ด้านหนึ่งอวี๋หวั่นก็หวังว่าจะได้ยาถอนพิษ แต่อีกด้านหนึ่งอวี๋หวั่นก็หวังว่าพี่สาวของนายท่านเซียวอู่จะเป็นผู้บริสุทธิ์ ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันเช่นนี้ทำให้จิตใจอวี๋หวั่นเต็มไปด้วยความสับสนตลอดทั้งบ่าย กระทั่งจื่อซูมารายงานว่าเยี่ยนจิ่วเฉาตื่นแล้ว
อวี๋หวั่นเดินไปที่ห้อง เยี่ยนจิ่วเฉานั่งอยู่ที่หัวเตียง ใบหน้าซีดขาว ผมยุ่งเหยิง ช่างเป็นบุรุษงดงามผู้ป่วยไข้ที่โดดเด่นไม่เหมือนผู้ใดยิ่งนัก
ห้วงเวลานั้น อวี๋หวั่นพลันเกิดความคิดวิปริต สามีที่มีสภาพเช่นนี้ เธออยากจะเอาไปซ่อนไว้ทุกวัน ไม่ให้ผู้ใดได้เห็น
“มองอันใด?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามอย่างเย็นชา ทว่าด้วยความอ่อนแอ น้ำเสียงจึงไม่เหมือนข่มขู่ กลับเป็นความหยิ่งยโสเล็กน้อย
อวี๋หวั่นยิ่งรู้สึกหลงใหล
เธอเดินเข้าไปและใช้หน้าผากของตนเองสัมผัสกับหน้าผากของเขา
เยี่ยนจิ่วเฉารีบเอนหลังหนี ทว่าอวี๋หวั่นจับด้านหลังศีรษะของเขาไว้ทัน
หน้าผากของทั้งสองแนบชิดกัน
เยี่ยนจิ่วเฉาจ้องมองด้วยความโกรธเคือง ทรวงอกสูดหายใจกระเพื่อมขึ้นลง “อวี๋อาหวั่น!”
“ว่าอย่างไร” อวี๋หวั่นเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล พลางผละหน้าผากออกจากเขา “ดีขึ้นมากแล้ว ตัวไม่ร้อนแล้ว”
เยี่ยนจิ่วเฉาฮึดฮัดด้วยสีหน้าเย็นชา
ห้องครัวทำข้าวฟ่างต้ม อวี๋หวั่นยกชามเข้ามา
“ข้ากินเอง” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ย
“ท่านไม่มีแรง”
“ข้ามี”
“ข้าบอกว่าไม่มีก็คือไม่มี!”
ไม่พูดจากันด้วยเหตุผลยิ่งนัก!
ข้าวฟ่างต้มเพิ่งนำออกจากหม้อ ยังร้อนอยู่เล็กน้อย อวี๋หวั่นโรยลูกเกดและเถาจื่ออบแห้งสองสามลูกลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติ รอจนหายร้อนจึงป้อนเขาทีละคำ
เหมือนตอนแรกที่เธอป้อนเหล่าเด็กน้อย ยามที่ดูเขาอ้าปากรับช้อนที่เธอป้อน ทำให้เธอรู้สึกชื่นใจ
หลังพิษไป๋หลี่เซียงออกอาการ ความอยากอาหารของเยี่ยนจิ่วเฉาก็แย่ลง ข้าวฟ่างต้มถ้วยนี้ หากเขากินเอง มากที่สุดก็ไม่เกินสามสี่คำ ทว่าอวี๋หวั่นกลับป้อนทั้งชามลงในท้องของเขาได้
“ให้ข้าพยุงท่านไปเดินเล่นสักหน่อยหรือไม่?” อวี๋หวั่นวางชามลงแล้วยื่นมือไปหาเขา
เยี่ยนจิ่วเฉากัดฟันกรอด สูดหายใจ “อวี๋อาหวั่น ข้าถูกวางยาพิษ หาใช่โรคหลอดเลือดสมอง!”
“โอ้” อวี๋หวั่นถอนมือกลับ
เยี่ยนจิ่วเฉาเปิดผ้านวมและลุกขึ้นจากเตียง
อวี๋หวั่นนำผ้าคาดผมมามัดผมให้เขา จากนั้นก็สวมเสื้อคลุมตัวนอกให้เขา และรัดเข็มขัดติดกระดุมให้เขาอย่างระมัดระวัง
เยี่ยนจิ่วเฉามองอวี๋หวั่นที่กำลังจะเดินออกจากห้องไปอย่างแปลกประหลาด “เจ้าไม่กินหรือ?”
อวี๋หวั่นลูบท้องที่ค่อนข้างอิ่มของเธอ “เมื่อครู่ข้ากินของว่างไปเยอะแล้ว ข้าไม่หิว”
ในขณะที่เดินเล่น อวี๋หวั่นก็เล่าเหตุการณ์ในช่วงสองวันที่ผ่านมา “…ท่านถูกพิษไป๋หลี่เซียง ฮองเฮากล่าวว่าอาจเป็นปีที่ท่านกลับมาที่เมืองหลวงในอายุแปดขวบ ท่านถูกคนวางยาพิษในงานเลี้ยงวันเกิด ท่านจำได้หรือไม่ว่ามีผู้ใดป้อนอาหารแก่ท่าน?”
เยี่ยนจิ่วเฉาส่ายศีรษะ
ตอนนั้นบิดาของเขาเพิ่งจากไป เขาจิตใจล่องลอยตลอดทั้งวันจนจดจำเรื่องราวมากมายไม่ได้แล้ว
“เช่นนั้นท่านยังจำหวั่นเจาอี๋ได้หรือไม่?” อวี๋หวั่นถาม หากคืนนั้นเขาได้พบหวั่นเจาอี๋ หวั่นเจาอี๋ก็จะยิ่งเป็นคนที่น่าสงสัย
เยี่ยนจิ่วเฉาครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะส่ายศีรษะอีกครั้ง “ข้าจำไม่ได้”
อวี๋หวั่นไม่แปลกใจกับคำตอบนี้ คนฉลาดเยี่ยงเขา หากจะจดจำเรื่องใดเรื่องหนึ่งจริงๆ ก็สามารถจำได้ไปชั่วชีวิต ทว่านั่นเป็นปีแรกที่เขาสูญเสียบิดา และในปีเดียวกันมารดาก็ไปแต่งงานใหม่ โลกทั้งใบของเขาแตกสลาย ดังนั้นมันจึงเป็นปีที่เขาไม่อยากนึกถึงมากที่สุด หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในปีนั้นจึงถูกเขาบังคับให้ลบเลือนออกไปจากความทรงจำ
อวี๋หวั่นกล่าวด้วยท่าทีสบายๆ “ไม่เป็นไร ข้าต้องรู้ได้แน่”
ยาถอนพิษของท่านก็ต้องหาพบได้แน่นอนเช่นกัน!
เมื่อทั้งสองกลับไปที่เรือนชิงเฟิง ยาก็ต้มเสร็จแล้ว ยานั้นเต็มไปด้วยซวนจ่าวเหริน[1]ที่มีฤทธิ์สงบจิตใจ ช่วยให้นอนหลับ หลังจากเยี่ยนจิ่วเฉาดื่มเข้าไปไม่นานก็เริ่มรู้สึกง่วงนอน
อวี๋หวั่นอาบน้ำและมานอนลงข้างๆ เขา เมื่อเห็นว่าเปลือกตาของเขายังเปิดอยู่ จึงเอ่ยถามเบาๆ “ขอนอนกอดได้หรือไม่?”
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยเสียงดุ “ไม่ได้!”
อวี๋หวั่นเหยียดแขนกอดเขาอย่างไร้ยางอาย
…
อวี๋หวั่นกำลังคิดว่าจะทดสอบคนร้ายที่วางยาพิษในปีนั้นได้อย่างไร ผู้ใดจะรู้ว่าโอกาสมาถึงแล้ว
วันสิ้นพระชนม์ของพระพันปีใกล้เข้ามา ฮ่องเต้ได้นำเหล่าขุนนางหลายร้อยคน ฮองเฮา นางสนมและรัชทายาทไปที่วัดต้าเจว๋เพื่อถวายตะเกียงสว่างนิรันดร์กาลแด่ไทเฮา หวั่นเจาอี๋ก็อยู่ในแถวที่ติดตามมาด้วย
หลังจากเยี่ยนจิ่วเฉา ‘ป่วยไข้’ ขันทีวังก็มาเยี่ยมเขาทุกวัน
ตามที่ฮ่องเต้กล่าว เยี่ยนจิ่วเฉากำลังเจ็บป่วย อย่าได้คิดตัดพ้อถึงอดีต คนที่ไทเฮาไม่อาจวางใจได้มากที่สุดก็คือเขา หากทำให้ตนเองย่ำแย่ลงเพื่อถวายตะเกียงสว่างนิรันดร์กาลแด่ไทเฮา วิญญาณของไทเฮาในปรโลกจะกลับยิ่งไม่เป็นสุข
ส่วนอวี๋หวั่นอยู่ดูแลเยี่ยนจิ่วเฉาที่จวน
อวี๋หวั่นกล่าวกับขันทีวังว่า “ความเมตตาของฝ่าบาท ซื่อจื่อเข้าใจดี ทว่าซื่อจื่อก็คิดถึงองค์ไทเฮายิ่งนัก ต้องการให้ข้าไปทำหน้าที่แทน เพื่อแสดงความกตัญญูต่อหน้าเสด็จย่าของเขา”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ก็ไม่อาจปฏิเสธ และอนุญาตให้อวี๋หวั่นไปกับเขา
วัดต้าเจว๋ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวง เป็นวัดเก่าแก่ที่มีประวัติยาวนานถึงสามร้อยปี การจุดธูปไหว้บิดามารดามีความเจริญเฟื่องฟูมาตั้งแต่ราชวงศ์ก่อน แม้เขาเจียงซานจะถูกเปลี่ยนมือแต่ก็ยังตั้งตระหง่านสูงใหญ่ จึงไม่น่าแปลกใจที่ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ต้าโจวจะนำตะเกียงสว่างนิรันดร์กาลของบรรพบุรุษมาไว้ที่นี่
ขบวนเสด็จของฮ่องเต้เดินมาอยู่ด้านหน้าสุด ตามมาด้วยฮองเฮา
ด้วยความเมตตาของฮองเฮาที่มีให้กับเธอ อวี๋หวั่นจึงถูกเรียกให้ขึ้นรถม้าของฮองเฮา
องค์หญิงจิ่วก็อยู่เช่นกัน เด็กหญิงตัวน้อยอยู่ดีกินดีที่ตำหนักเจาหยาง ไม่เจอกันเพียงครึ่งเดือนก็โตขึ้นมากแล้ว
องค์หญิงจิ่วไม่เคอะเขินอีกต่อไป นางจูงมืออวี๋หวั่นไปตลอดทาง ก่อนออกเดินทางฮองเฮาได้สอนนางว่าอย่าส่งเสียงดัง ภายในรถม้าจึงค่อนข้างเงียบสงบ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของนางดูมีความสุขที่ได้ออกจากตำหนัก
จู่ๆ อวี๋หวั่นก็นึกถึงเด็กอ้วนทั้งสาม ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเธอยุ่งอยู่กับการดูแลเยี่ยนจิ่วเฉา ไปหมู่บ้านเหลียนฮวาน้อยลง รอให้เรื่องวุ่นๆ นี้จบลง เธอจะไปรับพวกเขากลับมาจากหมู่บ้าน
เนื่องจากมีฮ่องเต้และเหล่านางสนมชั้นสูง รถม้าจึงเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ตลอดทาง ทำให้มาถึงเชิงเขาวัดต้าเจว๋ในเวลาเย็น วัดต้าเจว๋ได้รับข่าวแจ้งล่วงหน้า จึงหยุดรับผู้แสวงบุญเมื่อสามวันก่อน
ที่นี่ไม่มีพระสงฆ์ออกมาต้อนรับฮ่องเต้ที่เชิงเขา บุคคลสูงส่งเยี่ยงโอรสสวรรค์ก็ยังต้องเดินเท้าขึ้นเขาถึงหนึ่งพันก้าว ไม่เพียงแต่เป็นการเคารพองค์พระพุทธเจ้าเท่านั้น ทว่ายังเป็นการแสดงความกตัญญูต่อไทเฮาด้วย
เมื่อฮ่องเต้ยังเดินขึ้นเขา บรรดานางสนมและขุนนางก็ต้องปีนขึ้นเขาเช่นกัน เหล่าแม่ทัพเดินเท้าขึ้นไปอย่างสลายๆ ทว่าที่ยากลำบากคือกลุ่มนางสนมและขุนนางฝ่ายบุ๋น ที่ปีนกันจนหน้าดำหน้าแดง หอบเฮือกๆ
ในสภาพอากาศที่ร้อนจัด ยังต้องสวมเสื้อผ้าชาววังและข้าราชการที่ทั้งหนักและหนา ทำให้ผ่านไปไม่นานก็มีข้าราชบริพารที่ทนไม่ไหวและต้องเผชิญกับโรคลมแดด
ก่อนที่อวี๋หวั่นจะออกมา เธอนำยาคลายร้อนติดมาด้วย ไม่ใช่เธอนำมาด้วยตนเอง ทว่าสามีบังคับยัดใส่กระเป๋าเงินของเธอ ปากก็กล่าวว่าไม่สนใจใยดี ทว่าในใจกลับเป็นห่วงเธอมากเลยมิใช่หรือ?
