หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 140 ชำระมลทิน เรื่องน่ายินดีมาเยือน (1)
สนมที่ฮ่องเต้โปรดปรานผู้นี้แซ่หวัง นางเข้าวังมาเมื่อสามปีก่อน แต่ไหนแต่ไรมาไม่ได้รับความโปรดปราน แต่เพราะนางให้กำเนิดองค์หญิง สถานะของนางจึงขยับขึ้นมาเล็กน้อย ได้รับพระราชทานตำแหน่งให้เป็นเจาเฟย มีอำนาจในวังหลวงเหมือนกับสวี่เสียนเฟย ได้รับความโปรดปรานและความไว้วางใจเหมือนกับหวั่นเจาอี๋ ตำแหน่งเจาเฟยไม่นับว่าโดดเด่น เป็นตำแหน่งซึ่งฮองเฮาทรงคัดเลือกจากเหล่าสนมเพื่อรักษาความโปรดปรานเอาไว้ ก่อนที่จะออกจากตำหนักเฟิ่งชี หนึ่งเดือนเจาเฟยจะได้พบกับฮ่องเต้ห้าครั้ง นั่นเทียบได้กับลี่เฟยในตอนนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้มีความปรารถนาในการเสพสังวาสมากขึ้นครั้นย่างเข้าวัยกลางคน ในสถานการณ์เช่นนี้ เจาเฟยก็ได้รับความโปรดปรานครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ทรงรักและเอ็นดูนางมากเพียงใด
ทว่าเคียงกษัตริย์ดั่งเคียงพยัคฆ์ การถูกฮ่องเต้เลือกอาจเป็นโชคของนาง แต่สิ่งที่ทำให้ฮ่องเต้ถวิลหานางนั้นล้วนมาจากความสามารถของนาง นางทนมาได้ถึงเพียงนี้จึงมีโอกาส นางระวังตัวมากกว่าผู้ใด แต่วินาทีที่นางกรีดร้องออกไปนั้น นางก็รู้ว่าทุกอย่างได้จบสิ้นแล้ว
สิ่งที่นางพยายามมาตลอดหนึ่งเดือนนั้นได้ละลายหายไปกับน้ำเสียแล้ว
ขันทีวังได้ยินเสียงร้อง เขาวิ่งกระวีกระวาดเข้าไป ทันทีที่เข้าไป นางกำนัลซึ่งเข้าเวรกลางคืนในตำหนักล้วนแต่ถูกเสียงกรีดร้องของเจาเฟยทำให้ตกใจกลัว
ทุกคนยืนออกันอยู่ที่เตียง พวกนางเกือบจะกรีดร้องออกมาเช่นกันเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า
เมื่อคืนฮ่องเต้ใช้แรงมากไปสักหน่อย จึงเป็นคนสุดท้ายที่ตื่นนอน กระนั้นก็ไม่ได้ตื่นสายกว่าสักเท่าไร เมื่อลืมตาตื่นขึ้นก็เห็นดวงตาของคนในตำหนักจ้องมองตนด้วยความตะลึงงัน ฮ่องเต้ขมวดคิ้วแล้วตรัสถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
นอกจากขันทีวังแล้ว คนอื่นๆ ต่างคุกเข่าลงกับพื้น เจาเฟยก็หยิบอาภรณ์ขึ้นมาปกปิดร่างกาย แล้วปีนลงจากเตียงมาคุกเข่าด้านล่าง
ฮ่องเต้ตรัสถามด้วยความสงสัย “โหวกเหวกอะไรกันแต่เช้า?”
ทุกคนล้วนแต่ก้มหน้า ไม่มีผู้ใดกล้าปริปากพูด
เป็นขันทีวังที่ต้องเสี่ยงชีวิต ยกนิ้วขึ้นมาชี้อย่างกล้าๆ กลัวๆ
ฮ่องเต้ก้มลงมองดู ขนหน้าอกหายไปแล้ว!
