เมื่อไป๋ถังตื่นขึ้นมาก็พบว่ามือขวาของนางกำท่อนไม้และนอนอยู่บนเตียงแปลกๆ นางมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าไม่ใช่ความฝันจึงรีบลุกขึ้นนั่ง เห็นว่าเสื้อผ้ายังคงสภาพสมบูรณ์ และไม่มีอะไรผิดปกติกับร่างกายของนาง ก็พลันรู้สึกโล่งใจ
นางจำได้ว่าทำให้เจ้าสารเลวนั่นสลบไปแล้ว จากนั้นจึงคิดจะไปเรียกผู้ใดบางคน ทว่าในชั่วพริบตานางกลับมานอนอยู่บนเตียงนี้ หรือเพราะสุราออกฤทธิ์ทำให้นางสลบไป?
ไป๋ถังมองท่อนไม้ในมือ พลันสงสัยว่านางมีสิ่งนี้อยู่ในมือได้อย่างไร?
ไป๋ถังกุมศีรษะที่มึนงงลงจากเตียง เมื่อเดินอ้อมฉากกั้นไปก็ต้องสะดุ้งตัวโยน ไยจึงมีคนมานอนอยู่ที่พื้น?
ไม่แปลกที่ไป๋ถังจำเขาไม่ได้ แท้จริงแล้วเห้อเหลียนฉีถูกทำร้ายอย่างหนัก กระทั่งบิดามารดาก็จำเขาไม่ได้อีกต่อไป นับประสาอะไรกับไป๋ถังที่พบเขาเพียงครั้งเดียว?
ทว่าเมื่อไป๋ถังมองเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่ และเหตุการณ์ก่อนที่นางจะ ‘เมาสลบ’ ไป ก็เดาได้ไม่ยากว่า นี่คือชายชาติชั่วที่หมายจะรุกล้ำตน
แปลกจริง ผู้ใดทุบตีเขาแบบนี้?
ไป๋ถังมองไปที่ท่อนไม้ในมือ
เอ่อ…คงไม่ใช่นางหรอกกระมัง? หรือว่านางเมาสุราจนไม่มีสติและลงมือทุบตีชายชาติชั่วนี่?
ไป๋ถังกระแอมไอเล็กน้อย พลางยืดอกอย่างภาคภูมิใจราวกับนางทำเรื่องนี้ด้วยตนเอง อันที่จริงนางก็กล้าหาญมากจริงหรือไม่?
ไป๋ถังนั่งยองๆ ใช้ไม้ดันศีรษะเขา “เหอะ ยามนี้เจ้าคงรู้แล้วว่าข้าเก่งกาจเพียงใด เจ้าคงไม่กล้าคิดร้ายกับข้าอีกกระมัง?”
ในเมื่อได้สั่งสอนคนแล้ว ไป๋ถังก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่ต่อ นางไม่เคยคิดที่จะแจ้งทางการ เพราะเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น สิ่งที่จะเสียหายก็คือชื่อเสียงของครอบครัวฝ่ายหญิง นางไม่อยากให้ตนเองต้องโมโหหากชายผู้นี้ไม่ได้ติดคุก
อีกอย่างเขาก็ถูกนางสั่งสอนอย่างน่าเวทนาจนไม่อาจทนดูได้แล้ว ปมปัญหาในใจของไป๋ถังได้ถูกคลายจนหมดสิ้น ไป๋ถังเดินลงไปชั้นล่างอย่างอารมณ์ดี
ธุรกิจหอจุ้ยเซียนดีมากเกินไป งานยุ่งจนไม่อาจปลีกตัวออกมาได้ ดังนั้นแม้ว่าผู้จัดการจะรู้ว่าไป๋ถังอยู่ชั้นบน เขาก็คิดเพียงว่านางอยู่ในห้องบัญชีของอวี๋หวั่น ไม่ได้สงสัยว่านางเข้าไปในห้องเดียวกันกับชายแปลกหน้า
หอจุ้ยเซียนมีบันไดอยู่สองแห่ง อยู่ห่างจากโถงกลาง ตรงหัวมุมด้านหลังห้องบัญชีจะนำไปสู่ลานด้านหลังได้โดยตรง เดิมทีนางก็ไม่รู้ ทว่ามีบุรุษสองสามคนบอกนาง ไป๋ถังเดินลัดเลาะไปที่ลานด้านหลัง โชคดีที่เด็กๆ ยังอยู่ที่นั่นครบทุกคน พวกเขานั่งยองๆ แหย่มดอย่างมีความสุข ส่วนสารถีรถม้าที่คอยดูแลพวกเขาไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด ไป๋ถังไม่ได้สนใจสารถีรถม้า นางสนใจแค่เด็กๆ
นางเป็นคนพาพวกเขาออกมา หากมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา นางจะอธิบายกับอวี๋หวั่นอย่างไร?