อวี๋หวั่นโค้งมุมปาก และหยิบยาคลายร้อนออกจากกระเป๋าเงิน เพื่อแบ่งให้กับข้าราชบริพารที่ประสบกับโรคลมแดด
ยาคลายร้อนเป็นสูตรของชุยเฒ่า ซึ่งมีส่วนผสมหลักคือใบโป้เห้อ(มินต์) และดอกสายน้ำผึ้ง มีฤทธิ์ช่วยคลายความร้อนที่ยอดเยี่ยม แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เต็มใจใช้ยาของเธอ แม้ว่าเธอจะแต่งงานกับเยี่ยนจิ่วเฉา และมีท่านพ่อที่เป็นท่านโหว ทว่าชาติกำเนิดของเธอมาจากชนบท คนส่วนใหญ่ยังแอบคิดดูถูกเธอ ว่ายาที่เธอให้ จะมีผลดีอย่างไรได้?
“ไม่จำเป็น หมอหลวงมียา ยาของพระชายาซื่อจื่อสูงส่ง ข้าไม่กล้ารับ”
คนที่เอ่ยคือคนรับใช้ของรองเจ้ากรมอาญาท่านหนึ่งที่มีแซ่ว่าฉิน
วาจาสวยหรู ทว่าผู้ใดจะฟังไม่ออกว่าเขารังเกียจยาของอวี๋หวั่น คิดว่ามันช่วยอะไรไม่ได้?
อวี๋หวั่นแค่มีน้ำใจเอายาให้เท่านั้น มิได้พยายามเอาอกเอาใจผู้ใด หากไม่ชอบก็มิได้ว่า อยากทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้น
หมอหลวงหนุ่มสองคนเดินตามมา ทั้งคู่มีร่างกายแข็งแรงดี ไม่นานก็นำกล่องยาด้านหลังมาฉีดให้กับข้าราชบริพารที่เป็นโรคลมแดด
“พระชายาซื่อจื่อ”
ขันทีเฉลียวฉลาดผู้หนึ่งเดินเข้ามาและคำนับเธอด้วยเสียงแผ่วเบา
อวี๋หวั่นรู้สึกคุ้นหน้าเขาเล็กน้อย
เขาเอ่ยแนะนำตัว “ข้าฝูอัน เป็นคนรับใช้ของตำหนักเฉิงอ๋องขอรับ”
มิน่าถึงได้ดูคุ้นๆ ที่แท้ก็เป็นขันทีของตำหนักเฉิงอ๋อง
“เจ้านายของเจ้ามีเรื่องอันใดกับข้าหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
ฝูอันกล่าวว่า “ท่านอ๋องเห็นพระชายาซื่อจื่อแจกจ่ายยา จึงใคร่ถามว่ามีอยู่หรือไม่ พระองค์ใกล้จะเป็นลมแดดแล้ว”
เฉิงอ๋องเคยเห็นทักษะการแพทย์ของอวี๋หวั่น จึงรู้ดีว่ายาของเธอไม่มีทางไม่ได้ผล
อวี๋หวั่นยื่นขวดยาให้เขาด้วยความใจกว้าง
ฝูอันรับไว้ด้วยสองมือ “ขอบคุณพระชายาซื่อจื่อยิ่งนัก”
…………………………………………………….
[1] ซวนจ่าวเหริน เป็นผลไม้ที่อยู่ในวงศ์พุทรา นำมาเป็นยาที่อยู่ในกลุ่มสงบจิตใจ ช่วยให้นอนหลับ