มื่อเยี่ยนจิ่วเฉากลับมาถึงบ้าน อวี๋หวั่นก็อาบน้ำล้างเนื้อตัวเสร็จแล้ว
“ท่านคงเจอฝนตกหนักกลางทางกระมัง?” อวี๋หวั่นมองเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มของเขา จากนั้นก็ดึงข้อมือของเขาเข้ามา และลากเข้าไปในห้อง หยิบร่มในมือของเขาใส่ลงในตะกร้า “ร่มคันใหญ่ยิ่งนัก”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่พูดอะไร และก็ไม่มองไปที่ร่ม
เขามักจะทำตัวเงียบเชียบ แต่อวี๋หวั่นก็ไม่ได้สนใจ
“เจ้าก็เจอฝนตกหนักหรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามพลางมองผมที่เปียกบนหน้าผากของเธอ
อวี๋หวั่นมองตามสายตาของเขา จึงลูบผมหน้าม้าของตนเอง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มิใช่ ข้ามาถึงบ้านก่อนที่ฝนจะตก แต่เหงื่อออกทั้งตัว เมื่อครู่ก็เพิ่งอาบน้ำเสร็จ คนเตรียมน้ำไว้พร้อมแล้ว ท่านก็ไปล้างเนื้อล้างตัวเถิด เนื้อตัวคงอึดอัดแย่แล้ว”
เยี่ยนจิ่วเฉาพยักหน้าและเดินไป
หลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ก็ทานอาหารเย็นด้วยกัน
อวี๋หวั่นไม่ค่อยถามเรื่องงานของเขา ถามแค่อาหารกลางวันเขาทานอะไร งีบหลับสบายดีหรือไม่ จากนั้นก็เล่าเหตุการณ์ที่พบเจอในจวนสกุลเซียว อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาได้พบกับเซียวเจิ้นถิง จึงเอ่ยอย่างเฉพาะเจาะจง “ข้าไปพบท่านแม่กับแม่ทัพใหญ่เซียวมา ทั้งสองดูสบายดี”
ก่อนที่เธอจะจากมาก็คิดจะไปบอกลาเซียวเจิ้นถิงกับซั่งกวนเยี่ยน ทว่าซิ่งจู๋บอกว่าตอนนั้นทั้งสองไม่สะดวก อวี๋หวั่นก็ไม่ได้ถามว่าเหตุใดจึงไม่สะดวก
“ระหว่างทางกลับ ข้าบังเอิญพบกับฮูหยินเหยา”
ในที่สุดก็เข้าประเด็น อวี๋หวั่นรู้สึกว่าไม่ได้พูดยากอย่างที่คิด ระหว่างเดินทางกลับเธอคิดว่าจะบอกกับเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างไร เธอไม่เคยคิดที่จะปิดบังเขาตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้
“เกิดอันใดขึ้นกับฮูหยินเหยา?” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยถาม
เมื่อเอ่ยถึงฮูหยินเหยา น้ำเสียงของเธอดูแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด เขาจึงถามเช่นนี้
ด้วยความห่วงใยที่มีต่อเธอ จึงไม่อาจเพิกเฉยต่อความแปลกประหลาดที่เกี่ยวกับเธอแม้แต่อย่างเดียว
อวี๋หวั่นไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เธอเพียงรู้สึกว่าสามีผู้นี้ดียิ่งนัก ในสิบครั้งจะมีเจ็ดหรือแปดครั้งที่เขาทำให้เธอโกรธ ทว่าเขาก็ห่วงใยเธอ เธอรู้สึกได้
อวี๋หวั่นบอกเยี่ยนจิ่วเฉาเรื่องที่ฮูหยินเหยาเห็นเด็กคนหนึ่งที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับเขา และเด็กคนนั้นก็เรียกเยี่ยนอ๋องว่าท่านพ่อ “…เด็กผู้นั้นอายุน้อยกว่าท่านไม่กี่ปี อาจจะอายุประมาณพี่ใหญ่ของข้า”
เดิมทีเธอคิดว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะแปลกใจ ทว่าใบหน้าของเขากลับดูสงบนิ่ง
“ท่านรู้อยู่แล้วหรือ?” อวี๋หวั่นประหลาดใจเสียยิ่งกว่าเขา
“ก็ไม่นับว่ารู้” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ย
รู้ก็คือรู้ ไม่รู้ก็คือไม่รู้ แต่ ‘ก็ไม่นับว่ารู้’ คืออะไร?
ตั้งแต่ไป๋เสี่ยวเซิงทราบข่าวมาในนาทีนั้น เขาก็พอเดาความสัมพันธ์ระหว่างท่านพ่อกับตี้จีองค์เล็กแห่งหนานจ้าวได้ จากคำกล่าวอ้างของฮูหยินเหยา ยิ่งทำให้แน่ใจว่าเด็กที่ตี้จีองค์เล็กพากลับมาที่หนานจ้าวเป็นน้องชายต่างมารดาของเขา
สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือสตรีผู้นั้นเคยไปที่เมืองเยี่ยน ดูเหมือนที่เรียกว่าการหลบหนีนั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่าการซ่อนตัวอยู่ในเมืองเยี่ยน ซ่อนตัวใต้เปลือกตาของเขากับซั่งกวนเยี่ยน
อวี๋หวั่นกลัวว่าเขาจะเสียใจ เธอจึงไม่รั้นให้เขาพูดถึงเรื่องนี้มากเกินไป เธอให้คนรับใช้มาเก็บอาหาร จากนั้นก็ไปเดินเล่นที่สวนกับเขาสักพักก่อนจะกลับห้องไปพักผ่อน
สามวัน
อีกแค่สามวันก็จะสามารถร่วมรักกันได้แล้ว
ครานี้ เธอเป็นคนนับวัน
เมื่อได้รู้ความจริงอันโหดร้ายเช่นนี้ จิตใจของเขาคงรู้สึกเหลือที่จะทน หากถึงเวลานั้นเธอจะชดเชยให้เขาเป็นอย่างดี ให้เขาได้กินอย่างอิ่มหนำสำราญและมีความสุข!
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ อวี๋หวั่นก็หอมแก้มเขาอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่เขาจะตอบสนอง เธอก็ล้มตัวลงนอนหันหลังให้เขา และดึงผ้าห่มขึ้นคลุมกาย
เป็นสามีภรรยากันมานานแล้ว แต่เหตุใดการกระทำเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ยังทำให้ใจสั่นด้วยความตื่นเต้น?
“อวี๋อาหวั่น”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง
ในความมืด อวี๋หวั่นเปิดเปลือกตาขึ้นพร้อมกับเงี่ยหูฟัง
ไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจาชวนวาบหวิว ไม่จำเป็นต้องรู้สึกขอบคุณ พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน เธอเอาอกเอาใจเขาเป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว
เยี่ยนจิ่วเฉา “เจ้าทับมือข้า”
อวี๋หวั่น “…”
…
สองวันต่อมาเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้แสดงอารมณ์มากนัก หลังจากอยู่ด้วยกันมานานเช่นนี้ อวี๋หวั่นก็เข้าใจนิสัยใจคอของเขาได้ระดับหนึ่งแล้ว เขาเป็นคนพูดน้อย ไม่ว่าเรื่องใดก็จะเก็บซ่อนไว้ในใจ ด้านหนึ่งอวี๋หวั่นก็เป็นห่วงเขา แต่ในขณะเดียวกันเรื่องนี้ก็ดูมีผลกระทบต่อเขาไม่มากนัก หากจะกล่าวให้ถูกต้อง เขาทำใจยอมรับได้เร็วกว่าที่คาดไว้ อวี๋หวั่นไม่รู้เลยว่าเยี่ยนจิ่วเฉาได้ประหลาดใจเพราะไป๋เสี่ยวเซิงไปนานแล้ว คิดเพียงว่าเยี่ยนอ๋องล่วงลับไปแล้ว จึงปล่อยวางจิตใจลงอย่างสิ้นเชิง
เมื่อถึงวันที่สามารถมีสัมพันธ์อันเร่าร้อน อวี๋หวั่นก็เลิกเรียกวิชาของวั่นมามาแต่เช้าตรู่ ลงมือเข้าครัวด้วยตนเอง เธอรู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาชอบรสเปรี้ยวรสเผ็ด เธอจึงทำปลาเปรี้ยวเผ็ดเป็นพิเศษ ปลาที่เอามาปรุงคือเฉ่าอวี๋ นำปลาเฉ่าอวี๋มาล้างให้สะอาด จากนั้นก็หั่นเป็นชิ้นๆ และนำไปพักไว้ ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ ตั้งไฟให้ร้อนเจ็ดนาที ใส่ขิงหั่นแว่น ใส่พริกไทย ถั่วฝักยาวดอง และพริกแห้งลงผัดจนเหลืองทั้งสองด้าน หลังจากนำขึ้นมาก็ใส่ปลาเฉ่าอวี๋ลงไปในกระทะ ทอดจนเหลืองทั้งสองด้าน จากนั้นจึงใส่น้ำเครื่องปรุงรสต้มจนเป็นน้ำแกงเข้มข้น เนื้อปลาเปื่อย ใส่ต้นกระเทียมผัดด้วยไฟแรงเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ และปลาเปรี้ยวเผ็ดเลิศรสนี้ก็พร้อมนำขึ้นจานแล้ว
เพื่อรสชาติที่ถูกปากของเยี่ยนจิ่วเฉา เธอจึงใส่น้ำส้มสายชูหมักเก่าแก่ลงไปเป็นพิเศษอีกสองช้อน
หลังจากเธอยกอาหารออกไป พ่อครัวก็มองน้ำแกงที่เหลืออยู่ก้นกระทะ พลันหยิบช้อนขึ้นมาตักชิมคำหนึ่ง และร่างทั้งร่างก็ถึงกับสั่นสะท้าน
นี่จะใช้น้ำส้มสายชูฆ่าให้ตายเลยเรอะ?!!
นอกจากปลาเปรี้ยวเผ็ด อวี๋หวั่นยังได้ผัดผักไหมรากบัว ซึ่งก็คือรากบัวในโลกก่อน อาหารชนิดนี้ไม่อร่อยหากไม่ใส่น้ำส้มสายชู ตรงกับรสชาติที่เยี่ยนจิ่วเฉาชื่นชอบพอดี
เมื่อเยี่ยนจิ่วเฉากลับมา ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าเรือน กลิ่นหอมของอาหารก็ลอยมาปะทะหน้า มันเป็นกลิ่นของน้ำส้มสายชูหมักเก่าแก่ที่คลุกเคล้ากับพริกทอด ชวนให้น้ำลายสอยิ่งนัก
ความรู้สึกรับรสของเขายังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ดี และบางทีก็อาจจะไม่ฟื้นตัวอีกแล้ว แต่การรับรสได้สองรส ก็ยังนับว่าโชคดีกว่าเมื่อก่อนมาก
เยี่ยนจิ่วเฉาเข้ามาในห้อง เปลี่ยนชุดข้าราชการที่แสนหนักอึ้งเป็นเสื้อผ้าที่เบาสบาย จากนั้นจึงไปทานอาหารเย็นกับอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นกะพริบตามองเขาด้วยดวงตาที่เป็นประกาย รอให้เขาชิมอาหารสองจานนั้นที่เธอทำ อาหารที่อร่อยที่สุดต้องเป็นฝีมือของเธออย่างแน่นอน เยี่ยนจิ่วเฉากินปลาเปรี้ยวเผ็ดกับผัดผักรากบัวเปรี้ยวเผ็ดไปไม่น้อย
อวี๋หวั่นคลี่ยิ้มหวาน
เธออิ่มเอิบใจยิ่งนัก
ความรู้สึกเช่นนี้มักเกิดขึ้นเฉพาะตอนที่ดูเหล่าเด็กอ้วนกินอาหาร ทว่าไม่นานมานี้ไม่ทราบเพราะเหตุใด เวลาที่มองดูเขากลับรู้สึกแบบนั้นเช่นกัน
นี่เป็นเพราะเห็นเขาเป็นเด็กอ้วนไปแล้ว หรือ…เพราะนับวันยิ่งรู้สึกสนใจในตัวเขามากขึ้นกันนะ?
“อร่อยหรือไม่?” อวี๋หวั่นถาม
“รสชาติแย่มาก!” เยี่ยนจิ่วเฉาทำสีหน้ารังเกียจ
“โอ้” อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว หากแน่จริงก็อย่ากินอาหารสองจานนี้ให้หมดแล้วกัน
แน่นอนว่าเยี่ยนจิ่วเฉากินหมดแล้ว แม้แต่พริกแห้งสักชิ้นก็ยังไม่เหลือ
อวี๋หวั่นรู้แล้วว่าเขาปากไม่ตรงกับใจ
อวี๋หวั่นรู้ดีแต่ไม่พูดออกมา สำหรับบุรุษ อย่างไรการไว้หน้าก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ
หลังมื้ออาหาร ทั้งคู่ก็ออกไปเดินเล่น ปั้นซย่าเข้ามาเก็บโต๊ะ และเห็นว่าบนโต๊ะขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยอาหาร มีเพียงอาหารสองจานที่พระชายาซื่อจื่อเป็นคนทำถูกกินจนหมดเกลี้ยง ปั้นซย่าอดสงสัยไม่ได้ว่า ที่พ่อครัวกล่าวว่าพระชายาซื่อจื่อมีฝีมือการทำอาหารไม่ดี เป็นเรื่องจริงหรือไม่
นางอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครสนใจ จุ่มนิ้วกับน้ำแกงที่เหลือในจานขึ้นมาชิม
ผลที่ได้ แทบทำให้นางมึนหัวตาลายกับรสชาติ!
เมื่อกลางวันเริ่มยาวนาน กลางคืนก็เริ่มช้าลง ท้องฟ้าสีน้ำเงินเทา คู่หนุ่มสาวเดินเล่นริมน้ำที่สายลมพัดโชยอ่อนๆ
อวี๋หวั่นจูงมือเขา
คิ้วเรียวหล่อเหลาของเยี่ยนจิ่วเฉาขมวดมุ่น
อวี๋หวั่นไม่ยอมปล่อย พละกำลังของเธอแข็งแกร่งกว่าเขา!
อวี๋หวั่นจูงมือของบุรุษราวกับรอบกายไร้ผู้คน ฮัมเป็นทำนองเพลงอย่างภาคภูมิใจยิ่ง ท่าทางเช่นนี้ทำให้เธอดูเหมือนจิ๊กโก๋ที่กำลังจูงหมาน้อยขี้อ้อน[1]แสนเชื่อฟัง
สีหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉายู่ยี่เล็กน้อย
“เยี่ยนจิ่วเฉา”
แล้วจู่ๆ เธอก็เอ่ยขึ้น
“หืม?”
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยรับคำ
อวี๋หวั่นคลี่ยิ้มหันมองเขาด้วยท่าทีเงียบสงบไม่ยินดียินร้าย “ถึงไม่มีท่านพ่อแล้วก็ไม่เป็นไร ข้ารักท่าน”
จู่ๆ หัวใจของเยี่ยนจิ่วเฉาก็เหมือนกับมีบางสิ่งพุ่งเข้าชนไม่หยุด
……………………………………………
[1] หมาน้อยขี้อ้อน 小奶狗 หมายถึง แฟนหนุ่มที่อ่อนโยน