หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 147.1 เสี่ยวเป่าหน้าจ๋อย ตบหน้า (1)
เรือนเฟยเหยียนเป็นจุดที่จวนเฉิงอ๋องใช้รับรองบุรุษที่มาร่วมงาน ซึ่งอยู่ห่างจากเรือนฉงอันเพียงสวนเดียว เมื่อเทียบกับความสง่างามเงียบสงบของเรือนฉงอันแล้ว เรือนเฟยเหยียนเสียงดังอึกทึกกว่ามาก อวี๋หวั่นได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นของชายกลุ่มหนึ่งที่กำลังสังสรรค์ดื่มเหล้ามาแต่ไกล
ระหว่างทางไปเรือนเฟยเหยียน อวี๋หวั่นได้ถามถึงสถานการณ์ของผู้บาดเจ็บกับต้ามามา
“เป็นชายหนุ่ม” ต้ามามากล่าว “เขาล้มลงระหว่างทางกลับจากห้องน้ำ ทำให้มือกระแทกกับหินประดับ ถูกบาดเป็นแผลยาวเช่นนี้”
ต้ามามาเอ่ยอย่างอกสั่นขวัญแขวนจบ ก็ทำท่าทางเสียใหญ่โต
อวี๋หวั่นคิดในใจ เกรงว่าแขนของชายผู้นั้นคงไม่ยาวถึงเพียงนี้หรอกกระมัง
ทันทีที่ชายผู้นั้นได้รับบาดเจ็บ ก็ถูกชายรับใช้ของจวนเฉิงอ๋องหามไปที่ห้องปีก เพราะเหตุการณ์ฉุกเฉิน ต้ามามาจึงพาอวี๋หวั่นเข้าทางประตูด้านหลังของเรือนเฟยเหยียน เลี้ยวซ้ายไปตามทางเดิน ผ่านลานกว้าง ก่อนจะมาถึงห้องปีกที่ผู้บาดเจ็บพักอยู่
เฉิงอ๋องรอที่หน้าประตูอยู่ก่อนนานแล้ว เห็นต้ามามาพาสตรีในชุดมงคลพระชายาท่านหนึ่งเข้ามา อันที่จริงตอนที่เขาเข้าจวน ก็เห็นครอบครัวทั้งห้าคนแล้ว ทว่าไม่มีเวลาพอจะได้สนทนากับอวี๋หวั่น
“พี่สะใภ้” เฉิงอ๋องสาวเท้ายาวก้าวไปข้างหน้า พลางยกมือคำนับทักทายอย่างสุภาพ
อวี๋หวั่นยังไม่ได้รับการอภิเษกแต่งตั้ง สถานะของเธอจึงต่ำกว่าเขา เธอน้อมกายคำนับ “เฉิงอ๋อง”
เฉิงอ๋องไม่รับการคำนับ เพียงยกมือและเอ่ยว่า “พี่สะใภ้ มิต้องมากพิธี”
เขาไม่อาจถือสาภรรยาของเยี่ยนจิ่วเฉาได้ เมื่อกล่าวจบ คล้ายกับสงสัยในความพยายามเป็นมิตร ที่แสดงออกในคำพูดของตน เขาจึงเอ่ยอย่างรีบร้อนว่า “เราคนกันเอง ไม่จำเป็นต้องทำเยี่ยงคนนอกเช่นนี้”
หลังจากเอ่ยจบ รู้สึกว่าความสงสัยในความพยายามเป็นมิตรยิ่งเพิ่มมากขึ้น เฉิงอ๋องเกาศีรษะอย่างอึดอัดใจ
อวี๋หวั่นรู้สึกขบขันกับท่าทางของเขา เมื่อได้มององค์ชายผู้นี้อย่างจริงจัง เขาเป็นองค์ชายที่ไม่โดดเด่นที่สุดในบรรดาองค์ชายที่โตแล้ว แม้องค์ชายใหญ่จะถูกทอดทิ้ง แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังครองตำแหน่งบุตรคนโตจากภรรยาหลวง เฉิงอ๋องไม่สูงไม่ต่ำ เขามีพี่ชายที่โดดเด่นกว่า และมีน้องชายที่น่ารักกว่า มารดาอวี้ผินผู้ให้กำเนิดไม่ได้สูงส่ง และไม่อาจเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ในครั้งนี้เขาได้สร้างสันติภาพกับซยงหนู เพื่อเป็นการยกย่องเขา จึงแต่งตั้งอวี้ผินเป็นอวี้เฟย เป็นสนมอันดับสองในสนมกุ้ย ซู่ เสียน เต๋อ ทั้งสี่
เพียงแต่ไร้อำนาจไร้ความโปรดโปราน สุดท้ายก็เป็นเพียงคนที่น่าสงสารในวังลึกคนหนึ่งเท่านั้น
ในฐานะบุตรชายของนาง เฉิงอ๋องสืบทอดลักษณะของอวี้เฟยมาได้เป็นอย่างดี ไม่สร้างปัญหา และไม่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้
จู่ๆ อวี๋หวั่นก็นึกถึงเยี่ยนไหวจิ่ง เขาเพียงพอที่จะทำให้ฮ่องเต้พอพระทัยแล้ว ทว่าอย่างไรก็ตามอวี๋หวั่นก็ไม่ชอบเขา อวี๋หวั่นรู้สึกโชคดีที่เขาถูกเยี่ยนจิ่วเฉาทารุณและเลี้ยงไว้ที่บ้าน ไม่เช่นนั้นหากพบเขาในงานเลี้ยงแต่งงานก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร
เฉิงอ๋องที่อ่อนน้อมถ่อมตนมองแล้วยังสบายตาเสียกว่า
ราวกับได้ยีนที่ดีจากบรรพบุรุษ บุตรในสกุลเยี่ยนล้วนไม่มีผู้ใดหน้าตาขี้เหร่ แน่นอนว่าผู้ที่หล่อเหลาที่สุดคือสามีและบุตรอ้วนกลมทั้งสามของเธอ ทว่าเฉิงอ๋องผู้นี้ใสสะอาดดูดีราวกับหยกอย่างหาได้ยากยิ่ง องค์หญิงแห่งซยงหนูได้แต่งงานกับเขาก็ไม่นับว่าน่าอดสูเลยจริงๆ
“พี่สะใภ้ไม่ต้องห่วง ข้าไล่คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปหมดแล้ว ส่วนท่านพี่ข้าก็ให้คนไปส่งข่าวแล้ว”
……ทว่ายังหาใครไม่พบ
คุณชายคนหนึ่งไม่อาจหยุดอวดบุตรได้ ข้าราชบริพานบู๊บุ๋นในต้าโจวไม่อาจตอบสนองความต้องการที่บ้าคลั่งของเขาได้อีกต่อไป เขาจึงไปลงกับทูตของหนานจ้าวและซยงหนู
ทูตทั้งสองประเทศมีควันออกจากหัว : พวกเราชาวทูตทำสิ่งใดให้ใครไม่พอใจ!!!
“พี่สะใภ้ เชิญ” เฉิงอ๋องกล่าว
อวี๋หวั่นเข้าไปในห้องพร้อมกับเฉิงอ๋อง
จื่อซูเดินตามอวี๋หวั่นพร้อมกับถือล่วมยา ส่วนฝูหลิงกับต้ามามายืนเฝ้าหน้าประตู
ภายในห้องคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดรุนแรง ร่างของคุณชายในชุดสีขาวนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงที่มีผ้าม่าน กลิ่นเหล้าบนร่างกลบกลิ่นของคาวเลือด เมื่อเข้าใกล้ อวี๋หวั่นจึงพบว่าชายผู้นี้ยังเด็กมาก เขาดูอายุเพียงสิบแปดหรือสิบเก้าปี หน้าตาไม่ได้นับว่าน่าทึ่ง แต่ชนะที่ความบอบบางและน่ารัก รูปร่างค่อนข้างผอม แขนข้างหนึ่งห้อยลงมาอยู่ข้างเตียง ชายรับใช้ของจวนคนหนึ่งคุกเข่าอยู่หน้าเตียง และใช้ผ้าขนหนูสะอาดกดลงบนบาดแผลของเขาไว้แน่น แต่เลือดยังคงไหลออกมาไม่หยุด
“ถอยไป” เฉิงอ๋องกล่าว
ชายรับใช้ค้อมกาย และเดินออกไปพร้อมกับผ้าขนหนูชุ่มเลือด
“ลำบากพี่สะใภ้แล้ว” เฉิงอ๋องคำนับมืออีกครั้ง
แม้จะบอกว่าแขกผู้นี้ไม่ระวังตนเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรเรื่องก็เกิดในจวนของเขา ไม่อาจปัดความรับผิดชอบ
อวี๋หวั่นพยักหน้า และก้าวขาเดินข้ามรอยเลือดที่น่าสยดสยองไปอย่างใจเย็น
เฉิงอ๋องแอบรู้สึกประหลาดใจ เลือดบนพื้น อย่าว่าแต่สตรีเลย บุรุษร่างใหญ่เช่นเขายังตกใจคราแรกที่เห็น ไยพี่สะใภ้จึงไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย?
อวี๋หวั่นนั่งลงข้างเตียงและเริ่มทำความสะอาดบาดแผล
จื่อซูเปิดล่วมยาอย่างเงียบขรึม
นางไม่สงบเหมือนอวี๋หวั่น อากาศที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทำให้นางหายใจไม่ออก แต่นางก็ยังคงนึกถึงสถานะของตนอยู่เสมอ และไม่อาจทำให้ฮูหยินน้อยต้องขายหน้า
เฉิงอ๋องเห็นว่าไม่เพียงแต่พี่สะใภ้ของเขาที่ไร้ซึ่งสีหน้าตื่นตระหนก ทว่าแม้แต่สาวใช้ที่อยู่ข้างกายก็ยังใจเย็น เขาอดไม่ได้ที่จะยิ่งรู้สึกชื่นชมอีกฝ่าย
“ทำให้พี่สะใภ้หัวเราะเยาะเสียแล้ว” ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยออกมา
เริ่มแรกเซียวจื่อเยว่ถูกแมงมุมพิษกัด จากนั้นทูตหนานจ้าวก็ได้รับบาดเจ็บในสวน ไม่ว่าจะดูอย่างไร ก็เหมือนว่าเขาละเลยในการควบคุมดูแล ถึงได้มีสิ่งอันตรายซ่อนอยู่มากมาย
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างสุภาพ “ทั้งหมดเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น ฝ่าบาทอย่าได้โทษตัวเองเลยเพคะ”
ทูตได้รับบาดเจ็บจะกล่าวโทษเฉิงอ๋องหรือไม่อวี๋หวั่นไม่ทราบ แต่เรื่องเซียวจื่อเยว่ไม่ใช่ความผิดของเฉิงอ๋องแน่แท้ แต่เพื่อชื่อเสียงของหญิงสาว ทำได้เพียงโยนความผิดเล็กๆ นี้ให้เขาไปก่อน
อวี๋หวั่นทำความสะอาดบาดแผลของอีกฝ่ายด้วยยาน้ำที่เธอทำขึ้นเอง บาดแผลที่ปลายแขนมีขนาดใหญ่ แต่ไม่ลึก เลือดที่ออกมาเกิดจากแผลเล็กๆ ที่ถูกก้อนหินแทง หลังจากใช้ผงห้ามเลือดแล้วก็ไม่มีเลือดไหลออกมาอีก
“มิจำเป็นต้องเย็บแผล” อวี๋หวั่นเอ่ยกับจื่อซู
จื่อซูเก็บเครื่องมือเย็บแผลเข้าไปเหมือนเดิม
เฉิงอ๋องเห็นว่าอวี๋หวั่นหยุดเลือดได้อย่างรวดเร็ว อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ จากนั้นเขาก็มองทูตที่อยู่ด้านข้าง พลันถามด้วยความกังวล “เขาเอาแต่หลับเช่นนี้ คงมิได้เป็นอันใดกระมัง”
อวี๋หวั่นจับชีพจรของเขาและส่ายศีรษะ “ชีพจรพ้นขีดอันตรายแล้วเพคะ น่าจะแค่หลับไป”
เฉิงอ๋องรู้สึกโล่งใจ พลันโค้งกายยกมือคำนับอวี๋หวั่น “ขอบคุณพี่สะใภ้มาก”
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปาก “ฝ่าบาทเกรงใจเกินไปแล้ว”
“มิใช่เพียงเรื่องนี้ แต่ยังมีเรื่องของคุณหนูเซียวด้วย ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของพี่สะใภ้” เฉิงอ๋องเข้าใจว่าตนเป็นองค์ชายที่ไม่ได้รับความโปรดปราน ไม่พอใจใครก็ไม่อาจทำอะไรได้ ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่ต้องแต่งงานกับองค์หญิงแห่งซยงหนู เพื่อแบกรับปัญหาเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นคุณหนูเซียว หรือทูตหนานจ้าว ไม่ว่าผู้ใดประสบอุบัติเหตุในจวนของเขา เขาล้วนต้องถูกฮ่องเต้ลงโทษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อวี๋หวั่นยิ้มและกล่าวว่า “เป็นหน้าที่เพคะ”
เฉิงอ๋องตกตะลึง ไม่รู้ว่าอวี๋หวั่นหมายถึงเซียวจื่อเยว่เป็นน้องสะใภ้ จึงบอกว่าเป็นหน้าที่ หรือเพราะตนเป็นน้องสามี จึงนับว่าเป็นหน้าที่กันแน่
อวี๋หวั่นกล่าว “ถ้าไม่มีเรื่องใดแล้ว หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ อีกสักครู่หมอหลวงมา ค่อยให้หมอหลวงวินิจฉัยและรักษาอีกครั้ง”
เฉิงอ๋องรีบเอ่ย “ข้าจะไปส่งพี่สะใภ้”
เฉิงอ๋องส่งอวี๋หวั่นออกจากเรือนเฟยเหยียน เรื่องนี้มิได้แพร่งพรายออกไป และยังคงเดินออกทางประตูหลัง ขณะที่ก้าวออกจากประตู ก็พบกับเยี่ยนจิ่วเฉาที่เดินมาพอดี
เยี่ยนจิ่วเฉาแน่ใจแล้วว่า ทูตทุกคนทราบว่าเขามีเด็กชายตัวน้อยสุดน่ารักไม่มีใครเทียบเทียมสามคน แต่ได้ยินมาว่ามีปลาตัวหนึ่งเล็ดลอดตาข่ายไปได้ เพราะได้รับบาดเจ็บและถูกหามมาที่นี่ เขาจึงมาตามหาปลาที่เล็ดลอดไปตัวนั้น!
คิดไม่ถึงว่าจะได้พบอวี๋หวั่นกับเฉิงอ๋อง
สายตาของเขาปราดมองล่วมยาในมือจื่อซู ก็พอเดาได้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ทว่าเฉิงอ๋องกลัวว่าคุณชายอาจเข้าใจผิด จึงรีบอธิบายอย่างตื่นตระหนก “มีทูตจากหนานจ้าวท่านหนึ่งเมาเหล้าและได้รับบาดเจ็บสาหัส จนรอหมอหลวงไม่ไหว ข้าจึงรีบตัดสินใจให้เชิญพี่สะใภ้มาช่วยทำการรักษา”
กล่าวจบ ราวกับเพื่อจะบอกว่า เหตุใดตนถึงรู้ว่าพี่สะใภ้มีความรู้ด้านการแพทย์ เขาจึงรีบอธิบายต่ออย่างไม่กล้าพักหายใจ “เมื่อครู่คุณหนูเซียวถูกแมงมุมพิษกัด และได้พี่สะใภ้ช่วยรักษาให้”
เยี่ยนจิ่วเฉาส่งเสียงอืมด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อน และถามเฉิงอ๋อง “คนผู้นั้นอาการเป็นอย่างไรบ้าง?”
เฉิงอ๋องกล่าวอย่างรีบร้อน “พี่สะใภ้เชี่ยวชาญทักษะการแพทย์ แขกปลอดภัยแล้ว ตอนนี้รอให้เขาตื่นขึ้นมา”
เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายนอนแน่นิ่งไปแล้ว คุณชายจึงหมดความสนใจที่จะอวดบุตร จึงพาเด็กน้อยตัวอ้วนกลมและอวี๋หวั่นเดินทางออกจากเรือนเฟยเหยียน
แต่เดิมเด็กน้อยทั้งสามเข้ากับผู้อื่นไม่ค่อยได้นัก ทว่าตั้งแต่อาศัยอยู่ในชนบทมายี่สิบวัน พวกเขาไม่เพียงแต่มีร่างกายที่อ้วนขึ้น ความกล้าหาญยังมากขึ้นอีกด้วย ไม่ขวยเขินไม่วางตัวห่างเหิน พวกเขาเล่นกันสนุกสุดเหวี่ยง จึงเหนื่อยล้ากันแล้ว
ทั้งสามเริ่มถูตัวกับอวี๋หวั่น และผลัดกันหาวทีละคน
อวี๋หวั่นลูบหัวน้อยๆ ของพวกเขาอย่างรักใคร่เอ็นดู และช่วยกันพาเด็กทั้งสามไปที่เรือนเล็กใกล้ๆ พร้อมกับเยี่ยนจิ่วเฉา ซึ่งมีไว้เป็นที่พำนักของราชวงศ์โดยเฉพาะ พวกเขาเข้าไปในห้องปีก และวางเด็กน้อยที่สะลึมสะลือง่วงนอนทั้งสามลงบนเตียงที่อ่อนนุ่ม
จื่อซูนำล่วมยากลับไปไว้บนรถม้า ส่วนฝูหลิงก็ยืนเฝ้าอยู่ที่ประตู
พวกเขาทั้งสามปฏิเสธที่จะนอนบนเตียงอย่างเชื่อฟัง แต่กลับไปนอนในอ้อมแขนของอวี๋หวั่นแทน อวี๋หวั่นเอนกายพิงหัวเตียงและใช้มือทั้งสองโอบกอดพวกเขา ตอนนี้พวกเขาไม่ใช่ลิงน้อยที่ผ่ายผอมดังเช่นในอดีตอีกแล้ว สองแขนของเธอโอบกอดพวกเขาไม่หมดอีกต่อไป
เยี่ยนจิ่วเฉาคว้าตัวเสี่ยวเป่ามาอย่างลวกๆ
เสี่ยวเปาอ้าปากและกำลังจะร้องไห้
“หุบปาก!” เยี่ยนจิ่วเฉาดุเสียงเบา
เสี่ยวเป่าหุบปากลงด้วยสีหน้าจ๋อย
อวี๋หวั่นเอ็นดูในท่าทีของเด็กน้อย เมื่อครู่นี้ไม่รู้ใครอยากจะตามท่านพ่อไปใจจะขาด พอมาตอนนี้กลับรู้สึกรังเกียจขึ้นมา
ไม่นานทั้งสามก็ปิดตาลง
อวี๋หวั่นถามถึงทูตหนานจ้าวด้วยเสียงแผ่วเบา “คราวนี้มีใครมาจากหนานจ้าวบ้างหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาบีบแก้มบุตรชายคนเล็ก พลางตอบว่า “มีแม่ทัพเวยหย่วน เสนาบดีคนสำคัญสองสามท่านและราชครูหนึ่งท่าน”
อวี๋หวั่นพึมพำ “แม่ทัพ เสนาบดี ราชครู…ไม่มีราชนิกุลเลยหรือ?”
ไม่ควรเป็นเช่นนั้นสิ มิใช่มาเพื่อขโมยของศักดิ์สิทธิ์หรอกหรือ? จะไม่มีราชนิกุลเลยได้อย่างไร? หรือการนำของศักดิ์สิทธิ์กลับคืนสามารถมอบหมายให้ข้าราชบริพารเพียงไม่กี่คนจัดการได้?
เยี่ยนจิ่วเฉาเดาความสงสัยในใจของอวี๋หวั่น พลันหัวเราะเยาะ “ข้อมูลเรื่องการขโมยของศักดิ์สิทธิ์ถูกประมุขหญิงของหนานจ้าวระงับไปแล้ว แม้แต่ประมุขของหนานจ้าวก็ไม่รู้เรื่องนี้ ยิ่งเป็นเช่นนี้ นางก็ยิ่งไม่สามารถเข้ามาอย่างโจ่งแจ้งได้ ที่นี่น่าจะมีพวกพ้องของนางอยู่ ซึ่งจะช่วยนางตามหาของศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกขโมยไป แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นคนที่นางส่งมา เช่นนั้นจะทำให้คนมองออกง่ายเกินไป”
………………………………………………..