หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 166.2 หวั่นหวั่นผู้ไร้ยางอาย (2)

บทที่ 166.2 หวั่นหวั่นผู้ไร้ยางอาย (2)

ด้านหนึ่งอวี๋หวั่นก็หวังว่าจะได้ยาถอนพิษ แต่อีกด้านหนึ่งอวี๋หวั่นก็หวังว่าพี่สาวของนายท่านเซียวอู่จะเป็นผู้บริสุทธิ์ ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันเช่นนี้ทำให้จิตใจอวี๋หวั่นเต็มไปด้วยความสับสนตลอดทั้งบ่าย กระทั่งจื่อซูมารายงานว่าเยี่ยนจิ่วเฉาตื่นแล้ว

อวี๋หวั่นเดินไปที่ห้อง เยี่ยนจิ่วเฉานั่งอยู่ที่หัวเตียง ใบหน้าซีดขาว ผมยุ่งเหยิง ช่างเป็นบุรุษงดงามผู้ป่วยไข้ที่โดดเด่นไม่เหมือนผู้ใดยิ่งนัก

ห้วงเวลานั้น อวี๋หวั่นพลันเกิดความคิดวิปริต สามีที่มีสภาพเช่นนี้ เธออยากจะเอาไปซ่อนไว้ทุกวัน ไม่ให้ผู้ใดได้เห็น

“มองอันใด?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามอย่างเย็นชา ทว่าด้วยความอ่อนแอ น้ำเสียงจึงไม่เหมือนข่มขู่ กลับเป็นความหยิ่งยโสเล็กน้อย

อวี๋หวั่นยิ่งรู้สึกหลงใหล

เธอเดินเข้าไปและใช้หน้าผากของตนเองสัมผัสกับหน้าผากของเขา

เยี่ยนจิ่วเฉารีบเอนหลังหนี ทว่าอวี๋หวั่นจับด้านหลังศีรษะของเขาไว้ทัน

หน้าผากของทั้งสองแนบชิดกัน

เยี่ยนจิ่วเฉาจ้องมองด้วยความโกรธเคือง ทรวงอกสูดหายใจกระเพื่อมขึ้นลง “อวี๋อาหวั่น!”

“ว่าอย่างไร” อวี๋หวั่นเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล พลางผละหน้าผากออกจากเขา “ดีขึ้นมากแล้ว ตัวไม่ร้อนแล้ว”

เยี่ยนจิ่วเฉาฮึดฮัดด้วยสีหน้าเย็นชา

ห้องครัวทำข้าวฟ่างต้ม อวี๋หวั่นยกชามเข้ามา

“ข้ากินเอง” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ย

“ท่านไม่มีแรง”

“ข้ามี”

“ข้าบอกว่าไม่มีก็คือไม่มี!”

ไม่พูดจากันด้วยเหตุผลยิ่งนัก!

ข้าวฟ่างต้มเพิ่งนำออกจากหม้อ ยังร้อนอยู่เล็กน้อย อวี๋หวั่นโรยลูกเกดและเถาจื่ออบแห้งสองสามลูกลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติ รอจนหายร้อนจึงป้อนเขาทีละคำ

เหมือนตอนแรกที่เธอป้อนเหล่าเด็กน้อย ยามที่ดูเขาอ้าปากรับช้อนที่เธอป้อน ทำให้เธอรู้สึกชื่นใจ

หลังพิษไป๋หลี่เซียงออกอาการ ความอยากอาหารของเยี่ยนจิ่วเฉาก็แย่ลง ข้าวฟ่างต้มถ้วยนี้ หากเขากินเอง มากที่สุดก็ไม่เกินสามสี่คำ ทว่าอวี๋หวั่นกลับป้อนทั้งชามลงในท้องของเขาได้

“ให้ข้าพยุงท่านไปเดินเล่นสักหน่อยหรือไม่?” อวี๋หวั่นวางชามลงแล้วยื่นมือไปหาเขา

เยี่ยนจิ่วเฉากัดฟันกรอด สูดหายใจ “อวี๋อาหวั่น ข้าถูกวางยาพิษ หาใช่โรคหลอดเลือดสมอง!”