ไป๋ถังเดินเข้าไปหาและใช้สายตากวาดมองขึ้นลง “พวกเจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่?”
ทั้งสามมองนางอย่างงวยงง
ดูแล้วน่าจะไม่เป็นอะไร ไป๋ถังลอบถอนหายใจ เกรงจะทำให้เด็กน้อยตกใจ ไป๋ถังจึงไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดมากนัก
ขณะนั้นจื่อซูและเจียงไห่กลับมาหลังจากซื้อถังหูลู่และขนมพอดี
เด็กน้อยทั้งสามหยิบถังหูลู่คนละไม้และแทะกินอย่างเอร็ดอร่อย
เมื่อเห็นพวกเขากินอย่างไม่สนสิ่งใด หัวใจของไป๋ถังก็พลันสงบลง
เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แม้ไป๋ถังพยายามปกปิด ทว่าหลังจากกลับไปที่จวนคุณชาย ไป๋ถังก็ยังบอกอวี๋หวั่นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไป๋ถังไม่รู้ว่าชายชาติชั่วนั่นเป็นผู้ใด ทราบเพียงเป็นคนต่างถิ่น โดยเดาไม่ออกแม้แต่น้อยว่าเป็นคนต่างประเทศ
อวี๋หวั่นยังไม่รู้ว่าเป็นแม่ทัพเวยหย่วน ทว่าไม่ว่าจะเป็นผู้ใด เพียงแค่กล้าบังคับขืนใจหญิงชาวบ้านกลางวันแสกๆ ก็ถือว่าทำเกินไปแล้ว
“โชคดีที่ท่านมีไหวพริบ” อวี๋หวั่นกล่าว
“เจ้าไม่โทษข้ารึ ข้าเกือบจะทำให้…” ไป๋ถังจ้องมองเด็กชายตัวอ้วนสามคนที่กำลังเลียถังหูลู่
“ข้าจะโทษท่านได้อย่างไร?” อวี๋หวั่นรู้สึกว่าไป๋ถังโทษตนเองมากเกินไป เรื่องแบบนี้เป็นเพียงอุบัติเหตุ หากตำหนินาง จะไม่เป็นการหยุดกินอาหารเพราะสำลัก[1]หรือ?
ไป๋ถังมองอวี๋หวั่นเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้กล่าวตามมารยาท ไป๋ถังยิ่งรู้สึกว่าอวี๋หวั่นไม่ใช่สตรีธรรมดา หากเรื่องนี้เปลี่ยนเป็นนาง เกรงว่าคงไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้ แน่นอนว่าวิสัยทัศน์และจิตใจของคนคือสิ่งที่ทำให้คนสูงส่งอย่างแท้จริง
อวี๋หวั่นแย้มยิ้ม “มื้อเย็นจะทำขาแพะย่างเพื่อปลอบขวัญท่าน!”
ไป๋ถังตบหน้าอกเล็กๆ ของนางแล้วเอ่ยว่า “ปลอบขวัญข้าเรื่องอันใด? เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้าทำให้บุตรเจ้าเป็นเช่นไร? หากจะปลอบ ก็ควรจะปลอบขวัญพวกเขาจึงจะถูก!”
อวี๋หวั่นขำขันนางยิ่งนัก เรื่องนี้นับว่าสงบลงอย่างสมบูรณ์ ทว่าอีกด้านหนึ่งของเมืองหลวง สถานการณ์ของเห้อเหลียนฉีมิได้น่าขำขันเช่นไป๋ถัง
ร่างของเห้อเหลียนฉีถูกพบโดยพนักงานชายของหอจุ้ยเซียน เดิมทีพนักงานชายผู้นี้หมายจะมาบอกให้เห้อเหลียนฉีชำระเงิน ทว่าไหนเลยจะรู้ว่าเห้อเหลียนฉีถูกผู้ใดบางคนทำร้าย พนักงานชายรีบไปแจ้งทางการ หลังคนจากทางการมาถึงก็พบสารถีรถม้าที่สลบอยู่ในโรงเก็บไม้ และได้นำตัวสารถีและเห้อเหลียนฉีไปที่จวนจิงจ้าว จิงจ้าวอิ่นจำเห้อเหลียนฉีได้ จึงแจ้งให้ทูตแห่งหนานจ้าวทราบในทันที
ในงานเลี้ยงงานแต่งงาน เห้อเหลียนฉีทำทุกวิถีทางให้เซียวเจิ้นถิงอับอาย ในยามนี้ถูกคนทำร้ายจนเป็นหัวหมู จิงจ้าวอิ่นไม่อยากเอ่ยว่าสาแก่ใจเพียงใด ทว่าก็ยังต้องพยายามรักษาหน้าของเขาให้ดีที่สุด “…ท่านทั้งหลายโปรดวางใจ ข้าจะสอบสวนคดีนี้อย่างละเอียด และพยายามตามตัวคนร้ายมาให้เร็วที่สุด!”
ตามกับผีน่ะสิ!
คนร้ายคือวีรบุรุษของชาติที่แท้จริง!
จิงจ้าวอิ่นสงสัยว่าหากมิใช่คนบ้าก็คงเป็นเซียวเจิ้นถิง แต่เขาก็ไม่มีหลักฐาน
ทว่ามิใช่เรื่องสำคัญอันใด สิ่งสำคัญที่สุดคือสะใจยิ่งนัก!
ชาวหนานจ้าวก็เข้าใจดีว่าศาลาว่าการต้าโจวไม่มีทางให้ความเป็นธรรมกับเห้อเหลียนฉี พวกเขาอยู่ในศาลาว่าการไม่นานนัก ก็ให้คนพาพวกเขากลับไปที่ที่พำนักชั่วคราว
คณะของหนานจ้าวที่เดินทางมา มีหมอหลวงผู้มากฝีมืออยู่ด้วย เมื่อหมอหลวงผู้นั้นได้จับชีพจรของเห้อเหลียนฉี ก็พบว่าเขาไม่ได้ถูกยาพิษธรรมดา ทว่าคล้ายกับพิษกู่ หมอที่จงหยวนไม่ถนัดเรื่องนี้ ศาสตร์พิษกู่ของหนานเจียงเป็นสิ่งต้องห้าม บรรดาหมอจีนก็อ่านผ่านตามาบ้าง ทว่าพิษกู่ในร่างกายของเห้อเหลียนฉีนั้นแข็งแกร่งมาก ยากที่หมอหลวงจะรักษาได้ จำต้องเชิญราชครูมา
ราชครูจับชีพจรเห้อเหลียนฉี “มันคือราชันสัตว์พิษ”
ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ
แม่ทัพเวยหย่วนถูกคนทำร้าย คนร้ายก็ย่อมเป็นคนจงหยวน เช่นนั้นราชันสัตว์พิษจะมาจากที่ใด?
เมื่อราชครูจับชีพจรของสารถี ก็พบว่าเขาถูกราชันสัตว์พิษเช่นกัน
ทุกคนยิ่งตกตะลึง ราชันสัตว์พิษตัวเดียวไม่พอ ยังมาถึงสองตัว? จงหยวนมียอดฝีมือเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด? หรือคนร้ายที่ทำร้ายแม่ทัพเวยหย่วนเป็นปรมาจารย์พิษ?
แต่จะมีปรมาจารย์พิษในจงหยวนได้อย่างไร?
ทุกคนหันมองราชครูเป็นตาเดียว เขาคือบุคคลหนึ่งเดียวในคณะทูตที่แตกฉานในศาสตร์กู่…
ราชครูขมวดคิ้ว “มิใช่ข้า! ข้าไม่ได้ทำร้ายเขา!”
“โอ้” ทุกคนลดศีรษะลง ไม่อาจแน่ใจได้ว่าพวกเขาเชื่อหรือไม่
ราชครูรู้ว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ ทว่าปรมาจารย์พิษที่ใช้ราชันสัตว์พิษสองตัวได้ในคราวเดียว ไม่ใช่ปรมาจารย์พิษธรรมดาเป็นแน่ เหตุใดบุคคลเช่นนี้จึงปรากฏตัวในจงหยวน? เป็นเรื่องบังเอิญหรือมีจุดประสงค์ใดแอบแฝง?
………………..
ณ จวนคุณชาย เด็กอ้วนทั้งสามอาบน้ำล้างเนื้อตัวจนสะอาด พวกเขานอนบนม้านั่งยาวที่คลุมด้วยผ้าขนหนู ให้อวี๋หวั่นเช็ดตัวอย่างเชื่อฟัง ขณะที่อวี๋หวั่นเช็ดตัวพวกเขา ก็รู้สึกว่าไขมันน้อยๆ บนตัวพวกเขาทั้งสามดูเหมือนเพิ่มขึ้นอีกสองตำลึง
เมื่ออวี๋หวั่นแต่งตัวให้พวกเขาเรียบร้อย ก็บีบจมูกของพวกเขา “เอาละ ได้เวลากลับห้องไปนอนแล้ว”
ทั้งสามไม่ไป
อวี๋หวั่นมองพวกเขาแล้วถามว่า “เป็นอันใดหรือ? เรื่องเมื่อกลางวันทำให้พวกเจ้าตกใจหรือ?”
คิดดูแล้วก็คงใช่ พวกเขายังเล็กมาก จู่ๆ ก็มีชายไว้เคราจับตัวไป๋ถังไม่ปล่อย พวกเขาจะไม่กลัวได้อย่างไร?
อวี๋หวั่นกล่าว “คืนนี้นอนกับแม่แล้วกัน”
ดวงตาของทั้งสามเปล่งประกายพราวระยับในฉับพลัน!
อวี๋หวั่นพาเด็กน้อยที่ (ไม่) ตื่นกลัวทั้งสามกลับห้อง ถอดรองเท้าและดึงผ้าห่มคลุมพวกเขา “แม่จะไปอาบน้ำ พวกเจ้านอนก่อนเถิด ด้านนอกมีฝูหลิงเฝ้าอยู่ มิต้องกลัว”
ทั้งสามพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
บุตรฉันว่านอนสอนง่าย เชื่อฟังที่สุดในโลก
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปากด้วยความโล่งใจ พรมจูบที่หน้าผากเล็กๆ ของทั้งสามคน จากนั้นก็หยิบเสื้อผ้าไปอาบน้ำ
ภายในม่านมุ้ง ทั้งสามคนสลัดผ้าห่มออก ต้าเป่ากดเอ้อร์เป่า เอ้อร์เป่ากดเสี่ยวเป่า ต่อสู้กันบนเตียง
แอด–
ประตูถูกเปิดออก
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปอย่างนุ่มนวล และคลายเอี๊ยมตู้โตว[2]ออก
อวี๋หวั่นหยิบตู้โตว และเปิดม่านมุ้งมองดูเด็กอ้วนตัวน้อยทั้งสามที่หลับตาอยู่ ต้าเป่ากอดเอ้อร์เป่า เอ้อร์เป่ากอดเสี่ยวเป่า ภาพเบื้องหน้าเต็มไปด้วยความรัก หัวใจของอวี๋หวั่นแทบละลาย พลันปิดม่านมุ้งลงอย่างเบามือและเดินออกไปเบาๆ
เมื่ออวี๋หวั่นกลับมาจากการอาบน้ำ เด็กน้อยทั้งสามก็หลับไปแล้ว ทว่าไม่รู้เพราะแสงจากโคมไฟ หรือเธอคิดไปเอง เธอรู้สึกว่าใบหน้าทั้งสามดูปูดบวมฟกช้ำเล็กน้อย…
หลังจากถอดรองเท้า อวี๋หวั่นก็เข้ามุ้งนอน เยี่ยนจิ่วเฉาส่งข่าวมาบอกว่าเขาไปเข้าวัง ไม่ต้องรอทานมื้อเย็น ทว่ามิได้บอกว่าไม่ต้องรอเข้านอน อวี๋หวั่นจึงอยากเฝ้ารอ
อวี๋หวั่นหยิบหนังสือออกมาเปิดอ่านตามปกติ เป็นหนังสือที่วั่นมามามอบให้เธอ มันคล้ายกับแผนที่ของต้าโจว ทว่ามีความหลากหลายมากกว่าแผนที่ มีบันทึกประเพณีท้องถิ่น เรื่องราวของผู้มีชื่อเสียง และข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ เมื่อเทียบกับแผนผังลำดับสายราชสกุลที่น่าเบื่อ เห็นได้ชัดว่าหนังสือเล่มนี้น่าอ่านกว่ามากนัก ที่ผ่านมาอวี๋หวั่นมักจะอ่านอย่างสนุกสนาน ทว่าคืนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น เธอเปิดอ่านเพียงสามสองหน้าก็หาว เธอทนถือต่อไป ทว่าถือได้ไม่นาน ก็งีบหลับไปที่หัวเตียง
เธอสาบานได้ว่าอยากงีบหลับเพียงชั่วครู่เท่านั้น ทว่าเมื่อเธอลืมตาฟ้าก็สว่างเสียแล้ว
เธอดูสับสนมึนงง
“ฮูหยินน้อย ท่านตื่นแล้วหรือ?”
