ราชครูปลิวไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่ ดวงตาทั้งสองข้างมืดมิด สลบไปไม่ตื่น
อิ่งสือซันกระชับบังเหียนหยุดรถม้าและใช้วิชาตัวเบาพาคนผู้นั้นออกมา
ราชครูดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง อิ่งสือซันใช้เวลาพินิจอยู่เนิ่นนานกว่าจะจำได้ “นี่คงไม่ใช่…ราชครูแห่งหนานจ้าวหรอกกระมัง?”
วันนี้ราชครูไปประสบกับสิ่งใดมากันแน่…
“คุณชาย” อิ่งสือซันมองไปที่รถม้า
เยี่ยนจิ่วเฉาที่นั่งอยู่ในรถม้าเอ่ยอย่างไม่ได้ใส่ใจ “ไปจวนอีกแห่งที่ภูเขาด้านหลัง”
“ขอรับ”
อิ่งสือซันโยนราชครูขึ้นบนรถม้า คุณชายของเขาเองเกลียดความสกปรก ไม่อาจทนให้นั่งร่วมกับเขาได้ จึงต้องให้เขาลำบากนอนที่เก้าอี้ด้านนอกสักพัก
เก้าอี้ด้านนอกรถกระแทกกระเทือนไปมาอยู่หลายครา จนใบหน้าของราชครูไม่อาจทนมองได้ยิ่งกว่าเก่า
จวนอีกแห่งของเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นที่อาศัยที่ตั้งไว้เฉยๆ ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในป่า ในหนึ่งปีมาพักอยู่ไม่เกินสามหรือสี่ครั้ง ทว่ามีคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์คอยทำความสะอาดทุกสามวันห้าวัน ที่นั่นจึงยังคงสะอาดและงดงาม
คืนนี้ไม่มีเรื่องสำคัญอันใด แต่สิ่งที่เยี่ยนจิ่วเฉามีคือเวลาที่ต้องเสียไปกับราชครู
ภายในบ้านมีไอความร้อนอยู่เล็กน้อย คนรับใช้วางโต๊ะเล็กๆ ไว้ที่ทางเดิน สายลมยามค่ำคืนพัดเอื่อยๆ ชวนให้รู้สึกถึงความเย็นจากป่าเขา
จิ้งจอกน้อยขนสีขาวราวกับหิมะแอบเดินตามมาและนอนลงข้างเท้าของเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างเชื่อฟัง พลางโบกอุ้งเท้าไปมาเพื่อปัดยุงที่มากัดมันเป็นครั้งคราว
อิ่งลิ่วไปสืบเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับราชครู เอ้อร์ยาจากครอบครัวหวังหมาจื่อกับนางหลิวบอกว่าพบบุรุษผู้นั้น อีกฝ่ายยื่นขนมให้และถามนางว่าบ้านสกุลอวี๋อยู่ที่ใด ทว่านางก็วิ่งหนีไม่ได้สนใจเขา อิ่งลิ่วตรงไปที่บ้านสามของสกุลอวี๋ เถี่ยตั้นน้อยบอกอิ่งลิ่วว่ามีผู้อาวุโสท่านหนึ่งมาที่นี่ ถามถึงมารดาของเขาและถูกชิงเหยียนพาตัวไป
“เจ้ากำลังเอ่ยถึงบุรุษที่สูงเท่านี้ ผอมเท่านี้ และมีอายุพอๆ กับลุงใหญ่ของบ้านสกุลอวี๋หรือ?” ชิงเหยียนกล่าว
“ถูกต้อง” อิ่งลิ่วตอบ
ชิงเหยียนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและตัดสินใจบอกความจริงเพียงครึ่งเดียว “ก็มีคนเช่นนี้อยู่ เขามาหาฮูหยินอวี๋เพื่อเจรจาทางการค้า ยามนั้นฮูหยินอวี๋ไปขุดผักอยู่ที่ภูเขาด้านหลัง ข้าจึงพาเขาไป แต่ไหนเลยจะรู้ว่าเส้นทางบนภูเขาไม่ดี เขาหกล้มหัวฟาดพื้นจนสลบไป ข้าก็เลยพากลับมาที่บ้าน คิดว่าหากเขาตื่นแล้วก็จะพาส่งออกจากหมู่บ้าน ทว่าพอเขาตื่นขึ้นมาก็จากไปโดยไม่กล่าวอันใดสักคำ”
ชิงเหยียนไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับราชครู ตอนที่ราชครูสลบอยู่ในห้องก็ยังดูเป็นผู้เป็นคน
อิ่งลิ่วนำเรื่องราวที่สืบมารายงานต่อเยี่ยนจิ่วเฉา “ฮูหยินอวี๋ของราชครูน่าจะหมายถึงฮูหยินสาม ทว่าชิงเหยียนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นฮูหยินใหญ่ จึงพาเขาไปที่ภูเขาด้านหลัง สุดท้ายเขาก็เป็นลมสลบไป”
เหยียนจิ่วเฉากล่าวอย่างเฉยเมย “เข้าใจความหมายของราชครูผิดหรือจงใจล่อราชครูไปหาป้าสะใภ้ใหญ่ เกรงว่าคงมีแต่พวกเขาเท่านั้นที่รู้ความจริง”
“คุณชายหมายความว่า…พวกเขาแอบช่วยฮูหยินอวี๋อย่างลับๆ หรือ? เหตุใดพวกเขาต้องทำเช่นนั้น? พวกเขารู้จักราชครู? หรือพวกเขารู้จักฮูหยินอวี๋? หรือว่า…” ความสงสัยมากมายเกิดขึ้นในใจของอิ่งลิ่ว
เยี่ยนจิ่วเฉาจิบชาและเอ่ยว่า “ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้มุ่งร้ายต่อคนในหมู่บ้านเหลียนฮวา ก็ไม่จำเป็นต้องถามถึงที่มาของพวกเขา”
“ขอรับ” อิ่งลิ่วรับคำ
อิ่งลิ่วชื่นชมความคิดคุณชายของเขาเป็นอย่างมาก หากเป็นเขาคงสืบจนพบคำตอบของสิ่งที่เขาไม่เข้าใจอย่างแน่นอน ทว่าคุณชายสามารถระงับความสงสัย ให้อิสระและให้เกียรติกับอีกฝ่ายได้มากพอ
จิตใจเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่พบได้ในคนทั่วไป
“คุณชายคิดจะจัดการอย่างไรกับเขา?” อิ่งสือซันถาม
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยอย่างเย็นชา “เก็บไว้ก็เป็นเสี้ยนหนาม หากจะทำก็ต้องจัดการให้เด็ดขาด ฆ่าเขาซะ”
“โปรดไว้ชีวิต!”
สิ้นเสียงพูดของเยี่ยนจิ่วเฉา เงาร่างสีดำก็กวาดผ่านมาในอากาศ อิ่งสือซันรีบยืนกั้นไว้ด้านหน้าเยี่ยนจิ่วเฉา พร้อมกับชักดาบออกมาอย่างเย็นชา และกำลังจะเหวี่ยงดาบ เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยเสียงเรียบ “อิ่งสือซัน”
การเคลื่อนไหวของอิ่งสือซันหยุดชะงัก
อิ่งลิ่วเดินเข้าไปอยู่ข้างเขา พลันจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหี้ยมโหด
บุรุษผู้นั้นลอยขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะร่อนลงอย่างสง่างามในเรือนที่ดอกพุดซ้อนบานสะพรั่ง
จิ้งจอกหิมะตัวน้อยเบิกตากว้างด้วยความระแวดระวัง พร้อมกับแยกเขี้ยวขู่อีกฝ่าย
ผู้มาเยือนมาพร้อมกับพัดในมือ เขายกมือคำนับเยี่ยนจิ่วเฉาแบบไม่เป็นทางการ “เยี่ยนซื่อจื่อ”
เยี่ยนจิ่วเฉายกถ้วยขึ้น “ไป๋เสี่ยวเซิง”
ทั้งอิ่งสือซันและอิ่งลิ่วต่างตกตะลึง บุรุษที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราและอัปลักษณ์ผู้นี้ก็คือไป๋เสี่ยวเซิงที่ชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วยุทธจักร มีข่าวลือว่าไป๋เสี่ยวเซิงมีหน้ากากหนึ่งพันชิ้น ไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา ดังนั้นที่เห็นอยู่ตอนนี้ก็คงไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงของเขาเช่นกัน
ช่างน่าประหลาด เหตุใดถึงมาที่นี่ได้?
ไป๋เสี่ยวเซิงก็แปลกใจเช่นกัน ทว่าเป็นคนละเรื่องกันพวกเขา ไป๋เสี่ยวเซิงเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวด้วยรอยยิ้ม “เยี่ยนซื่อจื่อทราบได้อย่างไรว่าเป็นข้า ข้ากับท่านเหมือนไม่เคยพบกัน แม้จะเคยพบกันก็ตาม และนั่นก็ไม่ใช่ใบหน้านี้ ข้าใช้ใบหน้านี้เป็นครั้งแรกเชียวนะ”
เยี่ยนจิ่วเฉาจิบชา “จวนแห่งนี้กระทั่งภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่ของข้าก็ยังไม่เคยมา นอกจากไป๋เสี่ยวเซิงจะมีผู้ใดมาพบที่นี่ได้อีก?”
ไป๋เสี่ยวเซิงแสยะยิ้ม “คำสองคำก็พระชายาซื่อจื่อ ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับภรรยาใหม่จะไปได้ดียิ่ง”
เยี่ยนจิ่วเฉาส่งสายตาให้อิ่งสือซัน อิ่งสือซันเดินไปนำตะกร้าไข่สีแดงจากในห้องครัวออกมา
ไป๋เสี่ยวเซิงมองไข่สีแดงที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นมุมปากก็กระตุกอย่างรุนแรง “ไม่จำเป็นต้องดีถึงเพียงนี้ก็ได้…”
อิ่งสือซันกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ซื่อจื่อให้เจ้า ยังไม่รีบรับน้ำใจอีก?”
“เฮ้อ” ไป๋เสี่ยวเซิงถอนหายใจอย่างหมดหนทาง พลันหยิบไข่สีแดงสามฟอง
“หยิบได้แค่สองฟอง” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
ไป๋เสี่ยวเซิงวางไข่ฟองหนึ่งกลับลงไปเงียบๆ และเก็บไข่สีแดงที่เหลืออีกสองฟองไว้ในแขนเสื้อ
ไป๋เสี่ยวเซิงเดินเข้าไปหาเยี่ยนจิ่วเฉา อิ่งสือซันเข้ามาขวางทางไว้ เยี่ยนจิ่วเฉาส่งสัญญาณมือ อิ่งสือซันจึงหลีกทางไป เมื่อไป๋เสี่ยวเซิงเดินไปถึงบันไดหิน ก็ถอดรองเท้าและสวมชุดสีขาวธรรมดาเดินไปบนพื้นที่สะอาดปลอดฝุ่น พลันดึงเบาะรองใต้ตัวจิ้งจอกหิมะตัวน้อยมานั่งลงตรงข้ามเยี่ยนจิ่วเฉา
จิ้งจอกน้อยจ้องมองบุรุษผู้หยาบคายที่แย่งเบาะรองนั่งไปด้วยความคับแค้นใจ วิ่งออกไปลับเล็บบนเสื่อของตนเอง
เยี่ยนจิ่วเฉาเติมชาลงในถ้วยของตนเองโดยไม่สนใจไป๋เสี่ยวเซิง “เจ้าขอให้ข้าไว้ชีวิตคน เจ้ามาที่นี่เพราะคนที่อยู่ข้างในนั้นรึ?”
ไป๋เสี่ยวเซิงที่ถูกเมินเฉยไม่ได้รู้สึกกระดากอาย เขาหยิบถ้วยมารินชาให้ตนเอง เขาจิบไปอึกหนึ่งถึงได้รู้ว่ารสชาติขมยิ่ง “ท่านดื่มชาเข้มเช่นนี้กลางดึก ไม่คิดจะนอนแล้วหรือ?”
“ข้าถามเจ้าอยู่” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
ไป๋เสี่ยวเซิงหยิบขนมดอกกุ้ยฮวากลิ่นหอมหวานออกมา กัดสองคำเพื่อกลับความเข้มของรสชา พลางเอ่ยช้าๆ “ใช่ ข้ามาที่นี่เพื่อเขา”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวเย้ยหยัน “ที่แท้ไป๋เสี่ยวเซิงแห่งยุทธจักรก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับหนานจ้าว ช่างเป็นการเปิดหูเปิดตาข้ายิ่งนัก”
ไป๋เสี่ยวเซิงแบมืออย่างช่วยไม่ได้ “จะว่าเกี่ยวข้องก็ไม่เชิง ข้าเพียงแค่ติดหนี้บุญคุณเจ้านายของเขา ข้าไม่อาจเห็นเขาตายด้วยน้ำมือของซื่อจื่อ”
เยี่ยนจิ่วเฉาเหลือบมองเขา “เช่นนั้นเจ้าก็ควรรู้ว่าข้าไม่ใช่คนที่เห็นแก่หน้าผู้ใดง่ายๆ”
ไป๋เสี่ยวเซิงยิ้มและเอ่ยว่า “เป็นเรื่องธรรมดา ข้าไม่มีทางให้ท่านส่งตัวคนมาให้ข้าโดยเปล่าประโยชน์ หากซื่อจื่อต้องการสิ่งใดขอแค่บอกข้ามา ข้าจะทำอย่างสุดกำลัง”
“โอ้?” เยี่ยนจิ่วเฉาเลิกคิ้ว “ไป๋เสี่ยวเซิงแห่งยุทธจักร นอกจากการสืบข่าวแล้วยังมีทักษะอื่นอีกหรือ?”
ไป๋เสี่ยวเซิงจับคางของเขา “ก็ไม่มีหรอก ดังนั้นซื่อจื่อต้องการรู้สิ่งใด ท่านเอ่ยมาได้เต็มที่เลย”
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยอย่างเย็นชา “ชีวิตคนไม่อาจแลกได้ด้วยข้อมูลเพียงสิ่งเดียว ไป๋เสี่ยวเซิง เจ้ากล้าแหกกฎที่เจ้าตั้งไว้มาตลอดเวลาหลายปีที่อยู่ในยุทธจักรเพื่อคนผู้นี้หรือไม่?”
ไป๋เสี่ยวเซิงแห่งยุทธจักร จะยอมขายข่าวเพียงข่าวเดียวให้กับคนหนึ่งคน และตลอดชีวิตของคนผู้นั้นก็จะไม่มีโอกาสซื้อข่าวจากไป๋เสี่ยวเซิงอีกเป็นครั้งที่สอง
ไป๋เสี่ยวเซิงกล่าวด้วยความหดหู่ “โอ้ ผู้ใดให้ข้าต้องเป็นหนี้เจ้านายของเขากันนะ”
เยี่ยนจิ่วเฉามองเขาด้วยความสงสัย “ข้าเริ่มอยากรู้นิดหน่อยแล้วว่าเหตุใดเจ้าถึงเป็นหนี้เจ้านายของเขาได้?”
“ข้าคิดว่าท่านคงอยากรู้ว่าเจ้านายของเขาคือผู้ใด” ไป๋เสี่ยวเซิงยิ้ม
“เจ้าบอกไม่ได้” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยอย่างเฉยเมย
ไป๋เสี่ยวเซิงพยักหน้า “ใช่ เรื่องนี้ข้าบอกท่านไม่ได้”
ไป๋เสี่ยวเซิงหัวเราะ “ข่าวลือไม่อาจเชื่อถือ เยี่ยนซื่อจื่อเป็นคนฉลาดหลักแหลมเพียงนี้ หาใช่ขยะในประชากรใต้หล้า เช่นนั้นซื่อจื่อ ท่านต้องการทราบสิ่งใด?”
ปลายนิ้วเรียวยาวของเยี่ยนจิ่วเฉายกกาน้ำชาขึ้นรินให้ไป๋เสี่ยวเซิง “ราชบุตรเขยแห่งหนานจ้าว”
ไป๋เสี่ยวเซิงที่กำลังกินขนมพลันหยุดชะงัก ราวกับทั้งจวนเงียบสงัดลงทันใด
คนรับใช้กลับบ้านไปพักผ่อนแล้ว ภายในจวนเหลือเพียงอิ่งลิ่วและอิ่งสือซัน
“โถ่” ไป๋เสี่ยวเซิงทอดถอนใจเบาๆ พลันวางขนมในมือลง “หากท่านบอกให้ข้าไปนำชุดเกราะของเซียวเจิ้นถิงมาแลกเปลี่ยนยังดีกว่าเป็นไหนๆ”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างไม่เกรงใจ “เห้อเหลียนฉีพ่ายแพ้แล้ว ชุดเกราะนั่นก็อยู่ในกระเป๋าของข้า หากเจ้าเอาเรื่องนี้มาเจรจาต่อรองกับข้า กำลังทำตัวเป็นขอทานอยู่หรือ?”
“ขออภัยที่ต้องเอ่ยตามตรง เหตุใดท่านจึงต้องการรู้เรื่องของราชบุตรเขยแห่งหนานจ้าวหรือ?” ไป๋เสี่ยวเซิงคลี่พัดในมือ สุนัขจิ้งจอกตัวน้อยพยายามดึงเบาะจนเหนื่อยล้า นั่งหมดเรี่ยวแรงหอบหายใจอยู่บนพื้น ไป๋เสี่ยวเซิงพัดให้มันด้วยความเป็นห่วงอย่างยิ่ง
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “คืนนี้เจ้ามาขอเจรจากับข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์ถามคำถาม”
ไป๋เสี่ยวเซิงหัวเราะเยาะตนเอง “ข้าเคยได้ยินเรื่องราวที่น่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่ง ในยามนั้นฝ่าบาทถูกศัตรูล้างแค้น ทว่าศัตรูไม่อาจเข้าไปล้างแค้นกับฝ่าบาทที่อยู่ลึกในวังหลวงได้ จึงไปลักพาตัวเยี่ยนอ๋อง เยี่ยนอ๋องไม่ต้องการให้พวกเขาใช้ตนเป็นเครื่องมือคุกคามฝ่าบาท จึงวิ่งเข้าไปรับดาบของศัตรูด้วยความวิตกกังวล ยามที่ฝ่าบาทมาถึงร่างของเยี่ยนอ๋องก็เย็นเสียแล้ว สิ่งที่น่าสนใจก็คือ คนรับใช้ที่มาเปลี่ยนผ้าห่อศพของเยี่ยนอ๋อง พบว่ามีตะกอนดินทรายในจมูกและปากของพระองค์ ผู้ที่จมน้ำตายเท่านั้นที่จะสูดตะกอนดินทรายเข้าไปในจมูกและปากได้ เยี่ยนอ๋องถูกดาบแทงตาย ตามหลักแล้วจึงไม่ควรมีสิ่งนี้ ซื่อจื่อเห็นว่าอย่างไร?”
…………………………………………