หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 136 จุดจบและความจริง

บทที่ 136 จุดจบและความจริง

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 136 จุดจบและความจริง
อวี๋หวั่นไม่ได้แตะต้องซูมู่ แต่เธอแตะต้องพระชายาต่างหาก ซูมู่คงไม่รู้ว่าเครื่องรางที่นางหมายจะขโมยจากพระชายานั้นไม่ใช่ของจริงตั้งแต่แรกแล้ว

ส่วนอวี๋หวั่นคาดเดาได้อย่างไรว่าซูมู่จะขโมยเครื่องรางของพระชายา ทั้งยังเตรียมของปลอมเอาไว้อย่างดิบดีนั้น เป็นความลับที่ไม่อาจเปิดเผยได้

ซูมู่มีความสามารถในแบบของซูมู่ อวี๋หวั่นก็มีท่าไม้ตายของอวี๋หวั่นมิใช่หรือ?

อวี๋หวั่นค่อยๆ พยุงซูมู่ขึ้นมา

ซูมู่ซ่อนกำปั้นซึ่งกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อไว้ในแขนเสื้อ

ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นคลื่นใต้น้ำระหว่างทั้งสอง คิดเพียงว่าซูมู่ถูกกล่าวโทษ จื่อซูกลับคิดว่าซูู่มู่ทำให้ฮูหยินน้อยโกรธเข้าแล้ว

อวี๋หวั่นรู้ว่าตนกดขี่ซูมู่มานานถึงเพียงนี้ เมื่อใดที่ซูมู่มีโอกาส นางก็จะโต้กลับอย่างรุนแรง

อวี๋หวั่น ‘จูง’ ข้อมือของซูมู่ เธอยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “เห็นชัดแล้วหรือไม่ นี่สิถึงเรียกว่าใส่ร้าย”

ซูมู่หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ยังไม่ทันรอให้ซูมู่ตอบสนองต่อคำพูดของอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นก็ดึงมือกลับมาอย่างรวดเร็ว และ

ตอนนั้นเองอัญมณีขนาดประมาณไข่นกพิราบก็หล่นออกมาจากแขนเสื้อของซูมู่

อัณมณีสีแดงก่ำดุจโลหิต ส่องสะท้อนวาววับอยู่บนพื้น

ฮองเฮาคิ้วขมวดแน่น

แม่นางชุยจดจำของสิ่งนี้ได้ ในห้องนอนของพระชายามีรูปปั้นนกหลวน[1]ซึ่งทำจากทองคำ อัญมณีชิ้นนี้คือลูกตาของนกหลวนตัวนั้น

มันตกมาจากแขนเสื้อของซูมู่ แต่เมื่อครู่แม่นางชุยยังค้นมาไม่ถึงตรงนี้

เพราะฉะนั้นจึงไม่นับว่าฮองเฮากล่าวโทษนางอย่างเลื่อนลอย สาวใช้คนนี้มิได้ใสซื่อมือสะอาดแต่อย่างใด เพียงแต่ว่านางไม่ได้ขโมยเครื่องรางของพระชายา หากแต่ขโมยอัญมณีล้ำค่าไป

หากของที่ขโมยไปเป็นเครื่องราง ฮองเฮาก็คงสงสัยว่าอวี๋หวั่นเป็นคนบงการ แต่อัญมณีชิ้นนี้…เมืองเยี่ยนร่ำรวย

ล้นฟ้า ว่าที่ชายาของเยี่ยนอ๋องจะถึงกับหาไม่ได้เชียวหรือ? เครื่องประดับศีรษะของอวี๋หวั่นเพียงชิ้นเดียวก็สามารถซื้ออัญมณีอย่างนี้ได้หลายสิบชิ้น

ดูแล้วสาวใช้ผู้นี้คงจะเป็นขโมย!

ซูมู่กำหมัดแน่น สายตาจ้องอวี๋หวั่นเขม็ง

อวี๋หวั่นยืนกระซิบข้างหูนาง “พูดไปสิ พูดไปว่าข้าเป็นคนนำมาใส่ไว้ ดูซิว่าจะมีใครเชื่อเจ้า?”

ลักขโมยของในวังหลวงนับเป็นโทษสถานหนัก กล่าวโทษเจ้านายของตนก็เพิ่มโทษไปอีกสถานหนึ่ง ในตอนนี้อวี๋หวั่นไม่จำเป็นต้องลงมือเองแล้ว ปล่อยให้ฮองเฮาใช้กฎของวังหลวงจัดการนาง

“ฮองเฮา! ฮองเฮา! หาเครื่องรางเจอแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีน้อยคนหนึ่งวิ่งมาอย่างดีอกดีใจ

“หาเจอที่ใด?” ฮองเฮาเอ่ยถาม

ขันทีน้อยตอบว่า “หาเจอที่พระชายา! เหน็บอยู่ในรอยต่อบนชุดของพระชายาพ่ะย่ะค่ะ!”

มิน่าเล่าถึงหาไม่เจอ

ฮองเฮาพินิจพิจารณาเครื่องราง เมื่อมั่นใจแล้วว่าเป็นเครื่องรางที่ได้มาจากวัดผู่จี้ ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“โล่งอกไปที” อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าปีติยินดี

เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เกือบกล่าวโทษอวี๋หวั่น ฮองเฮาก็พลันรู้สึกละอายใจ เมื่อคิดดูแล้ว หากสาวใช้คนนั้นพูดให้ชัดเจนตั้งแต่แรก นางจะสงสัยอวี๋หวั่นได้อย่างไรกัน? ในตอนที่แม่นางชุยเจอเครื่องรางบนตัวนาง หากนางเอ่ยปากบอกไปว่า ‘นี่ไม่ใช่เครื่องรางของพระชายา แต่เป็นเครื่องรางที่ฮูหยินให้มา ไม่เชื่อก็เปิดดู’ เรื่องคงไม่ยุ่งยากถึงเพียงนี้

“ครั้นอยู่ในโรงละคร ข้าเห็นนางมีไหวพริบปฏิภาณดี แต่ในช่วงเวลาคับขันกลับไม่พูดออกมาให้รู้เรื่อง!” ฮองเฮาไม่รู้ถึงเรื่องบาดหมางระหว่างอวี๋หวั่นกับซูมู่ ย่อมไม่มีทางสงสัยอวี๋หวั่น ทว่านางรู้สึกผิดหวังในตัวซูมู่เหลือเกิน

นางมองไปยังอวี๋หวั่น “นางเป็นคนของเจ้า ตามหลักแล้วเจ้าก็ควรเป็นคนลงโทษนาง เพียงแต่นางขโมยของของวังหลวง ย่อมต้องใช้กฎของวังหลวง…”

ฮองเฮากล่าวพลางสังเกตท่าทีของอวี๋หวั่น

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สมควรลงโทษ แต่หากอวี๋หวั่นไม่ยินดี นางก็จะไว้หน้าอีกฝ่ายสักหน่อย

อวี๋หวั่นค้อมกายเล็กน้อย “หม่อมฉันไม่ดูแลบ่าวให้ดี หม่อมฉันน้อมรับโทษจากฮองเฮาเพคะ”

ฮองเฮารีบตอบว่า “มิใช่ความผิดของเจ้า ลุกขึ้นเถิด”

นี่เป็นการปกป้องสาวใช้ใช่หรือไม่?

ฮองเฮารู้สึกผิดหวังเหลือเกิน

แม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด แต่ระหว่างตนกับสาวใช้ซึ่งขโมยของมีค่าของตน อวี๋หวั่นกลับเลือกปกป้องสาวใช้ นั่นทำให้ฮองเฮารู้สึกประหนึ่งถูกผลักไส

โชคดีที่อวี๋หวั่นพูดต่อ “สาวใช้ผู้นี้ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กล้าขโมยของในตำหนักของฮองเฮา ฮองเฮาโปรดตัดสินนางอย่างยุติธรรมตามเห็นสมควรเถิดเพคะ”

ฮองเฮารู้สึกพึงพอใจ

ซูมู่โมโหจนแทบขาดใจ

โจรร้องตะโกนว่าให้จับโจร ยังกล้าเรียกร้องความยุติธรรมอีกรึ? เห็นทีคงไม่มีผู้ใดไร้ยางอายกว่านี้อีกแล้ว!

