หลังจากเหล่าบุรุษมุ่งหน้าเข้าสู่สวนล่าสัตว์ สตรีญาติก็ออกเดินทางสู่สวนชมสัตว์ ภายใต้การนำของฮองเฮา สตรีในวังหลังแทบไม่มีโอกาสได้ออกมาจากวังหลัง อย่าว่าแต่การเยี่ยมชมสัตว์หายาก แม้แต่การได้เห็นดอกไม้ป่าและวัชพืชเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะทำให้พวกนางเพลิดเพลิน เจินเฟยและอวี้เฟยมีความสุขมาก ทว่าสีหน้าของสวี่เสียนเฟยกลับดูย่ำแย่เล็กน้อย
คิดๆ ดูแล้วก็ไม่น่าแปลกใจ การแต่งงานระหว่างเฉิงอ๋องกับองค์หญิงแห่งซยงหนูดำเนินไปอย่างราบรื่น แม้จะมีปัญหาเล็กน้อยเกิดขึ้นในพิธีเฉลิมฉลองก็ตาม ทว่าจุดด่างพร้อยเพียงเล็กน้อยก็ไม่อาจปิดบังจุดเด่นได้ ตำแหน่งของฮองเฮามั่นคงขึ้น เดิมทีสวี่เสียนเฟยสามารถพึ่งพาบุตรของตนเพื่อบดขยี้ฮองเฮา ทว่าเยี่ยนไหวจิ่งบุตรของนางกลับเกิดเรื่องขึ้น แม้กระทั่งงานแต่งงานของเฉิงอ๋องก็ไม่อาจมาร่วมได้ ตำหนักเสียนฝูของนางเริ่มจะเงียบเหงาไร้เงาผู้คน สิ่งเดียวที่ทำให้นางพึงพอใจคือ จวนอัครมหาเสนาบดียังคงยึดมั่นในการแต่งงานระหว่างหานจิ้งซูกับเยี่ยนไหวจิ่ง
นางรอคอยอย่างอดทน ยังมีโอกาสที่จะพลิกสถานการณ์กลับมาอีกครั้ง
เพียงแต่ก่อนจะถึงเวลานั้น นางจำต้องอดทนมองดูฮองเฮาสยายปีกพญาหงส์ต่อหน้านาง ซึ่งมิใช่ความรู้สึกที่ดีนัก
“น้องเสียนเฟยรู้สึกไม่สบายหรือ?” ฮองเฮาจูงมือองค์หญิงจิ่ว ส่งยิ้มให้สวี่เสียนเฟยที่อยู่หลังนางเพียงครึ่งก้าว
สนมเฟยขั้นหนึ่งทั้งสี่ ล่วงลับไปสามคนแล้ว ยามนี้เหลือเพียงสวี่เสียนเฟย นางอยู่หลังฮองเฮาเท่านั้น อยู่ใกล้กับฮองเฮามากที่สุด ไม่เหมือนกับอวี้เฟย เจินเฟยและคนอื่นๆ ที่อยู่หลังกว่าสองหรือสามก้าว
ทว่าพระสุรเสียงของฮองเฮา พวกนางก็ยังคงได้ยินชัดเจน
หากจะบอกว่าผู้ใดรู้สึกขัดหูขัดตาที่ฮองเฮากลับมาเป็นที่โปรดปรานมากที่สุด นั่นก็คือสวี่เสียนเฟย เพราะไม่ว่ามองจากมุมใด บุตรของเจินเฟยและอวี้เฟยก็ไม่มีโอกาสได้เป็นรัชทายาท พวกนางจึงไม่ต้องคิดเรื่องช่วงชิงตำแหน่งหลักในวังหลัง ทว่าต่างจากสวี่เสียนเฟย นางพยายามวิ่งไล่ตามตำแหน่งฮองเฮาเสมอ ยามนี้ฮองเฮาออกจากตำหนักเฟิ่งชีแล้ว เส้นทางสู่ฮองเฮาของสวี่เสียนเฟยอาจยากลำบากขึ้นกว่าเดิม
ฝั่งฮองเฮา ผู้ที่น่าหวาดกลัวที่สุดก็ต้องเป็นสวี่เสียนเฟยเช่นกัน แม้ต่อหน้าฮองเฮาจะดูเป็นห่วงเป็นใยนาง ทว่าผู้ใดสามรถบอกได้ว่ามิได้กำลังฉีกหน้านาง?
ทั้งสองแอบคาดเดาว่าสวี่เสียนเฟยจะตอบอย่างไร และก็ได้ยินสวี่เสียนเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มเริงร่า “ท่านพี่กังวลเกินไปแล้ว น้องรู้สึกสบายยิ่งนัก ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจตอบรับฝ่าบาทว่าจะมาเยี่ยมชมสวนได้”
อวี้เฟยและเจินเฟยมองหน้ากัน สวี่เสียนเฟยมาเพราะฮ่องเต้เป็นคนเชิญ? ฮองเฮาคงไม่อาจสบายใจได้อีก
เป็นดังคาด ดวงตาของฮองเฮาเย็นชา ทุกคนที่เดินตามหลังนางไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีแปลกประหลาด ทว่าองค์หญิงจิ่วที่ถูกจูงสัมผัสถึงความเจ็บปวดที่มือน้อยๆ ได้อย่างชัดเจน ฮองเฮาบีบมือนางแน่นเกินไป
ไฟโทสะของฮองเฮาสงบลงอย่างรวดเร็วมาก นางคลายมือที่จับองค์หญิงจิ่วอย่างอ่อนโยน และลูบหัวองค์หญิงจิ่ว “ไปเล่นกับพี่สะใภ้เจ้าเถิด”
ครั้งนี้องค์หญิงจิ่วไม่เขินอาย นางเดินไปหาอวี๋หวั่นอย่างเชื่อฟัง
อวี๋หวั่น จื่อซูกับฝูหลิงจูงเด็กชายอวบอ้วนทั้งสาม ส่วนเธอเองก็จูงมือองค์หญิงจิ่ว
องค์หญิงจิ่วตกตะลึง
มือของพี่สะใภ้สากด้าน ไม่นุ่มอย่างพระหัตถ์ของฮองเฮา ทว่ามือของพี่สะใภ้กลับเหมือนมือมารดาแท้ๆ ของนางมากกว่า
ฮองเฮาแย้มยิ้ม “ได้ยินว่าองค์หญิงสือป่วยไข้ พี่คิดว่าน้องจะอยู่ดูแลนางอยู่ที่ตำหนักเสียนฝูเสียอีก”
องค์หญิงสือเป็นธิดาของสวี่เสียนเฟย เกิดปีเดียวกับกับองค์หญิงจิ่ว ทว่าคนหนึ่งต้นปี คนหนึ่งปลายปี ทั้งสองคนอายุเท่ากันแต่ชะตาชีวิตต่างกัน องค์หญิงจิ่วเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวในหวงจื่อเตี้ยน ทว่าองค์หญิงสือได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจากสวี่เสียนเฟย
องค์หญิงจิ่วจำน้องสือได้ นางมักอยู่กับมารดาสนมเฟยเสมอ องค์หญิงจิ่วอิจฉาที่นางมีมารดาสนมเฟยของตนเองยิ่งนัก ทว่าแม่นมบอกว่ายามนี้นางไม่ต้องอิจฉาอีกแล้ว เพราะนางมีมารดาซึ่งเป็นฮองเฮา และมารดาฮองเฮาก็จะดีกับนางเช่นเดียวกับองค์หญิงสือ
องค์หญิงสือหายจากอาการป่วยแล้ว ทว่าสวี่เสียนเฟยขี้เกียจไปถวายบังคมฮองเฮา จึงใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้าง
สวี่เสียนเฟยปั้นหน้ายิ้ม “ขอบพระทัยฮองเฮา องค์หญิงสือดีขึ้นมากแล้ว”
ฮองเฮาคลี่ยิ้มและกล่าวกับแม่นางชุยที่อยู่ด้านข้าง “ข้าจำได้ว่าทูตหนานจ้าวส่งบัวหิมะเทียนซานมาให้สองดอก ดอกหนึ่งส่งให้องค์หญิงสือ อีกดอกหนึ่งส่งไปที่ตำหนักของพระสนมเจาเฟย”
“เพคะ” แม่นางชุยรับคำ
ทุกคนต่างประหลาดใจ ของดีเช่นนี้ปูนบำเหน็จให้องค์หญิงสือ อาจกล่าวได้ว่าช่วยฟื้นฟูร่างกายของนาง ทว่าปูนบำเหน็จให้สนมเจาด้วยเหตุใดเล่า? แม้จะทราบว่าสนมเจาเฟยอยู่ในค่ายของฮองเฮา ทว่ามิได้มีความสำคัญเป็นการส่วนตัว คนอื่นๆ ต่างได้รับทุกอย่างเท่าเทียม ฮองเฮาปูนบำเหน็จให้นางอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ คงต้องมีเหตุผลที่ให้รางวัลนางกระมัง
“พระสนมเจากำลังตั้งครรภ์” ฮองเฮากล่าวด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนตกตะลึง สวี่เสียนเฟยตัวแข็งทื่อ
ฮองเฮาแก่ชราแล้ว นางรู้ตัวดีว่าไม่อาจมีราตรีที่เร่าร้อนได้อีก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการตั้งครรภ์ ทว่าสวี่เสียนเฟยกลับไม่ยอมรับชะตากรรม นางรอคอยที่จะให้บุตรอีกคนแก่ฮ่องเต้มาโดยตลอด ทว่าน่าเสียดายที่โชคชะตากลั่นแกล้ง ท้องของนางยังคงสงบนิ่ง ทว่าเจาเฟยกลับได้ไป
ต้องบอกว่าเจาเฟยยังโชคดี เพราะเมื่อเจาเฟยได้เห็นสภาพที่ฮ่องเต้หัวโล้น นางตกใจจนเสียกิริยา ตามหลักแล้วชั่วชีวิตนี้นางคงมิได้พบฮ่องเต้อีก ทว่าไม่นานนางกลับได้รับการตรวจว่ามีชีวิตน้อยๆ เกิดขึ้นแล้ว
แน่นอนว่าฮองเฮาไม่ทราบเรื่องสนมเจาเฟยเกือบจะสูญเสียความโปรดปราน และยังคงคิดว่าสนมเจาเฟยเป็นที่เชิดหน้าชูตาให้แก่นาง
ในวัยนี้ยังทำให้สตรีตั้งครรภ์ได้ ฮ่องเต้รู้สึกว่าตนเองเป็นมีดเก่าที่ยังคมกริบ อดไม่ได้ที่จะชื่นชมยินดี เขาปูนบำเหน็จแก่สนมเจาเฟยและฮองเฮา ชื่นชมสนมเจาเฟยที่สามารถตั้งครรภ์ และยกย่องฮองเฮาที่ปกครองวังอย่างมีคุณธรรม
วาจาเหล่านี้ฮองเฮาไม่อาจกล่าว แม่นางชุยเล่าเองอย่างสมจริงสมจัง หลังจากฟังประโยคสุดท้าย ใบหน้าของสวี่เสียนเฟยก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ
คำที่ดีอย่างปกครองวังอย่างมีคุณธรรม ราวกับไม่กี่ปีที่ผ่านมา วังหลังไม่สุขสงบเพราะนางแอบทำเรื่องไม่ดีอย่างนั้นละ!
ฝ่าบาทก็ไม่คิดเสียหน่อยเล่าว่า หากนางมีแผนร้ายจริง จะยังมีองค์ชายองค์หญิงที่เกิดมาหลังจากจิ่งเอ๋อร์หรือ?!
แน่นอนว่า ก่อนที่เยี่ยนไหวจิ่งจะถือกำเนิด นางคิดไม่ซื่อต่อบุตรหลาน ทว่านั่นก็เป็นอดีตไปหมดแล้ว ฮ่องเต้จะผลักความผิดทั้งหมดมาให้นางได้อย่างไร? การยอมรับว่าตนเองอายุมากเกินกว่าจะทำให้สนมนางในตั้งครรภ์ได้อีกยากมากเลยหรือ?
สวี่เสียนเฟยทราบดีว่าลึกๆ ในใจของนางคือวาจาเกรี้ยวกราดและหยาบคายที่ไม่อาจเอ่ยออกจากปากได้ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ต่างกับการฆ่าตัวตาย
นางลอบถอนหายใจ แผนการของฮองเฮาล้ำหน้าขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครู่หากไม่ควบคุมสติ นางก็เกือบจะเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกมาแล้ว โชคดีที่นางกลับตัวทัน
เมื่อฮองเฮาเห็นว่าสวี่เสียนเฟยระงับอารมณ์ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานไว้ได้ ก็พลันหัวเราะเยาะ และจับข้อมือของแม่นางชุย เดินมุ่งหน้าไปยังสวนชมสัตว์เยี่ยงพญาหงส์
เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น อวี๋หวั่นไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงแต่จับมือองค์หญิงจิ่วอยู่เงียบๆ ขณะเดียวกันก็มองดูเด็กอ้วนทั้งสามที่กำลังทอดสายตามองไปด้านข้างด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอรับรู้การเผชิญหน้าระหว่างฮองเฮากับสวี่เสียนเฟย ทว่านี่หาใช่เวลาที่ควรขัดจังหวะ
หานจิ้งซูที่เดินอยู่ข้างเธอก็ยังคงนิ่งเฉยอย่างเชื่อฟัง ในที่สุดสตรีผู้นี้ก็เลือกที่จะให้อภัยเยี่ยนไหวจิ่ง อวี๋หวั่นหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเยี่ยนไหวจิ่งจะเห็นความดีของหานจิ้งซู และเลิกคิดถึงเธอตั้งแต่นี้ไป
ในส่วนลึกของป่าเม่า ฮ่องเต้ล่าเหยื่อตัวแรกต่อหน้าทุกคนได้สำเร็จ ซึ่งก็คือกวางตัวผู้ที่โตเต็มวัย ทุกคนปรบมือยินดี ฮ่องเต้ก็มีความสุขยิ่ง เขาสั่งให้ทหารองครักษ์นำกวางไปเคี่ยวเป็นมื้อเย็น เพื่อสร้างความบันเทิงให้กับทุกคน
เมื่อฮ่องเต้ล่าสัตว์ตัวแรกสำเร็จแล้ว การล่าสัตว์ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ เยี่ยนไหวจิ่งมิได้มา องค์ชายสามจึงกลายเป็นรัชทายาทที่น่าจับตามองที่สุดในยามนี้ ไม่นานเขาก็ล่ากวางได้เช่นกัน ทว่าตัวเล็กกว่าของฮ่องเต้หนึ่งวงรอบ
เหล่าขุนนางต่างชื่นชมว่าปรีชาสามารถเชื้อไม่ทิ้งแถว ฮ่องเต้ทรงปลื้มปีติยิ่ง มองบุตรชายคนที่สามที่ถูกเยี่ยนไหวจิ่งกลบความโดดเด่นมาตลอดใหม่อีกครา แม้ว่าบุตรชายคนที่สามจะไม่เก่งทั้งบู๊และบุ๋นเยี่ยงบุตรชายคนที่สอง ทว่าก็ยอดเยี่ยมมากเช่นกัน หลายปีแล้วที่ละเลยบุตรผู้นี้
“วันนี้ครอบครัวองค์ชายสามมาเข้าวังหรือไม่?” ฮ่องเต้ตรัสถามขันทีวังที่อยู่ด้านข้าง
ขันทีวังกล่าวว่า “มารดาของพระชายาองค์ชายสามไม่สบาย นางจึงเดินทางไปเยี่ยมแล้ว”
แท้จริงแล้วพระสนมขององค์ชายสามแท้งเป็นอาจิณ องค์ชายสามจึงสงสัยว่าพระชายาของตนเป็นคนทำ นางจึงทะเลาะกับเขาครั้งใหญ่ และวิ่งกลับไปหาครอบครัวของนาง ครอบครัวของนางเกรงว่าหากแพร่งพรายออกไปคงไม่ดีนัก จึงประกาศว่ามารดาของพระชายาองค์ชายสามเจ็บป่วยแทน
ขันทีวังไม่ได้บอก เพราะคิดว่าสิ่งที่ฮ่องเต้ทรงอยากฟังไม่ใช่เรื่องนี้เป็นแน่
ฮ่องเต้ตรัสว่า “ส่งโสมสองต้นไปให้ฮูหยินสวี”
พระชายาองค์ชายสามแซ่สวี
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีวังรับคำสั่ง แล้วรีบเรียกตัวขันทีน้อยที่มีความสามารถให้ไปเลือกโสมจากคลังเก็บของ
องค์ชายสามใช้ธนูได้ดีดั่งเทพเจ้า หลังจากล่ากวางได้แล้ว ก็ยังมีแพะป่าหนึ่งตัว อีแร้งหนึ่งตัว และกระต่ายอีกสามตัว เรียกว่าได้เป็นกอบเป็นกำ องค์ชายสี่ไม่เชี่ยวชาญเท่าเขา ทว่าเขาก็ล่าตัวนิ่มได้หนึ่งตัว มีเพียงองค์ชายใหญ่และเฉิงอ๋องที่สองมือว่างเปล่า
ทั้งสองขี่ม้า ควบไปควบมาก็ชนกัน
ใต้ดวงตาขององค์ชายใหญ่เป็นสีเขียวคล้ำ เฉิงอ๋องก็เช่นกัน
เฉิงอ๋องเสียขวัญกับใบหน้าปูดบวมฟกช้ำของพระชายา ทำให้ฝันร้ายมาหลายคืน ส่วนองค์ชายใหญ่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงนอนหลับไม่สนิท
เฉิงอ๋องกำลังจะกล่าวทักทายพี่ชาย ทว่าจู่ๆ เขาก็เห็นกระต่ายตัวอวบอ้วนตัวหนึ่งซ่อนตัวอยู่หลังพงหญ้า กระต่ายสีเทา สีสันไม่สะดุดตา ทว่าเขาเดินเข้าไปใกล้จึงสังเกตเห็น
ไม่นานองค์ชายใหญ่ก็สังเกตเห็นเช่นกัน
ทั้งสองมองไปที่กระต่ายโดยมิได้นัดหมาย จากนั้นก็สบตากัน
เฉิงอ๋องกระซิบ “เหตุใดท่านพี่ไม่จัดการเล่า?”
องค์ชายใหญ่กล่าวว่า “น้องห้าพบมันก่อน มันก็ควรจะเป็นของน้องห้า”
เฉิงอ๋องกล่าวว่า “ไม่ๆๆ เป็นของท่านพี่นั่นแหละ”
ทั้งสองเกี่ยงกันไปมาอยู่สักพัก ในที่สุดองค์ชายใหญ่ก็ทนไม่ไหว พลันจ้องมองอย่างมีโทสะ “ข้ายิงไม่แม่น เจ้าไม่รู้รึ! อยากเห็นข้าอับอายรึ!”
เฉิงอ๋อง “…”
“เช่น…เช่นนั้นข้าจะยิงเอง” เฉิงอ๋องง้างธนู
องค์ชายใหญ่จ้องมองเขาอย่างเย็นชา กล้ายิงก็ลองดู! ! !
เฉิงอ๋อง “…”
…
“ผู้ใดยังล่าไม่ได้?” ฮ่องเต้ลงจากหลังม้า พักผ่อนในกระท่อมไม้เล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกล
ในป่ามีทหารองครักษ์คอยสอดส่องอยู่ หากผู้ใดล่าอะไรได้ พวกเขาจะนำข่าวมารายงานทันที
ขันทีวังหัวเราะเยาะ “นอกจากองค์ชายใหญ่และเฉิงอ๋อง ก็ยังมีคุณชายเยี่ยน”
เมื่อนึกถึงม้าผอมแห้งตัวนั้นที่เยี่ยนจิ่วเฉาเลือกมา พระขนงของฮ่องเต้ก็พลันมุ่นเข้าหากัน เลือกม้าตัวนั้นมา จะไล่ทันเหยื่อรึ? ขนาดไก่ยังวิ่งเร็วกว่าด้วยซ้ำ!
เยี่ยนจิ่วเฉาขี่ม้าที่ซูบผอมจนเห็นกระดูกเป็นซี่ มือข้างหนึ่งจับธนู อีกข้างหนึ่งจับบังเหียน ควบไปในป่าอย่างไร้จุดหมาย
ทันใดนั้น กวางเผาจื่อ[1]โตเต็มวัยตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวอยู่ข้างต้นฉัตรจีนที่อยู่ห่างไปไม่ไกล มันก้มลงกินหญ้าที่พื้นโดยไม่ทันสังเกตว่ามีผู้ใดเข้ามาใกล้
เยี่ยนจิ่วเฉาหยิบลูกธนูและง้างคันธนูอย่างแผ่วเบา เล็งไปที่มัน ทว่าก่อนที่ลูกธนูจะถูกยิงออกไป เสียงแหวกอากาศก็ดังมาจากระยะไกล ลูกธนูเจาะเข้ากลางลำตัวกวางตัวนั้นอย่างแม่นยำ
“ฮ่าๆ!”
เห้อเหลียนฉีวางท่าเย่อหยิ่งควบม้าเข้ามา
เขาควบมาหยุดตรงหน้าเยี่ยนจิ่วเฉา และลงไปเก็บเหยื่อที่เขายิงได้ จากนั้นก็มองเยี่ยนจิ่วเฉา ริมฝีปากพลันโค้งขึ้นเผยยิ้มหยามเหยียด “โอ้ ที่แท้คุณชายเยี่ยนก็อยู่ที่นี่ด้วย ข้าคิดว่าเหยื่อตัวนั้นไม่มีเจ้าของเสียอีก เจ้าโทษข้าไม่ได้นะ หากจะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าลงมือช้าไป”
……………………………….
[1] กวางเผาจื่อ คือ กวางโรเดียร์ เป็นกวางพันธุ์เล็กชนิดหนึ่ง