“โอ้” อวี๋หวั่นถอนมือกลับ

เยี่ยนจิ่วเฉาเปิดผ้านวมและลุกขึ้นจากเตียง

อวี๋หวั่นนำผ้าคาดผมมามัดผมให้เขา จากนั้นก็สวมเสื้อคลุมตัวนอกให้เขา และรัดเข็มขัดติดกระดุมให้เขาอย่างระมัดระวัง

เยี่ยนจิ่วเฉามองอวี๋หวั่นที่กำลังจะเดินออกจากห้องไปอย่างแปลกประหลาด “เจ้าไม่กินหรือ?”

อวี๋หวั่นลูบท้องที่ค่อนข้างอิ่มของเธอ “เมื่อครู่ข้ากินของว่างไปเยอะแล้ว ข้าไม่หิว”

ในขณะที่เดินเล่น อวี๋หวั่นก็เล่าเหตุการณ์ในช่วงสองวันที่ผ่านมา “…ท่านถูกพิษไป๋หลี่เซียง ฮองเฮากล่าวว่าอาจเป็นปีที่ท่านกลับมาที่เมืองหลวงในอายุแปดขวบ ท่านถูกคนวางยาพิษในงานเลี้ยงวันเกิด ท่านจำได้หรือไม่ว่ามีผู้ใดป้อนอาหารแก่ท่าน?”

เยี่ยนจิ่วเฉาส่ายศีรษะ

ตอนนั้นบิดาของเขาเพิ่งจากไป เขาจิตใจล่องลอยตลอดทั้งวันจนจดจำเรื่องราวมากมายไม่ได้แล้ว

“เช่นนั้นท่านยังจำหวั่นเจาอี๋ได้หรือไม่?” อวี๋หวั่นถาม หากคืนนั้นเขาได้พบหวั่นเจาอี๋ หวั่นเจาอี๋ก็จะยิ่งเป็นคนที่น่าสงสัย

เยี่ยนจิ่วเฉาครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะส่ายศีรษะอีกครั้ง “ข้าจำไม่ได้”

อวี๋หวั่นไม่แปลกใจกับคำตอบนี้ คนฉลาดเยี่ยงเขา หากจะจดจำเรื่องใดเรื่องหนึ่งจริงๆ ก็สามารถจำได้ไปชั่วชีวิต ทว่านั่นเป็นปีแรกที่เขาสูญเสียบิดา และในปีเดียวกันมารดาก็ไปแต่งงานใหม่ โลกทั้งใบของเขาแตกสลาย ดังนั้นมันจึงเป็นปีที่เขาไม่อยากนึกถึงมากที่สุด หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในปีนั้นจึงถูกเขาบังคับให้ลบเลือนออกไปจากความทรงจำ

อวี๋หวั่นกล่าวด้วยท่าทีสบายๆ “ไม่เป็นไร ข้าต้องรู้ได้แน่”

ยาถอนพิษของท่านก็ต้องหาพบได้แน่นอนเช่นกัน!

เมื่อทั้งสองกลับไปที่เรือนชิงเฟิง ยาก็ต้มเสร็จแล้ว ยานั้นเต็มไปด้วยซวนจ่าวเหริน[1]ที่มีฤทธิ์สงบจิตใจ ช่วยให้นอนหลับ หลังจากเยี่ยนจิ่วเฉาดื่มเข้าไปไม่นานก็เริ่มรู้สึกง่วงนอน

อวี๋หวั่นอาบน้ำและมานอนลงข้างๆ เขา เมื่อเห็นว่าเปลือกตาของเขายังเปิดอยู่ จึงเอ่ยถามเบาๆ “ขอนอนกอดได้หรือไม่?”

เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยเสียงดุ “ไม่ได้!”

อวี๋หวั่นเหยียดแขนกอดเขาอย่างไร้ยางอาย

อวี๋หวั่นกำลังคิดว่าจะทดสอบคนร้ายที่วางยาพิษในปีนั้นได้อย่างไร ผู้ใดจะรู้ว่าโอกาสมาถึงแล้ว

วันสิ้นพระชนม์ของพระพันปีใกล้เข้ามา ฮ่องเต้ได้นำเหล่าขุนนางหลายร้อยคน ฮองเฮา นางสนมและรัชทายาทไปที่วัดต้าเจว๋เพื่อถวายตะเกียงสว่างนิรันดร์กาลแด่ไทเฮา หวั่นเจาอี๋ก็อยู่ในแถวที่ติดตามมาด้วย