พระองค์สูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่งด้วยความตกใจ จากนั้นก็เลิกผ้าห่มดูและพบว่าขนขาซึ่งกว่าจะงอกขึ้นมาใหม่ได้ ก็หายไปแล้วเช่นกัน! ไม่เพียงเท่านั้น ขนที่เท้าก็หายไปด้วย!
นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น? มารดาผู้ใดทำเช่นนี้!?
จากนั้นจึงเปิดดูใต้กางเกงชั้นในอย่างไม่เต็มใจสักเท่าไร เมื่อเห็นว่านกเขาสวรรค์ไร้ซึ่งขนหลงเหลืออยู่ ก็แทบจะกระอักเลือดออกมา!
ขันทีวังมองตามสายตาของฮ่องเต้ไปก็ถึงกับอ้าปากค้าง เอ…ตรงนั้นเป็นจุดที่เหนือความคาดหมาย…
ทว่านี่ยังไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวที่สุด
ขณะที่ฮ่องเต้กำลังจะโมโหจนใบหน้าบูดบึ้งนั้นเอง ขันทีวังก็หยิบกระจกมา
ทันทีที่ฮ่องเต้เห็นศีรษะโล้นในกระจก ก็ทนมองต่อไปไม่ไหว ลมจับล้มลงไปทันที
ขันทีวังไม่รู้ว่าเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เจาเฟยตกใจกลัวสุดขีด นางร่ำไห้ เนื้อตัวสั่นเทิ้ม “ไม่ใช่ข้า…ไม่ใช่ข้า…ไม่ใช่ข้าจริงๆ…”
ขันทีวังรู้ดีว่าเจาเฟยไม่กล้าทำเช่นนั้นเป็นแน่
…ที่สำคัญก็คือวิธีนี้ โกนขนเสียเกลี้ยงเกลาจนดูประหนึ่งไม่เคยมีขนขึ้นมาก่อน ขันทีวังมองขึ้นฟ้า เฮ้อ ทำได้อย่างไรกัน?
เรื่องนี้ไม่อาจแพร่งพรายสู่ภายนอก ไม่เช่นนั้นฮ่องเต้ทรงต้องขายหน้าประชาชี ขันทีวังสั่งให้ทุกคนเหยียบเรื่องนี้ให้มิด เจาเฟยก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น จากนั้นขันทีวังก็ใช้เหตุผลว่าฮ่องเต้ทรงประชวรเป็นไข้หวัด เพื่อสั่งยกเลิกพระราชกิจในราชสำนัก
ฮ่องเต้คงจะโมโหมาก จนหมดสติไปเสียนาน หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามก็ฟื้นขึ้นมา เมื่อตระหนักได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตนก็ลมจับไปอีกครั้ง เป็นเช่นนี้จนช่วงเย็นจึงจะสามารถมองสภาพของตนซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นปักษาไร้ขนไปเสียแล้ว
“ฝ่าบาท ทรงดื่มชาสักหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีวังส่งชาให้พระองค์ดื่มเพื่อลดไฟโทสะ
ฮ่องเต้ปัดถ้วยชาในมือของเขา “ไปเรียกเด็กเวรนั่นมา!”
ขันทีวังชะงักไปครู่หนึ่ง “หมาย…หมายถึงคุณชายเยี่ยนหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้ระเบิดโทสะ “จะเป็นเด็กเวรที่ไหนได้อีกเล่า?!”
ขันทีวังจึงรุดไปยังจวนคุณชาย อวี๋หวั่นกลับหมู่บ้านไป เยี่ยนจิ่วเฉากำลังจะไปรับเธอที่หมู่บ้านเหลียนฮวา เพิ่งจะเดินออกจากประตูจวน ขันทีวังก็มาหยุดเขาไว้
“คุณชายได้โปรดเข้าวังไปกับข้าน้อยด้วยเถิด”
ขันทีวังไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ฮ่องเต้ไม่ได้เรียกเขาเข้าวังง่ายๆ เยี่ยนจิ่วเฉาคิด ไปกับขันทีวังก่อนดีกว่า
ครั้งนี้ไม่ได้ไปยังห้องทรงพระอักษร แต่พวกเขาเดินไปยังห้องบรรทม
ในห้องบรรทมอบอวลไปด้วยกลิ่นอำพันทะเล เยี่ยนจิ่วเฉาขมวดคิ้ว แม้ว่าอำพันทะเลจะเป็นของดี แต่ก็ไม่ใช่กลิ่นที่เขาชื่นชอบนัก
ฉากกั้นลายทิวทัศน์นั้นวางอยู่หน้าเตียง เมื่อขันทีวังพาเยี่ยนจิ่วเฉาเข้ามาแล้ว จึงออกจากห้องไป
เยี่ยนจิ่วมองไปยังฉากกั้น เลิกคิ้วเล็กน้อย “ฝ่าบาททรงเรียกข้าหรือ?”