ซูมู่ไม่อาจโต้แย้ง ฮองเฮาสนใจเครื่องราง แต่หาได้สนใจอัญมณีชิ้นนั้นไม่ ต่อให้อวี๋หวั่นขโมยไปแล้วอย่างไร? ฮองเฮาจะลงโทษเธอเพราะเรื่องนี้หรือ? ยิ่งไปกว่านี้ฮองเฮาก็คงไม่เชื่อ ของอย่างนี้อวี๋หวั่นต้องการเท่าไร เยี่ยนจิ่วเฉาก็คงซื้อให้มากเท่านั้น ไม่มีความจำเป็นจะต้องขโมยเสียด้วยซ้ำ หากบอกไปว่าทำไปเพื่อแก้แค้นซูมู่ก็ไม่ได้ สาวใช้คนเดียว ไหนเลยจะมีค่ามากพอให้นายหญิงลงแรงเพียงนี้? ไม่ใช่สายลับของหน่วยกล้าตายสักหน่อย!

ซูมู่ไม่อาจเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงเพียงเพื่อพิสูจน์ความผิดของอวี๋หวั่น หากทำเช่นนั้น ชะตากรรมของนางก็คงไม่ได้ดีไปกว่าตอนนี้เท่าไร

ฮองเฮาอ้างอิงตามกฎของวังหลวง สั่งโบยซูมู่สามสิบครั้ง

เรื่องที่ซูมู่ขโมยของได้แพร่ไปทั่วจวนคุณชายเยี่ยน

“จื่อซู” เถาเอ๋อร์ดึงหลีเอ๋อร์เข้าไปในห้องของจื่อซูและปั้นซย่า “เป็นเรื่องจริงหรือ?”

จื่อซูวางผ้าที่เพิ่งพับไปได้เพียงครึ่งเดียว “เรื่องอะไร?”

เถาเอ๋อร์เอ่ยถามด้วยความสงสัย “เรื่องที่ซูมู่ถูกฮองเฮาลงโทษ”

“อืม” จื่อซูพยักหน้า

เถาเอ๋อร์อายุยังน้อย และช่างสงสัยมากที่สุด จื่อซูหันหลังกลับมา นางก็คว้ามือของจื่อซูไว้ “ซูมู่ขโมยของในวังหลวงจริงหรือ?”

จื่อซูคิดว่าซูมู่ไม่ได้ขโมย เหมือนกับที่นางรู้ว่าฮูหยินน้อยไม่ได้สั่งให้ซูมู่ขโมยเครื่องราง เรื่องนี้เป็นเพียงแผนการของฮูหยินน้อยเท่านั้น แต่ในฐานะคนสนิทของฮูหยิน นางไม่อาจและไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง

จื่อซูพยักหน้า

เถาเอ๋อร์กระทืบเท้า “ไอ้หยา ดูไม่ออกเลยจริงๆ ที่แท้ก็เป็นขโมย!”

หากข่าวนี้แพร่ไปเมื่อไม่กี่วันก่อน คงไม่มีใครเชื่อ แต่ในจวนเกินเรื่องติดต่อกันมากมาย รวมไปถึงเรื่องลอบวางยาอวี๋หวั่น ภาพลักษณ์ของซูมู่ในสายตาของผู้คนมีแต่จะตกต่ำลง หาจะมีเรื่องลักขโมยอีกเรื่องหนึ่งก็คงยอมรับได้ไม่ยาก

หลีเอ๋อร์ขมวดคิ้ว “วาดตัวเสือวาดหนังสือแต่ไม่อาจวาดกระดูกเสือ รู้หน้าไม่รู้ใจ!”

จื่อซูเห็นท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์ของผู้คน จึงพอเข้าใจว่าเพราะเหตุใดฮูหยินจึงพาซูมู่เข้าวัง มันคือหลุมพราง หลุมพรางที่พร้อมจะฝังซูมู่จนมิด ซูมู่นับว่าฉลาด แต่นางไม่รู้ว่านางได้ตกลงไปในกับดักของฮูหยินน้อยตั้งแต่แรกแล้ว

เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ฮูหยินน้อยไม่จำเป็นต้องออกปากเอง ก็จะมีผู้คนนับไม่ถ้วนที่ไล่ซูมู่ออกไปจากจวนเอง

