หมอหลวงแห่งราชวงศ์ต้าโจวยกความดีความชอบให้อวี๋หวั่นมากเกินไป หลังจากอวี๋หวั่นจากไปไม่นาน หมอหลวงก็มาถึง และถึงแม้เธอจะไม่ทำอะไร หมอหลวงก็ช่วยเขาได้อยู่ดี ทว่าเขาอ่อนแอผิดปกติ นอนอยู่ร่วมสิบวันถึงครึ่งเดือนกว่าจะลุกจากเตียงได้
พอคิดเช่นนี้ ตนเองก็มีความดีความชอบอยู่ไม่น้อย
อวี๋หวั่นลงจากรถม้า
เด็กชายทั้งสามยื่นหัวออกจากผ้าม่านของหน้าต่าง และใช้สายตาดุร้ายมองศิษย์น้อยหวั่นเฟิง
หวั่นเฟิงตกตะลึงกับสายตาของเด็กน้อยทั้งสาม
“มีอันใดหรือ?” อวี๋หวั่นหันมองตามสายตาของเขา ทันใดนั้นเด็กอ้วนทั้งสามก็สับเปลี่ยนสีหน้าอย่างฉับพลัน เป็นการแสดงออกด้วยท่าทีที่แสนน่ารัก!
อวี๋หวั่นตกหลุมรักในความน่ารักของบุตรชายอีกครั้ง จนแทบไม่อยากออกจากประตู และกอดทั้งสามไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับจุ๊บพวกเขา
เมื่ออวี๋หวั่นหันหน้าไปคุยกับหวั่นเฟิง เด็กอ้วนตัวน้อยก็ทำหน้าตาดุร้ายอีกครั้ง!
หวั่นเฟิงตะลึงงันกับท่าทีของเด็กอ้วนทั้งสาม โชคดีที่ราชครูลงมาจากรถ หวั่นเฟิงจึงรีบหันตัวกลับไปพยุงราชครู “ท่านอาจารย์”
สายตาของอวี๋หวั่นตกกระทบกับราชครู
ช้าก่อน นี่ไม่ใช่ผู้อาวุโสที่พบกันด้านนอกสวนชมสัตว์ผู้นั้นเมื่อสองสามวันก่อนหรอกหรือ? มิน่าท่าทางดูไม่เหมือนคนทั่วไป ที่แท้ก็เป็นราชครูของหนานจ้าว
เขามาขอบคุณถึงที่นี่ด้วยตนเองเลยหรือ? เรื่องนั้นก็ผ่านมานานแล้ว เหตุใดก่อนหน้านี้ไม่มา?
ราชครูคำนับอวี๋หวั่นตามธรรมเนียมของต้าโจว
อวี๋หวั่นโค้งกายคำนับเล็กน้อยเป็นการคำนับกลับ
ภาษาต้าโจวกับหนานจ้าวมีความคล้ายคลึงกัน นอกจากมีสำเนียงของตัวเองแล้วก็ไม่มีอุปสรรคสำคัญใดในการสื่อสาร
ราชครูให้หวั่นเฟิงไปขนของขวัญขอบคุณลงมา และเอ่ยกับอวี๋หวั่น “ขอบคุณพระชายาซื่อจื่อในบุญคุณที่ท่านช่วยเหลือ”
“ท่านราชครูเกรงใจเกินไปแล้ว” อวี๋หวั่นพยักหน้าและเอ่ยกับราชครู “ท่านราชครูมาเยี่ยมเยียนถึงที่นี่ ตามหลักแล้วควรเชิญท่านเข้าไปพูดคุยกันด้านในจวน ทว่าท่านราชครูก็คงเห็นว่าข้ากำลังจะออกเดินทาง และซื่อจื่อก็ไม่อยู่ด้วย”
ความหมายก็คือ ท่านมาในเวลาที่ไม่เหมาะสม
หวั่นเฟิงกระแอมในลำคออย่างอึดอัดใจ เขาก็บอกแล้วว่าไม่ควรไปเยี่ยมในเวลานี้ ต้าโจวให้ความสำคัญกับขนบธรรมเนียมมากกว่าหนานจ้าว และได้ยินมาว่าก่อนมาเยี่ยมเยียนถึงบ้านพวกเขาต้องได้รับคำเชิญเสียก่อน ทว่าท่านอาจารย์ก็ยังต้องการมา เขาไม่อาจหยุดยั้งไว้ได้!
ราชครูกล่าว “ไม่เป็นไร ได้ส่งของขวัญขอบคุณให้ก็พอแล้ว”
อวี๋หวั่นมิได้ปฏิเสธ พลันพยักหน้าให้เจียงไห่ เจียงไห่ก้าวไปรับของขวัญขอบคุณในมือของหวั่งเฟิง ทว่าทันใดนั้นลูกปัดก็หลุดออกมาจากแขนเสื้อของหวั่นเฟิงและตกลงไปที่หน้ารองเท้าของอวี๋หวั่น
จุดนี้ไม่สะดวกให้บุรุษสัมผัส สาวใช้ก็ไม่อยู่ อวี๋หวั่นจึงก้มลงหยิบมันขึ้นมา
มันคือลูกปัดขนาดเท่ากำปั้นของทารก เดิมที่มันมีสีขาวมุก ทว่าเมื่ออวี๋หวั่นเก็บขึ้นมา มันก็เปล่งแสงสว่างขึ้นเล็กน้อย
หวั่นเฟิงมองลูกปัดด้วยความงุนงง จากนั้นก็มองไปที่แขนเสื้อของเขา
“นี่” อวี๋หวั่นคืนลูกปัดให้หวั่นเฟิง
“โอ้…ขอบ ขอบคุณมาก” หวั่นเฟิงรับลูกปัดมาด้วยความสับสนและใส่กลับเข้าไปในแขนเสื้อ
หวั่นเฟิงช้อนตามองเส้นผมของอวี๋หวั่น เส้นผมนั้นเงางามดุจผ้าซาติน เป็นมันวาวและนุ่มนวลยามต้องแสงอาทิตย์
หวั่นเฟิงขยับลำคอด้วยความประหม่า
เจียงไห่ก้มหน้าตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ
ราชครูกล่าวลา แล้วพาหวั่นเฟิงที่กำลังอยู่ในอาการงงงวยขึ้นรถม้า
หลังจากอวี๋หวั่นให้เจียงไห่นำของขวัญขอบคุณไปฝากไว้ที่องครักษ์ ก็ขึ้นรถม้าเดินทางกลับหมู่บ้าน
“ท่านอาจารย์” หลังจากรถม้าเลี้ยวขับออกมายังถนนที่ผู้คนพลุกพล่านวุ่นวาย หวั่นเฟิงก็หยิบลูกปัดออกมาจากแขนเสื้อ “ไยข้าถึงมีลูกปัดอยู่บนตัว? ลูกปัดอันใดกัน? เมื่อครู่ข้าเห็นมันส่องแสง? เหตุใดมาอยู่ในมือข้าแล้วมันกลับไม่ส่องแสง?”
ราชครูกล่าวว่า “นี่คือลูกปัดกู่ มีเพียงราชันสัตว์พิษเท่านั้นที่จะทำให้มันเปล่งประกายได้”
“รา…ราชันสัตว์พิษ?” เมื่อหวั่นเฟิงนึกถึงภาพลูกปัดส่องแสงในมือของอวี๋หวั่น ดวงตาของเขาก็จ้องมองอย่างตกตะลึง “นางมีราชันสัตว์พิษอยู่ในมือ? ท่านอาจารย์จงใจใส่ลูกปัดบนตัวข้าเพื่อทดสอบนางใช่หรือไม่? ไยท่านถึงทำเช่นนี้?”
ราชครูไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
ความสงสัยนับไม่ถ้วนผุดขึ้นในใจของหวั่นเฟิง ในช่วงที่ความคิดสับสนวุ่นวาย ทันใดนั้นประกายความคิดหนึ่งก็สว่างขึ้น “ช้าก่อน ท่านอาจารย์คงไม่ได้…สงสัยว่าของศักดิ์สิทธิ์ของหนานจ้าวจะอยู่ในมือนางกระมัง?”
ราชครูไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ เพียงแต่หยิบผ้าเช็ดหน้าที่ถูกพับไว้อย่างดีมาคลี่ออกช้าๆ เผยให้เห็นผมยาวเส้นหนึ่งอยู่ด้านใน
หวั่นเฟิงเบิกตากว้าง “นี่…นี่คงไม่ใช่เส้นผมของนางกระมัง”
ท่านอาจารย์ นี่ท่านถนัดสิ่งใดกันแน่?!
หากของศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมืออวี๋หวั่นจริง เช่นนั้นเส้นผมของเธอก็ต้องเปื้อนไปด้วยลมหายใจของของศักดิ์สิทธิ์ ราชันสัตว์พิษที่อยู่ในมือเธอจะเป็นสิ่งที่พวกเขากำลังตามหาอยู่หรือไม่ ราชครูมีวิธีของตนเอง
รถม้าแล่นไปบนถนนสายหลักอย่างราบรื่น เด็กอ้วนทั้งสามรู้สึกง่วงทันทีที่ขึ้นบนรถม้าแทบจะกลายเป็นกฎที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
เมื่อเจียงไห่แน่ใจว่าเด็กน้อยทั้งสามหลับไปแล้ว เขาก็ขับรถม้าไปพลางกระซิบกับอวี๋หวั่น “ฮูหยิน ลูกปัดเม็ดนั้นมีบางอย่างแปลกๆ”
“ข้าเห็นแล้ว มันส่องแสงในมือข้า ทว่าไม่ส่องแสงในมือของหวั่นเฟิง” แม้ว่าหวั่นเฟิงจะรีบเก็บมันอย่างรวดเร็ว ทว่าไม่อาจรอดพ้นสายตาอันเฉียบคมของเธอ
เจียงไห่มุ่นขมวดคิ้ว “ฮูหยินคุ้นเคยกับเด็กนั่นหรือขอรับ?”
อวี๋หวั่นตอบอย่างไม่ใส่ใจ “เคยพบกันสองครั้งเท่านั้น”
“เช่นนั้นก็อย่าได้เรียกชื่อเขา”
“อ้อ”
เอ๊ะ ช้าก่อน คำพูดของสารถี นี่เธอรับปากอะไรไป! ! !
เจียงไห่กล่าวอย่างครุ่นคิดว่า “ราชครูผู้นั้น…ข้าน้อยรู้สึกว่าเขากำลังทำอันใดบางอย่าง ทว่าเมื่อครู่เหตุการณ์ยุ่งเหยิงยิ่งนัก ข้าน้อยมองเห็นไม่ชัด”
อวี๋หวั่นยกมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน เธอเห็นอยู่ชัดๆ ว่าราชครูหยิบเส้นผมที่หลุดร่วงจากตัวเธอไป
ทว่าราชครูไม่มีทางรู้แน่ว่านั่นคือเส้นผมของเจียงไห่!
…
ปล่อยให้ราชครูกับศิษย์เสียเวลาไปอีกสักพัก ใกล้ยามอู่รถม้าก็คงไปถึงหมู่บ้านแล้ว
ภายในเวลาไม่ถึงสิบวัน หมู่บ้านกลับเปลี่ยนแปลงไปมาก ยามแรกอวี๋หวั่นคิดว่ามาผิดที่ เพราะเดิมทีหมู่บ้านเหลียนฮวามีผู้คนไม่มาก ทว่าวันนี้กลับมีผู้คนแออัดคับคั่ง กระทั่งปิดกั้นปากทางเข้าหมู่บ้าน
รถม้าไม่อาจผ่านเข้าไปได้ อวี๋หวั่นมองไม่เห็นชาวบ้านที่ตนเองคุ้นเคย เจียงไห่จึงถามไถ่จากคนต่างถิ่นเหล่านี้
เจียงไห่ลงจากรถม้า จับตัวชายหนุ่มอายุอานามราวยี่สิบปีมาถาม “เกิดอันใดขึ้นที่หมู่บ้านเหลียนฮวา? เหตุใดจึงมีคนมามากมายเช่นนี้?”
เมื่อเห็นว่าเขากำแส้ม้าอยู่ในมือ ชายหนุ่มจึงมองไปยังรถม้าที่อยู่ข้างหลังเขาพลันเอ่ยว่า “พวกเจ้าคงมาทำธุรกิจกับสกุลอวี๋กระมัง? เช่นนั้นก็น่าเสียดาย วันนี้สกุลอวี๋ไม่ว่าง!”
“เหตุใดถึงไม่ว่าง?” เจียงไห่ถาม
“สกุลอวี๋กำลังจะจ้างงาน!” ชายหนุ่มชี้ไปยังฝูงชนที่พลุกพล่าน “เจ้าเห็นหรือไม่ ผู้คนเหล่านั้นมาทำงาน! สกุลอวี๋จ่ายค่าแรงสูง และยังดูแลเรื่องอาหารและที่พักด้วย แม้แต่คนในตำบลก็ยังมาที่นี่!”
หากเป็นผู้คนในหมู่บ้านแถบนี้มาหางานยังไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลก ทว่าหากเป็นคนในตำบลที่ ‘ยอมลดตัว’ มาทำงานในหมู่บ้านนับเป็นเรื่องที่น่าอิจฉาเล็กน้อย
หมู่บ้านเหลียนฮวาเคยเป็นหมู่บ้านที่ยากจนที่สุดและไม่มีผู้คนมาอาศัยอยู่มากที่สุด ทว่ายามนี้กลับเป็นหมู่บ้านที่คึกคัก เป็นที่ต้องการและน่าอยู่มากที่สุด ชายหนุ่มผู้นี้มาหางาน จึงคิดเพียงว่ามาหางานเหมือนกันหมด โดยไม่รู้เลยว่าในช่วงหลายวันนี้แม่สื่อทั้งหลายต่างมาแออัดอยู่หน้าประตูบ้านเรือนทุกหลัง
บ้างมาสู่ขอสะใภ้ บ้างมาสู่ขอบุตรสาว ทหารเกณฑ์ทุกคนที่ถูกเลื่อนการแต่งงานเพราะสงครามก็กลายเป็นที่นิยม และเมื่อได้ยินว่ายาจกรุ่นพี่หวังหม่าจื่อแต่งงานแล้ว แม่สื่อก็ต่างร้องห่มร้องไห้!
คนจากหมู่บ้านซิ่งหวาได้เข้ามาสร้างความวุ่นวายครั้งหนึ่ง ทว่าถูกทหารเกณฑ์กับโจรบนหลังม้าขับไล่จนพ่ายแพ้ยับเยิน
เรื่องที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงก็คือ พวกโจรบนหลังม้าถูกเยี่ยนจิ่วเฉาขึ้นทะเบียนอย่างเงียบๆ คนที่เต็มใจอยู่ก็ได้เป็นชาวบ้านของหมู่บ้านเหลียนฮวาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย…เอ่อ ไม่ใช่สิ เป็นคนงานเหมือง!
ส่วนพวกที่ไม่เต็มใจก็ถูกเยี่ยนจิ่วเฉาจับไปนั่งในคุกแล้ว…
หมู่บ้านเหลียนฮวาจากที่มียี่สิบถึงสามสิบครัวเรือน ก็กลายเป็นห้าสิบครัวเรือน! รู้สึกแข็งแกร่งขึ้นในพริบตาเดียว!
เจียงไห่บังคับม้าไปด้วยความยากลำบาก บ้านหลังใหม่สามห้องเกือบสร้างเสร็จแล้ว ทว่าของภายในยังไม่ครบครัน จึงยังคงอาศัยอยู่ที่บ้านหลังใหม่ของสกุลติง คนมาสมัครงานมีมากเกินกว่าจะให้เข้าไปในบ้านได้หมด อวี๋เฟิงกับอวี๋เซ่าชิงจึงเรียกให้ไปที่โรงงาน
เถี่ยตั้นน้อยนั่งยองๆ เล่นดีดลูกแก้วกับสือโถวอยู่บนพื้นหน้าประตู อย่าได้ดูถูกลูกปัดที่ดูไม่โดดเด่นสะดุดตาเหล่านี้ เพราะแท้จริงแล้วมันทำมาจากเหล็กเคลือบสี แม้ผู้คนในชนบทที่มีเงินก็ยังไม่เต็มใจที่จะซื้อมัน แต่อวี๋เซ่าชิงรักบุตรชายของเขามาก จึงไปหาช่างตีเหล็กในตำบลเพื่อสั่งให้ทำมันขึ้นมา
ทั้งสองเล่นกันอย่างสนุกสนาน
เถี่ยตั้นน้อยเล่นมันบ่อยครั้งในวันธรรมดา ฝึกฝนจนชำนาญ และมีทักษะเหนือกว่าสือโถว เขาจึงชนะได้ทันที เถี่ยตั้นน้อยได้ยินเสียงของรถม้าพลันเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นเจียงไห่ที่กำลังเคลื่อนรถม้าเข้ามา เขาจำเจียงไห่ได้
เขาตื่นเต้นดีใจจนโยนลูกปัดลง “ท่านพี่กลับมาแล้ว!”
สือโถวมองเงาร่างเล็กของเขาที่วิ่งออกไป “เฮ้ ข้าชนะแล้ว!”
ผู้ใดสนใจเจ้ากัน!
เถี่ยตั้นน้อยรีบวิ่งไปที่รถม้า
เจียงไห่หยุดรถม้าลงก่อนแล้ว
อวี๋หวั่นอยู่ด้านใน ได้ยินเสียงของน้องชาย และรถม้าก็หยุด เธอรีบเปิดม่านออก
“ท่านพี่ ท่านพี่!” เถี่ยตั้นน้อยปีนขึ้นรถม้า
รถม้าสูงเกินกว่าที่เขาจะปีนขึ้นไปเองได้ เจียงไห่จึงยื่นมือดึงเถี่ยตั้นที่กระหืดกระหอบด้วยความดีอกดีใจขึ้นมา
“ขอบคุณลุงเจียง!” เถี่ยตั้นน้อยเอ่ยเสียงใส
ที่จริงแล้วเขาก็อายุไล่เลี่ยกับอวี๋เฟิง ทว่าเจียงไห่ดูโตไวกว่า “…”
เด็กอ้วนถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงของท่านน้า พวกเขาเงยหน้าขึ้นอย่างสะลึมสะลือ
“ไอ้หยา น้องชายก็มาด้วย!” เถี่ยตั้นน้อยยิ่งตื่นเต้น
อวี๋หวั่นหน้าบึ้ง “บอกกี่ครั้งแล้วว่าเป็นหลาน!”
ก็เห็นอยู่ว่าพวกเขาโตพอๆ กับเจินเจินน้อย เจินเจินน้อยเป็นน้องสาว แล้วเหตุใดพวกเขาถึงเป็นน้องชายไม่ได้
อวี๋หวั่นไม่อาจตอบคำถามนี้ได้อย่างชัดเจน อวี๋หวั่นกอดเด็กน้อยทั้งสามที่เพิ่งตื่นนอนและเจียงไห่ก็อุ้มพวกเขาลงไป
“ลุงเจียง ข้าด้วย!” เถี่ยตั้นน้อยยื่นแขนออกไปหาเจียงไห่
เจียงไห่ “ลงเอง”
เถี่ยตั้นน้อย “…”
โรงเรียนเอกชนในหมู่บ้านก็สร้างเสร็จแล้ว มันคือบ้านสกุลจ้าวแต่เก่าก่อน บ้านสกุลจ้าวได้ถูกปรับปรุงและขยายพื้นที่ไปทางด้านตะวันออกเพื่อเป็นโรงเรียน วันนี้โรงเรียนหยุดพัก เถี่ยตั้นน้อยจึงสามารถมานอนหมอบเล่นดีดลูกแก้วกับสือโถวที่ประตูบ้านได้
………………………………….