หลังจากเยี่ยนจิ่วเฉา ‘ป่วยไข้’ ขันทีวังก็มาเยี่ยมเขาทุกวัน

ตามที่ฮ่องเต้กล่าว เยี่ยนจิ่วเฉากำลังเจ็บป่วย อย่าได้คิดตัดพ้อถึงอดีต คนที่ไทเฮาไม่อาจวางใจได้มากที่สุดก็คือเขา หากทำให้ตนเองย่ำแย่ลงเพื่อถวายตะเกียงสว่างนิรันดร์กาลแด่ไทเฮา วิญญาณของไทเฮาในปรโลกจะกลับยิ่งไม่เป็นสุข

ส่วนอวี๋หวั่นอยู่ดูแลเยี่ยนจิ่วเฉาที่จวน

อวี๋หวั่นกล่าวกับขันทีวังว่า “ความเมตตาของฝ่าบาท ซื่อจื่อเข้าใจดี ทว่าซื่อจื่อก็คิดถึงองค์ไทเฮายิ่งนัก ต้องการให้ข้าไปทำหน้าที่แทน เพื่อแสดงความกตัญญูต่อหน้าเสด็จย่าของเขา”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ก็ไม่อาจปฏิเสธ และอนุญาตให้อวี๋หวั่นไปกับเขา

วัดต้าเจว๋ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวง เป็นวัดเก่าแก่ที่มีประวัติยาวนานถึงสามร้อยปี การจุดธูปไหว้บิดามารดามีความเจริญเฟื่องฟูมาตั้งแต่ราชวงศ์ก่อน แม้เขาเจียงซานจะถูกเปลี่ยนมือแต่ก็ยังตั้งตระหง่านสูงใหญ่ จึงไม่น่าแปลกใจที่ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ต้าโจวจะนำตะเกียงสว่างนิรันดร์กาลของบรรพบุรุษมาไว้ที่นี่

ขบวนเสด็จของฮ่องเต้เดินมาอยู่ด้านหน้าสุด ตามมาด้วยฮองเฮา

ด้วยความเมตตาของฮองเฮาที่มีให้กับเธอ อวี๋หวั่นจึงถูกเรียกให้ขึ้นรถม้าของฮองเฮา

องค์หญิงจิ่วก็อยู่เช่นกัน เด็กหญิงตัวน้อยอยู่ดีกินดีที่ตำหนักเจาหยาง ไม่เจอกันเพียงครึ่งเดือนก็โตขึ้นมากแล้ว

องค์หญิงจิ่วไม่เคอะเขินอีกต่อไป นางจูงมืออวี๋หวั่นไปตลอดทาง ก่อนออกเดินทางฮองเฮาได้สอนนางว่าอย่าส่งเสียงดัง ภายในรถม้าจึงค่อนข้างเงียบสงบ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของนางดูมีความสุขที่ได้ออกจากตำหนัก

จู่ๆ อวี๋หวั่นก็นึกถึงเด็กอ้วนทั้งสาม ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเธอยุ่งอยู่กับการดูแลเยี่ยนจิ่วเฉา ไปหมู่บ้านเหลียนฮวาน้อยลง รอให้เรื่องวุ่นๆ นี้จบลง เธอจะไปรับพวกเขากลับมาจากหมู่บ้าน

เนื่องจากมีฮ่องเต้และเหล่านางสนมชั้นสูง รถม้าจึงเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ตลอดทาง ทำให้มาถึงเชิงเขาวัดต้าเจว๋ในเวลาเย็น วัดต้าเจว๋ได้รับข่าวแจ้งล่วงหน้า จึงหยุดรับผู้แสวงบุญเมื่อสามวันก่อน

ที่นี่ไม่มีพระสงฆ์ออกมาต้อนรับฮ่องเต้ที่เชิงเขา บุคคลสูงส่งเยี่ยงโอรสสวรรค์ก็ยังต้องเดินเท้าขึ้นเขาถึงหนึ่งพันก้าว ไม่เพียงแต่เป็นการเคารพองค์พระพุทธเจ้าเท่านั้น ทว่ายังเป็นการแสดงความกตัญญูต่อไทเฮาด้วย

เมื่อฮ่องเต้ยังเดินขึ้นเขา บรรดานางสนมและขุนนางก็ต้องปีนขึ้นเขาเช่นกัน เหล่าแม่ทัพเดินเท้าขึ้นไปอย่างสลายๆ ทว่าที่ยากลำบากคือกลุ่มนางสนมและขุนนางฝ่ายบุ๋น ที่ปีนกันจนหน้าดำหน้าแดง หอบเฮือกๆ

ในสภาพอากาศที่ร้อนจัด ยังต้องสวมเสื้อผ้าชาววังและข้าราชการที่ทั้งหนักและหนา ทำให้ผ่านไปไม่นานก็มีข้าราชบริพารที่ทนไม่ไหวและต้องเผชิญกับโรคลมแดด

ก่อนที่อวี๋หวั่นจะออกมา เธอนำยาคลายร้อนติดมาด้วย ไม่ใช่เธอนำมาด้วยตนเอง ทว่าสามีบังคับยัดใส่กระเป๋าเงินของเธอ ปากก็กล่าวว่าไม่สนใจใยดี ทว่าในใจกลับเป็นห่วงเธอมากเลยมิใช่หรือ?

อวี๋หวั่นโค้งมุมปาก และหยิบยาคลายร้อนออกจากกระเป๋าเงิน เพื่อแบ่งให้กับข้าราชบริพารที่ประสบกับโรคลมแดด

ยาคลายร้อนเป็นสูตรของชุยเฒ่า ซึ่งมีส่วนผสมหลักคือใบโป้เห้อ(มินต์) และดอกสายน้ำผึ้ง มีฤทธิ์ช่วยคลายความร้อนที่ยอดเยี่ยม แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เต็มใจใช้ยาของเธอ แม้ว่าเธอจะแต่งงานกับเยี่ยนจิ่วเฉา และมีท่านพ่อที่เป็นท่านโหว ทว่าชาติกำเนิดของเธอมาจากชนบท คนส่วนใหญ่ยังแอบคิดดูถูกเธอ ว่ายาที่เธอให้ จะมีผลดีอย่างไรได้?

“ไม่จำเป็น หมอหลวงมียา ยาของพระชายาซื่อจื่อสูงส่ง ข้าไม่กล้ารับ”

คนที่เอ่ยคือคนรับใช้ของรองเจ้ากรมอาญาท่านหนึ่งที่มีแซ่ว่าฉิน

วาจาสวยหรู ทว่าผู้ใดจะฟังไม่ออกว่าเขารังเกียจยาของอวี๋หวั่น คิดว่ามันช่วยอะไรไม่ได้?

อวี๋หวั่นแค่มีน้ำใจเอายาให้เท่านั้น มิได้พยายามเอาอกเอาใจผู้ใด หากไม่ชอบก็มิได้ว่า อยากทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้น

หมอหลวงหนุ่มสองคนเดินตามมา ทั้งคู่มีร่างกายแข็งแรงดี ไม่นานก็นำกล่องยาด้านหลังมาฉีดให้กับข้าราชบริพารที่เป็นโรคลมแดด

“พระชายาซื่อจื่อ”

ขันทีเฉลียวฉลาดผู้หนึ่งเดินเข้ามาและคำนับเธอด้วยเสียงแผ่วเบา

อวี๋หวั่นรู้สึกคุ้นหน้าเขาเล็กน้อย

เขาเอ่ยแนะนำตัว “ข้าฝูอัน เป็นคนรับใช้ของตำหนักเฉิงอ๋องขอรับ”

มิน่าถึงได้ดูคุ้นๆ ที่แท้ก็เป็นขันทีของตำหนักเฉิงอ๋อง

“เจ้านายของเจ้ามีเรื่องอันใดกับข้าหรือ?” อวี๋หวั่นถาม

ฝูอันกล่าวว่า “ท่านอ๋องเห็นพระชายาซื่อจื่อแจกจ่ายยา จึงใคร่ถามว่ามีอยู่หรือไม่ พระองค์ใกล้จะเป็นลมแดดแล้ว”

เฉิงอ๋องเคยเห็นทักษะการแพทย์ของอวี๋หวั่น จึงรู้ดีว่ายาของเธอไม่มีทางไม่ได้ผล

อวี๋หวั่นยื่นขวดยาให้เขาด้วยความใจกว้าง

ฝูอันรับไว้ด้วยสองมือ “ขอบคุณพระชายาซื่อจื่อยิ่งนัก”

…………………………………………………….

[1] ซวนจ่าวเหริน เป็นผลไม้ที่อยู่ในวงศ์พุทรา นำมาเป็นยาที่อยู่ในกลุ่มสงบจิตใจ ช่วยให้นอนหลับ

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]

Status: Ongoing

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร

เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน

ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว

ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน…

ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?!

สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย

บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป…

วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย?

ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้…

“ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง

“เรียกแม่สิ”

เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท