เมิ่งอี๋เหนียงหมดหนทางโต้แย้ง หากกล่าวถึงครั้งที่เกิดขี้นในจวนเฉิงอ๋อง ยังอธิบายได้ว่าเซียวจื่อหลินพลาดพลั้งทำให้พี่สาวของนางได้รับบาดเจ็บโดยไม่ตั้งใจ แต่ครั้งนี้ อาหารจานนั้นต้องถูกนำไปที่ห้องปี้สยา บรรดาญาติสตรีทุกคน เซียวจื่อเยว่และอวี๋หวั่น ไม่มีผู้ใดหลบเลี่ยงไปได้
“ข้า…” หากตอนนี้บอกว่านางพุ่งเป้าไปที่อวี๋หวั่นก็คงไม่ได้เสียแล้ว อย่างไรเสียความคิดที่จะสั่งสอนเซียวจื่อเยว่ไปด้วยก็เป็นความจริง แม้ว่า…นางจะได้รู้จากปากของเซียวจื่อหลินเรื่องที่เซียวจื่อเยว่ป่วย ทว่าหากเซียวจื่อเยว่ได้รับความอับอายต่อหน้าผู้คน บุตรสาวคนเดียวของตระกูลเซียวที่ยังเป็นหน้าเป็นตาก็จะมีเพียงจื่อหลินของนาง…
หากนางคิดได้ ไยฮูหยินใหญ่เซียวจะคิดไม่ได้
ฮูหยินใหญ่เซียวเอ่ยเสียงเย็นชา “เสียแรงที่ข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนฉลาดรู้ดีอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็รู้ดีแค่เรื่องของตัวเอง ยามนี้ดูเหมือนข้าจะคิดผิด คนชั้นต่ำอย่างไรก็คือคนชั้นต่ำ สันดานไม่อาจแก้! ถือเสียว่าเห็นแก่ที่เจ้าเคยปรนนิบัติรับใช้นายท่านมาก่อน ข้าจะไม่ส่งตัวเจ้ากลับไปที่บ้านมารดาของเจ้า ในจวงจื่อเงียบสงบ เจ้าจงปิดประตูสำนึกผิดอยู่ในนั้นแต่โดยดีเถิด!”
“ฮูหยิน!”
สีหน้าของเมิ่งอี๋เหนียงถอดสี จวงจื่อคือสถานที่ที่เลี้ยงดูอี๋เหนียงผู้เฒ่า หากไปแล้วจะไม่สามารถกลับมาได้อีก!
“ฮูหยิน! ฮูหยินท่านโปรดไว้ชีวิตข้าเถิด ข้าขอร้องละ!”
ศีรษะของเมิ่งอี๋เหนียงกระแทกพื้นปั้กๆ อย่างไม่ลดละจนเกิดเป็นรอยม่วงช้ำอย่างรวดเร็ว
นางนึกเสียใจยิ่งนัก หากรู้ว่าเรื่องราวจะบานปลายถึงเพียงนี้ ไม่ว่านางกล่าวอย่างไรก็คงไม่ไปแตะต้องอวี๋หวั่น หากกล่าวแล้วช่างน่าประหลาดยิ่งนัก เด็กสาวผู้นั้นจะโชคดีอะไรปานนี้ ทั้งที่คิดจะจัดการ ไยกลับเป็นนางที่โชคร้ายเสียเอง?
ฮูหยินใหญ่เซียวอดทนกับเมิ่งอี๋เหนียงมาหลายปีแล้ว ทว่าก่อนหน้านี้นางสร้างเพียงปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่สมควรส่งนางออกไป แต่ยามนี้นางทำให้นายท่านใหญ่เกือบตาย หากยังไม่ส่งไป จะเก็บไว้ให้ถึงช่วงปีใหม่หรือ?
“ฮูหยิน…คุณหนูสามยังเล็กเพียงนี้ นางไม่อาจอยู่โดยไม่มีแม่…” เมิ่งอี๋เหนียงโศกเศร้าเสียใจ
“ชั่วช้า! ผู้ใดเป็นแม่ของนาง” ฮูหยินใหญ่เซียวฟาดมือตบโต๊ะ เมิ่งอี๋เหนียงสะดุ้งตกใจ นางเป็นเพียงอนุภรรยา ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะให้เซียวจื่อหลินเรียกว่าแม่ได้ มารดาของเซียวจื่อหลินมีเพียงผู้เดียว คือฮูหยินใหญ่เซียว
ฮูหยินใหญ่เซียวกล่าวว่า “เซียวจื่อหลินเป็นคุณหนูสามของจวนสกุลเซียว ข้าจะปฏิบัติต่อนางไม่ดีได้อย่างไร? เมื่อนางถึงวัย ข้าจะจัดการแต่งงานให้นางอย่างดี เจ้าอย่าได้กังวลไป!”
เมื่อเมิ่งอี๋เหนียงนึกถึงคุณหนูใหญ่จากอนุภรรยาที่ได้แต่งกับคนบ้าที่ไม่มีอะไรดี ก็พลันหนาวเหน็บไปทั้งหัวใจ…
พระชายาเฉิงอ๋องและพี่น้องสตรีกำลังจะแยกย้ายเดินทางกลับ เซียวจื่อเยว่กับอวี๋หวั่นอยู่ส่งพวกนางก่อน จากนั้นก็เดินไปที่ที่อวี๋หวั่นจอดรถม้า
อวี๋หวั่นหยิบกล่องผ้าเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อกว้างของเธอ
“ให้ข้าหรือ?” เซียวจื่อเยว่เปิดดูและเห็นว่าด้านในคือปิ่นปักผมสีทองดอกไห่ถัง นางอดใจรอไม่ไหวรีบหยิบมันขึ้นมา “งดงามยิ่งนัก พี่สะใภ้ช่วยใส่ให้ข้าที!”
อวี๋หวั่นก็ช่วยใส่ให้นาง สายตาเธอไม่ผิดเพี้ยนเลย ปิ่นปักผมชิ้นนี้เข้ากับนางมาก
ด้านข้างบังเอิญมีบ่อน้ำอยู่พอดี เซียวจื่อเยว่รีบเดินไปส่องดูตนเอง “งามยิ่งนัก!”
อวี๋หวั่นคลี่ยิ้ม แน่นอนว่าโดยปกติคุณหนูแห่งสกุลเซียวไม่มีทางขาดแคลนปิ่นปักผม แต่เพราะเธอเป็นคนให้ จิตใจของเด็กน้อยจึงมีความสุขยิ่งนัก
เมื่อเห็นท่าทางไร้เดียงสาเหมือนผ้าขาวของนาง อวี๋หวั่นก็นึกถึง ‘ตัวตน’ ที่เธอเคยเป็นในอดีต ในตอนแรกนางก็เป็นคนที่ไม่คิดอะไรมากแบบนี้เช่นเดียวกัน นางถึงได้ตกหลุมรักบุรุษอย่างจ้าวเหิงกระมัง จ้าวเหิงมีความสามารถเหนือกว่าผู้อื่นอย่างแท้จริง เป็นคนที่มีพรสวรรค์ เต็มไปด้วยภูมิปัญญาด้านการปกครอง อยู่ในกรอบตามประเพณีมีมารยาท มีความมานะพยายาม กตัญญูต่อผู้อาวุโส ไม่ว่ามองอย่างไรก็เป็นบุคคลที่มีศักยภาพดีเลิศ ทว่าหากได้เข้าใจว่าจ้าวเหิงเป็นคนอย่างไรจริงๆ จะรู้ว่าเขาไม่คู่ควรจะดูแลชีวิตของสตรีผู้ใดทั้งสิ้น
จ้าวเหิงเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมาก ในใจของเขามีเพียงตัวเขาผู้เดียว
“พี่สะใภ้ ท่านเป็นอันใดไป? จู่ๆ ท่านก็ไม่กล่าวสิ่งใด” เซียวจื่อเยว่กะพริบตามองอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นหยุดชะงักและเอ่ยว่า “จื่อเยว่ ข้าอยากถามเจ้าว่า ในตอนแรกเจ้าพบกับจ้าวเหิงได้อย่างไร?”
“อา…” เซียวจื่อเยว่ตกใจ ก้มหน้าลงอย่างกระดากใจ
อวี๋หวั่นกล่าว “ข้าหาได้คิดตำหนิเจ้า ข้าเพียงแค่เป็นห่วง หากเจ้าไม่สะดวกใจที่จะเอ่ยก็ไม่เป็นไร ข้าจะไม่บอกฮูหยินใหญ่เซียว”
“ข้ารู้จักที่ชมรมกวีนิพนธ์” เซียวจื่อเยว่เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
อวี๋หวั่นอยู่ในเมืองหลวงมานานแล้ว ย่อมรู้ว่าชมรมกวีนิพนธ์เป็นอย่างไร เป็นสถานที่ที่ผู้รู้หนังสือหัวกระทิและบุตรีชนชั้นสูงจะไปได้ พวกเขาสร้างมิตรเชื่อมสัมพันธ์จากบทกวี งดงามมีระดับ เซียวจื่อเยว่ก็นับว่าเป็นผู้มีความรู้ มีการศึกษา จึงนัดกับเหล่าพี่น้องสตรีไปชมรมกวีนิพนธ์ทางตอนใต้ของเมือง วันนั้นไม่ใช่การแข่งต่อบทกวี แต่เป็นการทายปริศนาโคม เซียวจื่อเยว่ไม่ได้อธิบายขั้นตอนการทายปริศนาโคมอย่างละเอียด ทว่าอวี๋หวั่นไม่อาจเดาได้ว่าจ้าวเหิงจะพยายามดึงดูดความสนใจ และทำให้บุตรีจวนสกุลเซียวตกหลุมรัก
“หลังจากนั้น ข้าก็พบเขาโดยบังเอิญอีกครั้งที่ร้านขายยา”
นางจ้าวตกลงไปในบ่อน้ำจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และยังเป็นอัมพาตนอนอยู่บนเตียง
“เมื่อข้ารู้ว่าเขาคัดลอกหนังสือให้ผู้อื่น ก็เลยซื้อพู่กันกับหมึกของเขา ข้านำพู่กันกับหมึกไปให้ท่านแม่ดู และเชิญเขามาเป็นครูของข้าที่จวนสกุลเซียว ท่านแม่ก็เห็นด้วย ข้าบอกกับท่านแม่ว่า เขาดูมีความสามารถเอาดีได้ตั้งแต่แรกเห็น ไม่สู้เอาใจเขาไว้ยามนี้ ภายภาคหน้าอาจได้ใช้ประโยชน์จากเขา”
ประโยคด้านก่อนหน้านี้ฟังดูไม่มีอะไร ทว่าประโยคหลังกลับทำให้อวี๋หวั่นต้องประหลาดใจ เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่แท้ก็เล่นลูกไม้เพื่ออนาคตของคนที่นางชอบ
“ดังนั้นท่านแม่ของเจ้าเลยส่งเขาไปเรียนที่สำนักบัณฑิตกั๋วจื่อเจียน?” อวี๋หวั่นมองไปที่นาง
เซียวจื่อเยว่พยักหน้า ใบหน้าของนางแดงก่ำ “ข้าแย่มากใช่หรือไม่?”
ไม่ถึงกับแย่ แค่โง่นิดหน่อยเท่านั้น บุรุษอย่างจ้าวเหิงอยู่ห่างได้เท่าใดก็ยิ่งดี ไม่คู่ควรให้นางทุ่มเทใจให้
แรกเริ่มเดิมทีอวี๋หวั่นไม่รู้ว่าเซียวจื่อเยว่กับจ้าวเหิงข้องเกี่ยวกันมากถึงเพียงนี้ นางใช้สมองครุ่นคิดเรื่องจ้าวเหิงอย่างหนักถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าคำพูดสองสามประโยคจะไม่อาจโน้มน้าวใจนางได้ นางก็เหมือนกับเยี่ยนไหวจิ่งที่ดูเชื่อฟังในสายตาของคนทั่วไป คนประเภทนี้ครั้นจะหัวรั้น ต่อให้เอาม้าแปดตัวมาฉุดก็ไม่อยู่
“เฮ้อ” อวี๋หวั่นพาฝูหลิงเข้าไปในรถม้า
“ฮูหยินถอนหายใจด้วยเหตุใด?” เจียงไห่บังคับรถม้าพลางเอ่ยถาม
อวี๋หวั่นเอ่ยอย่างหมดหนทาง “เรื่องของสตรี บุรุษอย่างพวกเจ้าไม่เข้าใจหรอก”
เจียงไห่ที่อยู่ด้านนอกเงียบลง
อวี๋หวั่นคิดว่าเขารู้ความจึงไม่ดึงดันถามต่อ ไหนเลยจะรู้ว่าจู่ๆ ผ้าม่านก็ถูกยกขึ้น และมีฝ่ามือใหญ่หนาหยาบกระด้างยื่นเข้ามา
“นี่ขอรับ”
เจียงไห่กล่าว
น้ำเสียงของเขาแปลกประหลาด คล้ายกับว่าทั้งประหม่าทั้งละอายใจ
อวี๋หวั่นรับมา มันคือน้ำตาลทรายแดงก้อนหนึ่ง
อวี๋หวั่น “…”
เจียงไห่เป็นบุรุษไร้การศึกษา ดูซื่อสัตย์จริงใจ แต่แม้กระทั่งเรื่องแบบนี้ก็เข้าใจ เขาคงเป็นคนหนึ่งที่ผ่านเรื่องราวมามากมายเช่นกัน
อวี๋หวั่นไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เธอรับมาและส่งให้ฝูหลิง ประจำเดือนของเธอไม่ได้มา แต่ฝูหลิงมาแล้ว
สภาพอากาศร้อนอบอ้าวหนักหนา ภายในของรถม้าเหมือนเข่งนึ่ง อวี๋หวั่นเปิดม่านเป็นช่องเล็กๆ ทว่าลมที่พัดเข้ามาก็เป็นลมร้อนเช่นกัน ไม่ได้ทำให้เย็นขึ้นแม้แต่น้อย
เจียงไห่พยายามสุดกำลังที่จะไปตามถนนที่ร่มรื่น ซึ่งต้องขับไปบนถนนเล็กๆ ขณะที่ผ่านซอยเปลี่ยวเงียบสงบ เสียงอุทานของสตรีผู้หนึ่งก็ดังมาจากด้านในซอย “โจร!”
เสียงนี้ฟังดูคุ้นเคย…อวี๋หวั่นเกิดความคิด “เจียงไห่!”
เจียงไห่รู้ใจ รีบกระชับบังเหียนหยุดรถม้าและเอ่ยว่า “ฝูหลิงดูแลฮูหยินให้ดี” จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นกระโดดลงจากรถม้าและรีบวิ่งเข้าไปในซอย
ในซอยเปลี่ยว ฮูหยินที่แต่งตัวดูดีผู้หนึ่งถูกกลุ่มโจรปิดขวางทางไว้ สาวรับใช้ของนางถูกพวกมันตีจนสลบไป พวกโจรกำลังปล้นข้าวของของนางและกระชากเสื้อผ้าของนางจนฉีกขาด ซอยนี้ทั้งมืดทั้งเงียบไร้ผู้คนเดินผ่านไปมา นางร้องจนเสียงแหบแห้ง แต่ก็ไม่มีวี่แววของความหวังใดๆ ทันใดนั้น เงาร่างอันแข็งแกร่งก็กระโดดลงมาจากท้องฟ้า พร้อมกับรัวหมัดเข้าใส่กลุ่มโจรจนล้มลงกองกับพื้น
“ขอบ ขอบ ขอบคุณท่านนักรบมาก” นางเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ
อวี๋หวั่นลงจากรถม้า เดินเข้าไปในซอย ทันทีที่มองเห็นสตรีผู้นั้น เธอก็เอ่ยว่า “ฮูหยินเหยา?”
มิน่าเสียงถึงฟังดูคุ้นหูยิ่งนัก ที่แท้ก็เป็นมิตรสหายคนสนิทของซั่งกวนเยี่ยน ยามอวี๋หวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉาตกลงเรื่องการแต่งงาน ฮูหยินเหยาก็เคยไปที่บ้านสกุลอวี๋ ในวันแต่งงานก็ไปที่จวนคุณชายด้วย ทั้งสองเคยพบกันสองสามครั้ง นับว่ามีความสัมพันธ์ที่ดี
เมื่อเห็นเธอครั้งแรก ฮูหยินเหยายังจำอวี๋หวั่นไม่ได้ ไม่มีเหตุผลอื่นใด เพียงแต่อวี๋หวั่นเปลี่ยนไปจากช่วงก่อนแต่งงานมาก แม้ใบหน้ายังคงเหมือนเดิม ทว่ากลับดูเหมือนเกิดใหม่ ดูสูงส่งสง่างามเกินบรรยาย
………………………………………….