เห้อเหลียนฉียิ้มกว้าง พลางหยิบตั๋วทองคำสองใบออกมาจากแขน โดยมีมูลค่าหน้าตั๋วหนึ่งร้อยตำลึง หนึ่งร้อยตำลึงเพียงพอที่จะซื้อคนดังที่สุดในเมืองหลวงได้ ความงามของไป๋ถังก็ยังต่างจากคนดังที่สุดของหอนางโลมอยู่บ้าง ทว่านางใสซื่อบริสุทธิ์ราวกับดอกกล้วยไม้ อ่อนโยนดั่งลูกท้อที่หอมหวาน และกลิ่นอายที่สะอาดของดรุณีแรกแย้ม ชายใดต่างหลงใหลในสตรีเช่นนี้ได้อย่างง่ายดาย
ไป๋ถังเอื้อมมือไปรับตั๋วทองคำ ทว่าเห้อเหลียนฉีก็ชักมือขึ้นและเอ่ยอย่างเนิบนาบ “ขึ้นรถม้าก่อน”
ไป๋ถังเชิดคางขึ้นพลางเอ่ย “เพียงไม่กี่ก้าว เดี๋ยวข้าก็เดินไปเอง!”
เห้อเหลียนฉีมองนาง จากนั้นมองไปเด็กที่นางกำลังอุ้ม พลันยิ้มออกมาอย่างรู้เท่าทัน “เจ้าอย่าได้เล่นลูกไม้กับข้า”
ไป๋ถังคว้าตั๋วทองคำและพึมพำ “เจ้ากลัวว่าข้าเล่นลูกไม้กับเจ้ารึ?”
เห้อเหลียนฉียิ้ม “แน่นอนว่าไม่ เพราะหากเจ้าเล่นไม่ซื่อ ผลที่ตามมาคือหายนะ”
สตรีที่ยังไม่แต่งงานกับเด็กสามคน ลักษณะดูไม่เหมือนพี่น้องกัน มารดากับบุตรยิ่งเป็นไปไม่ได้ คิดแล้วก็เหลือเพียงสาวใช้ นางแต่งตัวดี คงเป็นสาวใช้คนโปรดของตระกูลขุนนาง ทว่าแล้วมันอย่างไร? อย่างไรก็เป็นเพียงแค่คนรับใช้เท่านั้น เอื้อมถึงแม่ทัพเวยหย่วนได้ก็นับว่าเป็นบุญของนางแล้ว!
หากสาวใช้ผู้นี้ปรนนิบัติได้ดี เขาก็ไม่รังเกียจที่จะพานางกลับไปที่หนานจ้าว แม้ว่าเขาจะมีภรรยาที่อาจหาญยิ่ง ทว่าตราบใดที่เขาซ่อนไว้อย่างดี ไม่ให้ภรรยารู้ก็เพียงพอแล้ว
ในช่วงเวลาสั้นๆ เห้อเหลียนฉีก็คิดไปถึงอนาคตแล้ว แสดงให้เห็นว่าเขาโปรดปรานไป๋ถังมากเพียงใด
รถม้าอยู่ห่างจากไป๋ถังสามก้าวตั้งแต่เริ่มจนยามนี้ ราวกับกังวลว่าไป๋ถังจะหลุดมือไป ไป๋ถังเอ่ยในใจ ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่ สวรรค์มีทางเจ้าไม่เดิน กลับบุกเข้าไปในนรกที่ไม่มีประตู หอจุ้ยเซียนเป็นดินแดนของข้าครึ่งหนึ่ง ได้เห็นดีกันแน่!
หลังออกจากรถม้าเห้อเหลียนฉีก็เข้าไปในหอจุ้ยเซียน
ไป๋ถังพาเด็กน้อยทั้งสามเดินตามไป เมื่อเดินผ่านโต๊ะด้านหน้า นางก็ยัดเด็กๆ ให้ผู้จัดการ “ช่วยดูแลให้ข้าที!”
ผู้จัดการผงะ
ไป๋ถังดุ “มองอันใด? มากินข้าวที่นี่ แค่เด็กก็ยังช่วยดูแลให้ไม่ได้รึ?”
ไยคุณหนูไป๋เปลี่ยนไปโหดได้ถึงเพียงนี้…
ผู้จัดการพยักหน้าด้วยความงุนงง “ได้ ได้ขอรับ!”
บุตรของนายคนที่สอง ต้องได้อยู่แล้ว!