เป็นดังคาด หลังจากที่อวี๋หวั่นกลับมาจากจวน เหล่าพ่อบ้านก็ทยอยกันมาขอพบ

คนแรกที่มาก็คือพ่อบ้านหู

ซูมู่เป็นคนที่เขาพามา พาคนที่ไม่ได้เรื่องมาเช่นนี้ ก็นับเป็นความผิดของเขาเช่นกัน “เป็นที่ข้ามองคนไม่ออก…”

อวี๋หวั่นใช้คำพูดของฮองเฮามาบอกกับเขาว่า “ไม่ใช่ความผิดของท่าน ลุกขึ้นเถิด”

พ่อบ้านหลายคนต่างออกความเห็นว่าซูมู่ไม่ควรอยู่ในจวนอีกต่อไป มิเช่นนั้นหากแพร่งพรายออกไปผู้คนจะพูดเอาได้ว่าจวนคุณชายเยี่ยนไร้กฎระเบียบ

อวี๋หวั่นมีสีหน้าลำบากใจ “เรื่องนี้…”

พ่อบ้านอู๋กล่าวว่า “หากยังปล่อยให้นางอยู่ที่นี่ จะควบคุมคนได้ยาก วันหลังผู้ใดคันไม้คันมือก็ขโมยของ สุดท้ายแล้วฮูหยินก็จะไม่อาจลงโทษสถานหนักพวกเขาได้”

อวี๋หวั่นถอนหายใจ “ในเมื่อทุกท่านกล่าวเช่นนี้ ชะ…เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ข้ายังอายุน้อย มีเรื่องที่ยังคิดไม่ถี่ถ้วนอยู่บ้าง ภายภาคหน้าก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกท่านจะแนะนำข้า”

ครั้งนี้ แม้แต่ลุงวั่นก็ยังต้องเงียบ

ซูมู่ถูกขับไล่ออกจากจวนไปด้วยประการฉะนี้ แต่เรื่องนี้ไม่ได้จบเพียงเท่านี้ ทันทีที่ถูกสาวใช้อาวุโสโยนออกมา ก็ถูกองครักษ์รับตัวไปยังอีกเรือนหนึ่ง

เรือนนี้อยู่นอกเมือง ค่อนข้างกันดาร ผู้คนผ่านไปมาน้อย

ซูมู่ถูกโยนเข้าไปในห้องเก็บฟืน

นางถูกโบยในวังสามสิบที ด้วยความสามารถของนางไม่มีทางถึงตาย แต่อย่างไรเสียนางก็ได้รับบาดเจ็บ ใบหน้าของนางซีดเผือด

แสงเทียนริบหรี่ส่องสะท้อนใบหน้าของนาง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ใบหน้าของนางดูมีสีสันมากขึ้นแต่อย่างใด

นางพยายามใช้มือยันกายขึ้นนั่ง ทันใดนั้นเองแสงเหนือศีรษะของนางก็ดับลง เงาของร่างสูงใหญ่ก็เดินเข้ามา

นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น และเผชิญกับสายตาเย็นเยียบ

อิ่งสือซันมองนาง แล้วถามว่า “บอกมา ผู้ใดส่งเจ้ามา?”

…..

“คุณชาย!”

ตกเย็น เยี่ยนจิ่วเฉากลับจวนมา ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันก็ปรี่เข้ามา

อวี๋หวั่นอยู่ในห้องครัวเล็ก

เยี่ยนจิ่วเฉาหาเธอไม่พบ ก็หันมาแล้วถามว่า “มีอะไร?”

อิ่งลิ่วตอบว่า “ได้คำตอบแล้วขอรับ ซูมู่ไม่ใช่คนเมืองหวั่น แต่เป็นคนเมืองเยี่ยน!”