ด้านหลังฉากกั้น ฮ่องเต้ซึ่งศีรษะโล้นเงาวับ กำหมัดดังกร็อบ ใบหน้าถมึงทึง
“ฝ่าบาท?” เยี่ยนจิ่งเฉาไม่ทันรอให้ฮ่องเต้ตอบสนอง เขาเลิกคิ้ว แล้วหันหลังกลับไป
ฮ่องเต้โทสะพลุ่งพล่าน “เจ้ามานี่เดี๋ยวนี้!”
“โอ้” เยี่ยนจิ่วเฉาเดินกลับมาอย่างไม่เร่งร้อน เขายืนอยู่ข้างฉากกั้น เมื่อยื่นหน้าเข้าไปมอง ก็เห็นแสงวาววับสวมฉลองพระองค์ของฮ่องเต้นั่งอยู่บนเตียง “เอ…”
“เราเอง!” ฮ่องเต้เดือดดาล
เยี่ยนจิ่วเฉากะพริบตาปริบๆ อย่างไร้เดียงสา “ฝ่าบาทจะออกผนวชหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้คว้าหมอนข้างมือมาเขวี้ยงใส่เยี่ยนจิ่วเฉาเต็มแรง เยี่ยนจิ่วเฉาเอนกายหลบได้ ฮ่องเต้ก็คว้ามาอีก ทว่าครั้งนี้มิได้เขวี้ยงออกไป “เจ้าบอกความจริงเรามาเดี๋ยวนี้! เจ้าเป็นคนทำใช่หรือไม่?!”
ฮ่องเต้ทรงไตร่ตรองดีแล้ว คนที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้ ในใต้หล้านั้นก็เห็นจะมีแต่เด็กเวรผู้นี้เพียงคนเดียว!
โอรสของพระองค์ไม่มีใครกล้าทำอย่างแน่นอน!
ส่วนเรื่องแรงจูงใจนั้น ยังต้องถามอีกหรือ?
ทันทีที่พระองค์ปัดตกหลักฐานของโจวไหว ก็ถูกโกนขนจนเป็นไก่เปลือยเช่นนี้ ไหนเลยจะมี เรื่อง บัง เอิญ เช่นนี้?!
“เจ้า…เจ้า…”
ฮ่องเต้โมโหจนปอดแทบระเบิด
เยี่ยนจิ่วเฉาตื่นตะลึงยิ่งกว่าฮ่องเต้เสียอีก ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรไปทุกสารทิศกลับกลายกลายเป็นไก่ต้มไร้ขนภายในเวลาชั่วข้ามคืน ไม่มีผม ไม่มีคิ้ว แม้แต่…ก็คงจะ…สายตาของเยี่ยนจิ่วเฉากวาดไปมองเท้าของฮ่องเต้ เขาร้อง ‘โอ้’ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาททรงอยากออกบวชเองไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ…ไม่ใช่ข้า”
เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“หากไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร?!” ฮ่องเต้ตวาดลั่น
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบอย่างไร้เดียงสาว่า “ฝ่าบาทยังไม่รู้ ข้าก็ยิ่งไม่รู้ ข้าไม่ได้พำนักอยู่ในวังหลวง ถูกต้องหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ยิ่งไปกว่านั้น ข้าจะทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร?”
หน้าอกของฮ่องเต้กระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง “จะ…เจ้าอย่ามาหลอกข้าให้ยาก! โจวไหวสารภาพแล้ว เขายอมรับแล้วว่าความดีความชอบทางการทหารเป็นของอวี๋เซ่าชิง! แม่ทัพเซียวไม่ได้ส่งมอบรายชื่อสายลับให้เหยียนฉงหมิง!”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบว่า “นั่นนับว่าเป็นเรื่องดี ไฉนข้าจะต้องแก้แค้นฝ่าบาทเล่าพ่ะย่ะค่ะ? หรือว่า…ฝ่าบาทมีหลักฐานเป็นประจักษ์กระนั้นก็ทรงไม่ยินดีจะคืนความยุติธรรมให้อวี๋เซ่าชิง?”
ฮ่องเต้ถูกท่าทางแกล้งโง่ของเขาทำให้โทสะพลุ่งพล่าน จึงเขวี้ยงหมอนใส่อีกครั้ง!
เยี่ยนจิ่วเฉาหลบอย่างรวดเร็ว
ฮ่องเต้ดูแลเส้นผมและเส้นขนของตนอย่างดีเสมอมา ในความคิดของพระองค์ นั่นคือสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่และอำนาจของบุรุษ การมีเส้นผมและขนดกดำนั้นน่าพึงพอใจเสียยิ่งกว่าการได้ครอบครองชุดเกราะของแม่ทัพขุนนางใหญ่ไม่น้อย เมื่อย่างเข้าวัยกลางคนมักประสบปัญหาผมร่วงศีรษะล้าน พระองค์กลับยังคงมีหนวดเคราดกดำ ทุกครั้งที่เหล่าขุนนางเข้าเฝ้า สายตาของพวกเขามักเปี่ยมไปด้วยความอิจฉาและชื่นชม พระองค์รู้สึกภาคภูมิใจในเรื่องนี้มากกว่าผู้ใด
บัดนี้ เส้นขนอันเป็นความภาคภูมิใจของพระองค์ได้หายไปสิ้นแล้ว
มังกรเกรียงไกร บัดนี้ได้กลายเป็นเพียงหนอนไหมตัวน้อย
ผู้ใดจะมาเข้าใจความเจ็บปวดในส่วนลึกของหัวใจพระองค์?!
“ไม่ใช่ข้าจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยนจิ่วเฉาบอก “เสด็จลุงทรงสั่งอารักขาห้องพระบรรทมเสียแน่นหนา แม้แต่หน่วยกล้าตายของข้าก็บุกเข้ามาไม่ได้ เสด็จลุงทรงคิดว่าข้าจะมีความสามารถถึงเพียงนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
นั่นเป็นความสัตย์จริง ตั้งแต่ที่ถูกเจ้าบ้านี่โกนขนหน้าแข้งไปครั้งหนึ่ง ฮ่องเต้ก็รับสั่งให้หน่วยกล้าตายที่เก่งกาจที่สุดของราชวงศ์มาอารักขาหน้าห้องนอนของตน หน่วยกล้าตายหน้ากากเงินที่เยี่ยนจิ่วเฉาครอบครองอยู่นั้นก็ไม่อาจต่อกรกับพวกเขาได้ ไม่มีผู้ใดสามารถบุกเข้ามาโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวได้
เพราะฉะนั้น…ไม่ใช่เขาจริงๆ
แต่หากไม่ใช่เขา แล้วจะเป็นใครกัน?
“ท่านแม่!”
อวี๋หวั่นเก็บของเสร็จแล้ว กำลังเตรียมตัวกลับจวน เมื่อวานกำลังจะกลับจวน แต่อยู่ๆ ฟ้าก็มืดลงฉับพลัน ด้วยกลัวว่าฝนจะตกระหว่างทาง เธอจึงตัดสินใจพักอยู่ในหมู่บ้านสักหนึ่งคืน บ้านสกุลอวี๋กำลังสร้างใหม่ ทุกวันนี้พวกเขาจึงอาศัยอยู่ในบ้านใหม่สกุลติงไปก่อน
……………………………………….