หลังจากไป๋ถังส่งเด็กให้ผู้จัดการแล้ว นางก็ขึ้นไปชั้นบน
เห้อเหลียนยิ้มและเอ่ยว่า “หากเจ้าไม่สบายใจ ให้พวกเขาอยู่กับสารถีของข้าก็ได้”
“ไม่ต้องแล้ว!” ไป๋ถังกล่าว
เห้อเหลียนฉียิ้มและไม่กล่าวสิ่งใดอีก สิ่งที่เขาต้องการคือนาง เด็กจะอยู่ที่ใดไม่เกี่ยวข้องกับเขา หากมีคนดูแลย่อมดีที่สุด ทว่าหากไม่มีเขาก็มีวิธีของตนเองที่จะทำให้พวกเขาเชื่อฟัง
ทั้งสองเข้าสู่ห้องรับรองชั้นหนึ่ง ไป๋ถังสั่งอาหารที่แพงที่สุดในหอจุ้ยเซียนมาทั้งหมดด้วยท่าทางที่อยากจะฆ่าเขาให้ตาย เห้อเหลียนฉีเข้าใจดีแต่ไม่ปริปาก หญิงงามอยู่ข้างกาย หากโดนฆ่าสักทีแล้วมันอย่างไร? หากนางชอบเขาก็ซื้อร้านอาหารทั้งร้านให้นางได้
ไป๋ถังกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส “อาหารจานเด็ดของหอจุ้ยเซียนคือเต้าหู้เหม็นและหลัวซือเฝิ่น รสชาติค่อนข้างเข้มข้น เกรงว่านายท่านจะไม่คุ้นเคย”
เห้อเหลียนฉีมองนางด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง “คนงามสวยจนอยากกลืนกิน ก็เพียงพอแล้ว”
จะอ้วก!
ไป๋ถังลอบกลอกตา และในที่สุดก็ไม่ได้สั่งอาหารสองจานนี้มา นางกลัวว่าตนเองจะง่วนกับการกิน จนหลงลืมที่จะต่อสู้เพื่อเอาชนะบุรุษผู้นี้ นางจึงเปลี่ยนไปสั่งเหล้าฮวาเตียวที่หมักนานกว่าสามสิบปี
เหล้าฮวาเตียวของหอจุ้ยเซียนล้วนมาจากเจียงจั่ว ไม่เพียงแต่มีรสชาติเข้มข้น ทว่ายังแรงและออกฤทธิ์ได้ดีอีกด้วย
หลังจากสั่งอาหาร ไป๋ถังก็อ้างว่าไปเข้าห้องสุขา ซึ่งความจริงนางต้องการใส่ยาในอาหาร
นางเผชิญโลกภายนอกมาหลายปีแล้ว จะไม่มีวิธีป้องกันตนเองได้อย่างไร?
เห้อเหลียนฉียิ้มอย่างใจกว้าง “แม่นางโปรดทำตัวตามสบาย”
ไป๋ถังหรี่ตา “ท่านไม่กลัวข้าหนีแล้วรึ?”
เห้อเหลียนฉีส่งสายตาให้ไป๋ถังให้มองลงไป
ไป๋ถังเปิดหน้าต่างออกไปด้วยความสงสัย เมื่อโผล่หัวออกไปดู ก็เห็นว่าเด็กน้อยทั้งสามที่ควรจะอยู่กับผู้จัดการ วิ่งไปด้านหลังและยังเล่นอย่างสนุกสนานกับสมุนรับใช้แปลกๆ ผู้หนึ่ง
สมุนรับใช้ผู้นั้นคือ…สารถีของเจ้าบ้านี่!