เป็นเสียงของจื่อซู
“ฝูหลิง รีบไปรายงานคุณชาย บอกว่าฮูหยินน้อยตื่นแล้ว!”
ฝูหลิงรีบออกไปอย่างเร็วรี่
อวี๋หวั่นมองไปด้านข้างของเตียงที่ว่างเปล่า “ตื่นเช้าจัง…”
“ฮูหยินน้อย ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง?” จื่อซูเปิดม่านมองอวี๋หวั่นด้วยความกังวล
อวี๋หวั่นมองนางอย่างแปลกประหลาด “ไยมองข้าด้วยสายตาเช่นนี้?” เธอชะงักไปครู่หนึ่ง พลันนึกบางอย่างขึ้นได้ จึงเอ่ยถาม “ข้านอนมานานเพียงใดแล้ว?”
“หนึ่งวันหนึ่งคืน” จื่อซูเอ่ย “ยามนี้ก็ใกล้พลบค่ำแล้วเจ้าค่ะ”
มันเป็นแสงยามเย็น เธอคิดว่าเป็นตอนเช้าเสียอีก…อวี๋หวั่นลุกขึ้นนั่งโดยมีจื่อซูคอยพยุง พลางเอ่ยพึมพำ “ไยข้าจึงหลับไปนานเช่นนี้?”
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินเข้ามา
เด็กอ้วนทั้งสามก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีฟูมฟาย และรีบพุ่งตัวเข้าสู่อ้อมแขนของเธอ
เด็กยิ่งโตก็ยิ่งเข้าใจอะไรมากขึ้น มิได้งอแงเหมือนตอนอายุสองขวบอีกแล้ว เยี่ยนจิ่วเฉาบอกพวกเขาว่าอวี๋หวั่นแค่หลับไป ทว่าในสายตาของพวกเขา ท่านแม่ที่ตื่นเช้าทุกวัน จู่ๆ กลับไม่ตื่นขึ้นมา เป็นสิ่งผิดปกติ ไม่ว่าคนอื่นจะว่าอย่างไรก็ไร้ประโยชน์
“แม่สบายดี” อวี๋หวั่นยิ้มและลูบหัวน้อยๆ ของพวกเขาทั้งสาม เธอไม่เป็นไร เธอแค่ง่วง และร่างกายของเธอก็ไม่ได้รู้สึกไม่สบายแต่อย่างใด
เด็กน้อยทั้งสามเบิกตาโตกว้าง
อวี๋หวั่นยิ้มและเอ่ยว่า “สบายดีจริงๆ แม่แค่ง่วงและอยากนอนก็เท่านั้น”
…………………………………..
[1] หยุดกินอาหารเพราะสำลัก เป็นการอุปมาว่า หมายจะทำการบางอย่าง ทว่าเกรงจะเกิดปัญหาขึ้น เลยไม่ทำเสียดื้อๆ
[2] เอี๊ยมตู้โตว คือ ชุดชั้นในสตรีในสมัยราชวงศ์ชิง มีสายคล้องคอและเชือกผูกเอว มักใช้ผ้าฝ้ายและผ้าไหมเป็นหลัก ลักษณะของสายมี3ประเภท คือ สายทอง สายเงิน และผ้าไหมสีแดง ขึ้นกับฐานะของผู้ใส่