกทั้งเธอยังไม่แน่ใจว่าซูมู่ผิดจริง การกระทำเช่นนี้อาจกลายเป็นการใส่ร้ายคนดีก็ได้
อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ “เจ้าออกไปก่อน ข้าคิดว่าเจ้าเฉลียวฉลาดมือไม้คล่องแคล่ว แม้แต่ชิงช้าเจ้าก็ยังผูกได้ มิสู้พรุ่งนี้เจ้าย้ายไปที่เรือนจู๋เยวี่ยของพี่รองข้า ดูแลแปลงดอกไม้ที่นั่น สองสามวันนี้ไม่ต้องมาที่เรือนชิงเฟิง”
นี่ก็หมายความว่าจะกีดกันซูมู่ออกไป
ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อจับสังเกตซูมู่ หากซูมู่เป็นคนดีจริงๆ นางก็คงจะทำหน้าที่ของตนให้ดีต่อไป
แน่นอนว่าอวี๋หวั่นก็มีความเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง
ลูกๆ ใกล้ชิดกับซูมู่น้อยลง ความรู้สึกก็คงจะจืดจางลงเช่นกัน
ซูมู่ไม่ได้พูดอะไรอีก นางก้มหน้าแล้วเดินออกไป
จื่อซูไม่อาจมานอนเฝ้าได้ ปั้นซย่าต้องอยู่ดูแลนาง เถาเอ๋อร์และหลีเอ๋อร์เข้ากะไปแล้ว จึงเหลือเพียงฝูหลิงและซูมู่
“เรียกฝูหลิงมา” อวี๋หวั่นบอกกับเถาเอ๋อร์
……………..
เยี่ยนจิ่วเฉาให้คนนำความมาบอกว่าเขาและอิ่งสือซันออกจากเมืองหลวงไป วันนี้คงไม่ได้กลับ ให้อวี๋หวั่นเข้านอนแต่หัวค่ำ ไม่ต้องรอเขา
อวี๋หวั่นพยักหน้า เรียกฝูหลิงเข้ามา แล้วให้ฝูหลิงนอนด้านหลังประตู
ฝูหลิงร่างสูงเจ็ดชุ่นประหนึ่งบุรุษ เตียงของสตรีทำให้นางนอนไม่สบายตัว นางจำต้องขดตัว ทำให้นอนไม่หลับทั้งคืน
ตกดึก ทุกคนล้วนแต่เข้าสู่ห้วงนิทรา
ซูมู่ซึ่งนอนข้างเถาเอ๋อร์ลืมตาขึ้นทันใด
…………………………..