มือของไป๋ถังกำแน่นภายใต้แขนเสื้อกว้าง
“แม่นางยังต้องการไปเข้าห้องสุขาอยู่หรือไม่?” เห้อเหลียนฉีถามด้วยรอยยิ้ม
ไป๋ถังเอ่ยทักบรรพบุรุษทั้งสิบแปดรุ่นของเขาในใจไปแล้วหนึ่งรอบ จากนั้นก็หันตัวกลับแล้วแสร้งยิ้ม “แน่นอนข้าจะไป รบกวนนายท่านโปรดรอข้าสักประเดี๋ยว แล้วข้าจะกลับมาปรนนิบัติรับใช้ท่าน”
เห้อเหลียนฉีคลี่ยิ้มพลางผายมือเชิญ
ไป๋ถังเดินออกไปอย่างเยือกเย็น
ไป๋ถังปะปนเข้าไปในห้องครัว จากนั้นก็ใส่ยานอนหลับสองสามหยดลงในอาหารจานที่เพิ่งทำเสร็จสองสามอย่าง ยานอนหลับประเภทนี้ไร้สี ไร้รสชาติและจะละลายในน้ำ ทำให้ดูเหมือนน้ำแกงเพียงไม่กี่หยดเท่านั้น
ไป๋ถังกลับไปยังห้องปีกหลังจากเสร็จสิ้นการวางหมาก
ไป๋ถังมาตรว่าหากชายผู้นี้ไม่กินกับข้าว นางก็จะรินสุราให้เขา ทว่าหากเขาไม่ดื่มสุรา นางก็จะป้อนกับข้าวให้เขา ในเหล้าไม่มียา เพราะไป๋ถังคิดว่านางเองก็คงอยากดื่มเช่นกัน สำหรับกับข้าว นางใส่ยาลงในจานที่มีเนื้อสัตว์เท่านั้น ถึงตอนนั้นนางก็เลือกกินแต่จานที่ไม่มีเนื้อก็พอ
สุราและอาหารถูกนำขึ้นโต๊ะอย่างรวดเร็ว
แน่นอน เห้อเหลียนฉีรินสุราให้ไป๋ถังก่อน จากนั้นจึงรินให้ตนเอง
จิ้งจอกเฒ่า! ไป๋ถังแย้มยิ้มละไม พลางยกแก้วสุราขึ้นและกล่าวว่า “นายท่าน หากเราดื่มกันเช่นนี้เกรงว่าคงจะน่าเบื่อเกินไป มิสู้มาแข่งดื่มสุรากันดีกว่า ผู้ใดแพ้ผู้นั้นดื่ม”
“ข้าแข่งดื่มสุรา…ของคนในเมืองหลวงไม่เป็น” เห้อเหลียนฉีกล่าว
ไป๋ถังคลี่ยิ้ม “นายท่านมิใช่คนในเมืองหลวง ย่อมเข้าใจได้ ข้าจะสอนท่านเอง”
เฮอะ นางเป็นเจ้าของร้านอาหาร ผู้ใดจะแข่งดื่มสุราได้ดีเท่านาง
เห้อเหลียนฉีพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวช เหล้าฮวาเตียวหมักถูกเขาดื่มไปมากกว่าครึ่งไห หากเป็นคนธรรมดาดื่มเท่านี้ก็คงจะล้มไปนาน ทว่าเห้อเหลียนฉีกลับไม่ได้เมาเลยแม้แต่น้อย
ดวงตาของไป๋ถังเป็นประกาย พลันถามเห้อเหลียนฉี “เหตุใดนายท่านไม่ทานกับข้าวเล่า?”
เห้อเหลียนฉีจับมืออันบอบบางของนางและเอ่ยว่า “เจ้าช่วยคีบให้ข้าที”
ไป๋ถังแทบอดใจไม่ไหวที่จะสับกรงเล็บจิ้งจอกของเขาออก!
“ได้สิเจ้าคะ” ไป๋ถังคีบเนื้อหมูสามชั้นตุ๋นให้เขา นางจำได้ว่าใส่ยานอนหลับลงในจานนี้มากที่สุด “นายท่าน รีบชิมเถิด หากปล่อยไว้นานจะเย็นได้”
“เจ้าก็กินด้วย” เห้อเหลียนฉีกล่าว
ไป๋ถังกล่าวว่า “ข้ากินเจตามท่านมารดามาตั้งแต่เด็ก ไม่กินเนื้อ”
เห้อเหลียนฉีมองลำคอระหงของไป๋ถังอย่างชั่วร้ายและเอ่ยว่า “มิน่าถึงได้เกิดมางดงามเพียงนี้”
ไป๋ถังแย้มยิ้มสดใส “นายท่าน เชิญ”
เห้อเหลียนฉีกินเข้าไปด้วยรอยยิ้มที่ดวงตา ท่าทางที่ดูชั่วร้ายที่ไม่เหมือนกับกินเนื้อสัตว์ ทว่าเหมือนกำลังกลืนกินไป๋ถัง
ไป๋ถังขยะแขยงยิ่งนัก ทว่ายังคงคีบอาหารให้เขาอีกหลายคำ เห้อเหลียนฉีก็รับไว้ทั้งหมด ในที่สุดเมื่อเขากินคำหก ร่างกายก็แน่นิ่ง ดวงตาเหลือก และสลบลงกับโต๊ะเสียงดังสนั่น!
เหอะ!
ในที่สุดก็ล้มแล้ว!
กินไปมากถึงเพียงนั้น เกือบจะคิดว่ายานอนหลับไม่ได้ผลเสียแล้ว!
ไป๋ถังผลักร่างเขาและแน่ใจว่าสลบไปแล้วจริงๆ จึงปรบมือด้วยความพึงพอใจ และลุกขึ้นหมายจะเดินออกจากประตู ทว่าก้าวไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็รู้สึกวิงเวียนตาพร่ามัว
“เกิดอันใด…”
ยังมิทันสิ้นประโยค ไป๋ถังก็สลบไป
ชายที่ฟุบอยู่บนโต๊ะกลับยกหัวขึ้นช้าๆ “โอ้ แค่ยานอนหลับก็คิดว่าจะทำให้แม่ทัพผู้นี้สลบได้อย่างนั้นรึ?”
เห้อเหลียนฉีลุกขึ้นอย่างไม่รีบร้อน เดินไปข้างกายไป๋ถัง เขาก้มลงหอบร่างอันบอบบางของเด็กสาวขึ้นมา กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดรุณีผสมกับกลิ่นสุราจางๆ ยิ่งทำให้เขามีความสุข
“แม่ทัพผู้นี้เล่นละครกับเจ้ามานานแล้ว เจ้าตอบซิ ว่าแม่ทัพผู้นี้ควรทะนุถนอมเจ้าหรือไม่?”
เห้อเหลียนฉีเดินอ้อมฉากกั้นอย่างร้อนอกร้อนใจ และวางไป๋ถังลงบนเตียงอ่อนนุ่ม เขาเอื้อมมือปลดเสื้อผ้าของไป๋ถัง ทว่าทันใดนั้น ก็รู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ เขาขมวดคิ้วหันมอง ก็เห็นเด็กชายตัวอ้วนสามคนที่มีใบหน้าเหมือนกันยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
เห้อเหลียนฉีอ้าปากค้าง!
เจ้าตัวน้อยเหล่านี้มิได้อยู่ในลานด้านหลังหรอกหรือ? ไยวิ่งมาถึงห้องของเขาได้?
คนอื่นเล่า?
หายไปที่ใดกัน?!
เห้อเหลียนฉีดึงผ้าห่มมาคลุมไป๋ถังไว้อย่างมิดชิด และหันมาส่งยิ้มให้เด็กอ้วนตัวน้อยทั้งสาม “ออกไปเล่นข้างนอกดีหรือไม่?”
ทั้งสามเอียงศีรษะมองเขา
หรือว่าจะฟังตนไม่เข้าใจ? ดวงตาของเห้อเหลียนฉีเปล่งประกาย เขาพาเด็กน้อยทั้งสามไปที่ลานด้านหลัง ไม่ได้หาสารถี ไม่ได้หาผู้จัดการ เพียงแต่โยนพวกเขาเข้าไปที่ลานเท่านั้น
เขาร้อนใจอยากจะแนบชิดกับหญิงงาม รีบก้าวขายาวขึ้นไปชั้นบน ทว่าหารู้ไม่ เมื่อเดินไปด้านหลังฉากกั้นก็เห็นเด็กอ้วนตัวน้อยสามคนยืนอยู่หน้าเตียงด้วยท่าทางน่ารัก เห้อเหลียนฉีสะดุ้งตกใจ!
เอ๊ะ…ไม่ได้ทิ้งไว้ที่ลานรึ? ไยมาโผล่ในห้องอีก
เห้อเหลียนฉีกะพริบตาด้วยความสับสน มองหน้าทั้งสามอยู่ครู่หนึ่ง เหล่าเด็กอ้วนตัวเล็กก็มองเขากลับอย่างน่ารัก เขาคิดในใจ ว่าตนเองเมามากเกินไป และเมื่อครู่ก็มิได้พาเด็กๆ ลงไปหรือ?
เห้อเหลียนฉีอุ้มพวกเขาขึ้นมาอีกครั้งและลงไปชั้นล่าง ครานี้เขาไม่เพียงแต่โยนพวกเขาเข้าไปในลานด้านหลังเท่านั้น ทว่ายังเก็บวัชพืชในลานด้านหลังมาหนึ่งกำมือด้วย จากนั้นก็รีบเดินขึ้นไปชั้นบน
เขาเดินอ้อมฉากกั้น
แล้วก็เห็นเด็กชายตัวอ้วนที่น่ารักสามคน
เขาสูดหายใจ!
ให้ตาย! นี่มันเรื่องบ้าอันใดกัน!
เห้อเหลียนฉีก้มมองวัชพืชในมือ เขาก็ไปที่ลานมาแล้วนี่…
เห้อเหลียนฉีแทบบ้า!
จ๊อก~
ท้องของเด็กน้อยคำราม
เห้อเหลียนฉีรวบรวมสติ พาพวกเขาไปที่โต๊ะอาหารด้านนอกฉากกั้น แล้วชี้ไปบนโต๊ะ “อยากกินหรือไม่?”
ทั้งสามกลืนน้ำลายและส่ายศีรษะ
เห้อเหลียนฉีเกลี้ยกล่อม “มิต้องกลัว มันกินได้ ข้าไม่ใช่คนเลว อาหารเหล่านี้ข้าก็กินแล้ว หากพวกเจ้าไม่เชื่อข้า ข้าจะกินให้พวกเจ้าดู”
เด็กน้อยทั้งสามเบิกตากว้างมองเขา
เห้อเหลียนฉีไม่ลังเลที่จะคีบหมูสามชั้นที่มีสัดส่วนเนื้อกับมันพอดีกันเข้าปาก
เขามีกำลังภายในที่แข็งแกร่ง แม้จะกินยานอนหลับทั้งหมดนี้ก็ยังไม่มีผลกับเขา ทว่าไม่เหมือนกับเด็กๆ แค่พวกเขากินไปเพียงนิดเดียว สามวันห้าวันก็ยังไม่มีวี่แววจะตื่นขึ้นมา เช่นนี้ก็จะไม่มีผู้ใดมาขัดเรื่องดีๆ ของเขากับหญิงงามได้อีก
เห้อเหลียนฉียิ่งคิดเรื่องนี้ก็ยิ่งภาคภูมิใจ ทว่าทันใดนั้นเอง การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันก็เกิดขึ้น
เขารู้สึกเจ็บปวดราวกับว่ามีบางอย่างจุกอยู่ในลำคอ วินาทีต่อมา เขาจับคอแน่น ร่างกายแข็งทื่อและล้มลงกับพื้นอย่างเหม่อลอย
เป็นไปได้อย่างไร?
อาหารมื้อนี้เขาก็กินไปแล้วนี่?
จุดอิ้นถัง[1]ของเห้อเหลียนฉีเปลี่ยนเป็นสีดำ ใบหน้าเป็นสีม่วง เล็บและมุมปากเป็นสีเขียวคล้ำ
กำลังภายในทั้งหมดของร่างกายคล้ายกับถูกขับออกไปสิ้นในชั่วพริบตา
ดวงตาของเขาเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อตนเอง
นี่ไม่มีทางเป็นยานอนหลับ…
หากแต่เป็น…ยาพิษ?
ไยพิษจึงรุนแรงถึงเพียงนี้? มีผู้ใดวางยาเขาอีกหรือ?
ไม่มีทางเป็นสตรีผู้นั้น การกระทำของสตรีผู้นั้น เขาเห็นทั้งหมดอย่างชัดเจน!
ทว่าหากไม่ใช่สตรีผู้นั้น แล้วจะเป็นผู้ใด?
เด็กอ้วนทั้งสามเอียงศีรษะมองเขาด้วยท่าทางน่ารัก
“ตาม…ตาม…ตามคน… ” เห้อเหลียนฉีสั่นไปทั้งร่าง
เด็กทั้งสามเดินไปที่ประตูอย่างเชื่อฟัง เห้อเหลียนฉีคิดว่าพวกเขากำลังจะไปตามผู้ใดสักคนมา ทว่าพวกเขากลับพยายามออกแรงสุดกำลัง ปิดประตู!
หลังจากนั้น เด็กอ้วนตัวน้อยที่น่ารักก็จากไป หลงเหลือไว้เพียงปีศาจน้อยที่แสนร้ายกาจ!
ปีศาจน้อยทั้งสามหยิบท่อนไม้ขึ้นฟาดหัวหมูของเห้อเหลียนฉี…
…………………………………………………….
[1] จุดอิ้นถัง คือ จุดระหว่างคิ้วสองข้าง ซึ่งหากเปลี่ยนไปสีดำเป็นอาการที่อันตราย