“เมืองเยี่ยน?” เยี่ยนจิ่วเฉาขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ

เมืองหวั่นและเมืองเยี่ยนล้วนแต่อยู่ทางทิศใต้ของต้าโจว เมืองหวั่นมีอาณาเขตติดกับหนานเจียง เมืองเยี่ยนติดทะเล มีตำบลเล็กๆ ตำบลหนึ่งตั้งอยู่ระหว่างเมืองเยี่ยนและเมืองหวั่น ทว่าสำเนียงของคนทั้งสองที่นั่นคล้ายคลึงกัน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมซูมู่จึงโกหกได้เรื่อยมา

อิ่งลิ่วพยักหน้า “นางไม่ได้เป็นเพียงคนเมืองเยี่ยนอย่างเดียวนะขอรับ นางยังเคยอยู่ในจวนเยี่ยนอ๋องด้วย”

เยี่ยนจิ่วเฉามีสีหน้าแปลกใจยิ่งกว่าเดิม

อิ่งลิ่ว “คุณชายอาจจะยังเด็กอยู่ขอรับ ไม่รู้ว่าเยี่ยนอ๋องเคยมีองครักษ์แซ่ซูอยู่คนหนึ่ง องครักษ์คนนั้นทั้งกล้าหาญและมากแผนการ เยี่ยนอ๋องจึงให้ความสำคัญกับเขามาก และโยกย้ายเขาไปอยู่ในกองทัพเรือ อยู่ในตำแหน่งรองหัวหน้า แต่คนผู้นี้ไม่ซื่อสัตย์ เขารับสินบนในกองทัพ เยี่ยนอ๋องจึงปลดเขาออกหลังจากที่รู้เรื่องนี้”

“แล้วลูกสาวของเขามาทำอะไรที่นี่?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม

“แก้แค้นขอรับ” อิ่งลิ่วตอบ

เยี่ยนจิ่วเฉาเลิกคิ้วด้วยความงุนงง “แก้แค้นผู้ใด?”

ท่านพ่อของนางทำผิด ท่านพ่อของเขาก็ลงโทษ

อิ่งลิ่วพูดต่อ “หลังจากที่พ่อของซูมู่ถูกปลดออกก็ล้มป่วยครั้งใหญ่ แม่ของซูมู่จึงไปขอความช่วยเหลือที่จวนเยี่ยนอ๋อง เยี่ยนอ๋องไม่สนใจ หลังจากนั้นพ่อของซูมู่จึงเสียชีวิตลง ท่านแม่ของนางก็ล้มป่วยด้วยความคับแค้นใจและจากไปเช่นกัน ซูมู่จึงคิดมาตลอดว่าพ่อแม่นางตายเพราะเยี่ยนอ๋อง”

เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยขึ้นว่า “นั่นก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่านางไปเป็นหน่วยกล้าตายได้อย่างไร”

อิ่งลิ่วชะงักไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “หลังจากที่พ่อแม่นางเสียไป นางและน้องชายก็ถูกคนหนานจ้าวรับไปเลี้ยง”

หนานจ้าวอีกแล้ว!

เยี่ยนจิ่วเฉาหรี่ตาอย่างเคลือบแคลง

ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่อิ่งสือซันง้างปากซูมู่ออกมา หลายวันมานี้อิ่งลิ่วก็ไปสืบได้ข้อมูลมาอีกเช่นกัน

อิ่งลิ่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กระแอมเล็กน้อยแล้วพูดว่า “คุณชาย น่ากลัวว่าเยี่ยนอ๋องคง…คงเคยไปหนานจ้าวขอรับ”

เยี่ยนจิ่วเฉามองมาทันที “น่ากลัวว่าเคยไปหนานจ้าวอะไรกัน?”

อิ่งลิ่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาหยิบม้วนภาพเขียนในแขนออกมา แล้วค่อยๆ กางบนโต๊ะของเยี่ยนจิ่วเฉา “นี่เป็นภาพเขียนของเยี่ยนอ๋องขอรับ คุณชายคงจดจำได้”

เยี่ยนจิ่วเฉาเห็นภาพเขียนของบิดามาตั้งแต่เด็ก เป็นของจริงหรือของปลอมเขาล้วนดูออก ภาพเขียนรูปภูเขาและสายน้ำนั้น เขาเป็นคนวาดจริง

“ภาพนี้คือที่ไหน? เหตุใดข้าไม่เคยเห็นมาก่อน?”

จวนเยี่ยนอ๋องมีภาพเขียนของเยี่ยนอ๋องอยู่ไม่น้อย เยี่ยนจิ่วเฉารำลึกถึงบิดาอยู่เสมอ เขาจดจำผลงานของบิดาได้ทุกชิ้น

อิ่งลิ่วตอบว่า “ข้าหาพบในจวนเยี่ยนอ๋องขอรับ พระชายามอบให้คนใต้บัญชา ในวันแต่งงานของคุณชาย พระชายาหาทรัพย์สินเก่าของคุณชายแล้วส่งมา ในนั้นมีภาพเขียนนี้ด้วยขอรับ คนใต้บัญชาคนนั้นคิดว่านี่เป็นภาพเขียนธรรมดาจึงไม่ได้นำมาใส่ใจ จนเมื่อวานข้าไปพบภาพวาดทิวทัศน์ของหนานจ้าวโดยบังเอิญ จึงพบว่าทิวทัศน์คล้ายกับภาพเขียนของเยี่ยนอ๋องมากขอรับ”

อิ่งลิ่วพูดไป ก็หยิบภาพวาดทิวทัศน์ของหนานจ้าวที่ซื้อตลาด แล้ววางบนโต๊ะของเยี่ยนจิ่วเฉา “คุณชายท่านดู ศาลาในภาพเขียนของนายท่านและศาลานี้คล้ายกันมากใช่หรือไม่ขอรับ?”

คล้ายกันแล้วอย่างไร? คนละมุมกันนี่

เยี่ยนจิ่วเฉาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “แต่นั่นก็ไม่อาจบอกอะไรได้ ท่านพ่ออาจจะคัดลอกภาพวาดผู้อื่นมาก็เท่านั้น เขาไม่ได้ไปหนานจ้าวด้วยตนเอง”

อิ่งลิ่วกล่าวว่า “เพราะฉะนั้นข้าจึงบอกว่าน่ากลัวว่า ข้าไม่กล้าตัดสินขอรับ”

เยี่ยนจิ่วเฉาจมอยู่ในห้วงความคิด

ในคืนนั้น เยี่ยนจิ่วเฉาฝัน เขาฝันว่าตนตัวเล็กๆ นั่งอยู่บนธรณีประตูหิน ทอดสายตาไปบนท้องฟ้า

“ฉงเอ๋อร์ มานี่”

จิ่วเฉาตัวน้อยหันไปหาบุรุษรูปงามร่างสูงใหญ่

รอยยิ้มอบอุ่นวาดผ่านใบหน้าบุรุษผู้นั้น “มาหาพ่อเร็ว”

จิ่วเฉาตัวน้อยวิ่งเตาะแตะไป มือน้อยจับฝ่ามือใหญ่

ชั่วพริบตาเดียว บุรุษผู้นั้นก็หายไปแล้ว จนเขาต้องมองหาไปทั่ว

“พ่ออยู่นี่”

เป็นเสียงอันอบอุ่นและคุ้นเคย

จิ่วเฉาตัวน้อยหันหน้าไป แล้ววิ่งเตาะแตะไปหยุดอยู่ข้างบ่อน้ำเก่า เขาปีนขึ้นไปบนปากบ่อน้ำ แล้วชะเง้อมองลงไป

“มานี่ มาหาพ่อที่นี่”

บุรุษซึ่งอยู่ก้นบ่อยื่นมือมาหา

จิ่วเฉาน้อยก้าวเท้าออกไป เขาปีนขึ้นไปบนบ่อน้ำ แล้วพุ่งลงไปในบ่อน้ำ!

ในบ่อน้ำไม่มีท่านพ่อ!

ท่านพ่ออยู่ที่ใด?!

เขาร้องไห้โฮ!

เขากินน้ำไปจนเต็มท้อง!

เขากำลังจะจมน้ำ ทันใดนั้นเอง มือใหญ่ก็คว้าเขาขึ้นมา

เป็นเซียวเจิ้นถิง!

ออกไป!

เจ้าไม่ใช่ท่านพ่อข้า!

เจ้าเอาท่านพ่อมาให้ข้าเดี๋ยวนี้นะ!

เยี่ยนจิ่วเฉาทั้งเจ็บปวดทั้งทรมานใจ เขาร้องไห้ออกมา…

…………………………………

[1] นกหลวน เป็นนกศักดิ์สิทธิ์ในความเชื่อของชาวจีนโบราณ ว่ากันว่าเป็นนกฟีนิกซ์ประเภทหนึ่ง

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]

Status: Ongoing

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร

เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน

ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว

ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน…

ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?!

สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย

บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป…

วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย?

ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้…

“ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง

“เรียกแม่สิ”

เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท