หวั่นเจาอี๋ก็ผงะไปเช่นกัน
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างละอายใจ “ข้ามากะทันหันเกินไปใช่หรือไม่? คงมิได้ขัดจังหวะการย้อนรำลึกความหลังของท่านพ่อกับพระสนมหวั่นเจาอี๋กระมัง?”
หวั่นเจาอี๋กำลังจะเอื้อนเอ่ย ทว่าวาจายังไม่ทันออกจากปาก เซียวเจิ้นถิงก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี “ไม่เลย ข้าแค่บังเอิญพบกับพระสนมหวั่นเจาอี๋ จึงกล่าวทักทายกันเท่านั้น เจ้าจะกลับจวนแล้วหรือ?”
“อื้ม” อวี๋หวั่นพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
เซียวเจิ้นถิงรีบเอ่ยต่อ “ข้าจะไปส่ง”
เอ่ยจบ ก็หันกลับมายกมือคำนับหวั่นเจาอี๋ “พระสนมโปรดรักษาพระวรกายด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอทูลลา”
“ท่านพ่อ ข้าอยากกินหลี่จื่อ”
“กลับไปจะเก็บให้เจ้า”
“แล้วก็แตงหวานด้วย”
“ได้สิ จะเก็บให้เจ้าด้วยเช่นกัน”
เสียงสนทนาของทั้งสองค่อยๆ ไกลออกไป ภาพตรงหน้าไม่ว่าผู้ใดก็คงไม่อาจบอกว่าทั้งสองไม่ใช่บิดากับบุตรสาว แน่นอน อวี๋หวั่นเป็นสะใภ้ของเซียวเจิ้นถิง หากไม่ใช่เพราะรักจริงๆ ก็คงไม่แสดงออกถึงความรักเช่นนี้
หวั่นเจาอี๋ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น กระทั่งมองไม่เห็นชายเสื้อของคนทั้งสองอีกต่อไป จึงได้ถือถ้วยสมุนไพรบำรุงร่างกายที่ต้มเสร็จแล้วเข้าไปยังห้องทรงพระอักษร
เซียวเจิ้นถิงที่ถูกอวี๋หวั่นเรียกท่านพ่ออยู่หลายหน เกิดปีติดีใจจนไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้ ยามก้าวขาเข้ารถม้าก็หลงลืมที่จะย่อตัวก้มหัว ทำให้ศีรษะชนกับหลังคารถม้าจนพังยับ
หลังคารถม้า : นี่ข้าผิดอันใด…
เซียวเจิ้นถิงเข้าวังมิได้มีเรื่องใหญ่โตอันใด เพียงแต่ทางด้านตะวันออกมีชนกลุ่มน้อยหมานอี๋ไม่ซื่อสัตย์ เดินอยู่รอบๆ ชายแดนคอยสร้างความโกลาหล ฮ่องเต้ให้เซียวเจิ้นถิงคิดแผนการรับมือกับศัตรู เซียวเจิ้นถิงก็ให้คำแนะนำในการตัดสินใจอย่างมีคุณธรรม แม้ว่าการต่อสู้กับซยงหนูจะจบลงด้วยชัยชนะของต้าโจว ทว่าขวัญกำลังใจของทหารหน่วยพิทักษ์ชายแดนสูญเสียไปมาก ทั้งหมดนี้กล่าวผิดหรือไม่? เป็นเพราะต้าโจวไม่มีผู้ใดให้ใช้ได้หรือเพราะฮ่องเต้ไม่กล้าใช้? ฮ่องเต้ยังถามตนเองมากกว่าหนึ่งครั้งว่าหากเขาส่งเซียวเจิ้นถิงไปทางเหนือให้เร็วกว่านี้ สิ่งที่ต้องแลกก็อาจจะไม่มากมายถึงเพียงนี้หรือไม่?
ฮ่องเต้ไม่กล้าเอ่ยเรื่องนี้กับคนอื่น มีหรือจะกล้าเอ่ยกับเซียวเจิ้นถิง
“เจ้าตั้งใจจะนำกองทหารไปหรือ?” ฮ่องเต้ถามหยั่งเชิง
“หากฝ่าบาทมีรับสั่ง กระหม่อมก็พร้อมทำตามพ่ะย่ะค่ะ”
นี่แปลว่ามิได้ตั้งใจเช่นนั้น
ฮ่องเต้ประหลาดใจเล็กน้อย เซียวเจิ้นถิงผู้คุ้นเคยกับการทำสงครามมาตลอด ยอมอ่อนข้อไม่รบรา เขาคิดจะกระทำการใดกันแน่?
ต้องการหายาถอนพิษให้เยี่ยนจิ่วเฉา แน่นอนว่าเซียวเจิ้นถิงไม่อาจเอ่ยความจริงกับฮ่องเต้
แม้ว่าความรักของทั้งสองคนที่มีต่อเยี่ยนจิ่วเฉาจะเหมือนกัน ทว่าตั้งแต่วินาทีที่ฮ่องเต้ทำลายการแต่งงานระหว่างเซียวเจิ้นถิงกับซั่งกวนเยี่ยน ความสัมพันธ์ฉันท์ราชากับสามัญชนของทั้งสองก็หยุดลงตรงนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ชนเผ่าหมานอี๋เล็กๆ ทางตะวันออกก็มิได้น่ากลัว แม่ทัพตะวันออกไกล ผังฮุยไหน่ ลุงของผังเหริน ก็เป็นขุนพลผู้กล้าหาญในด้านหนึ่ง สามารถทำให้พรมแดนด้านตะวันออกแข็งแกร่งไม่สามารถตีให้แตกได้อย่างแน่นอน
หลังจากเซียวเจิ้นถิงมาส่งอวี๋หวั่นที่จวนคุณชาย ก็แวะไปดูอาการเยี่ยนจิ่วเฉา เยี่ยนจิ่วเฉาตื่นขึ้นมาได้สองชั่วยามแล้ว หลังจากทานมื้อกลางวันก็กลับไปพักผ่อนอีกครั้ง เซียวเจิ้นถิงไม่ได้ปลุกเขาให้ตื่น เพียงนั่งดูสักพัก แล้วจึงไปเก็บผลไม้ที่อวี๋หวั่นอยากกินมาจากสวน และเดินทางกลับบ้าน
อวี๋หวั่นมองตะกร้าใหญ่ที่เต็มไปด้วยผลไม้สองใบด้านหน้า ก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เธอเพียงตั้งใจจะยึดเซียวเจิ้นถิงมาต่อหน้าหวั่นเจาอี๋เท่านั้น ผู้ใดต้องการให้เขาเก็บผลไม้ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวเช่นนี้จริงๆ กัน?
อวี๋หวั่นหยิบชิมผลหลี่จื่อ
อื้ม หวาน
อิ่งสือซันไม่รู้ว่าไปทำสิ่งใด ส่วนอิ่งลิ่วยังอยู่ในห้อง
อวี๋หวั่นให้จื่อซูตามอิ่งลิ่วไปที่ห้องตำรา
“พระชายาซื่อจื่อ” อิ่งลิ่วยกมือคำนับ
อวี๋หวั่นปิดประตู “ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้า”
“พระชายาเชิญเอ่ย” ประตูทั้งหมดถูกปิดสนิท เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก
อวี๋หวั่นกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้า…รู้จักหวั่นเจาอี๋หรือไม่?”
อิ่งลิ่วขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ข้าน้อยรู้จักนาง ทว่านางไม่รู้จักข้า เหตุใดจู่ๆ พระชายาจึงถามถึงนาง?”
มิใช่เพราะพบนางกับเซียวเจิ้นถิงคุยกันอยู่ด้านนอกห้องทรงพระอักษรหรือ?
อวี๋หวั่นหวังว่าตนเองจะคิดมากเกินไป นางไม่เอ่ยถึงเซียวเจิ้นถิง และนายท่านเซียวอู่ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเธอ หากไม่จำเป็นจริง เธอก็ไม่อยากสงสัยพี่สาวแท้ๆ ของเขา ทว่าหลังจากเกิดเรื่องซูมู่ขึ้น เมื่อเธอมองสตรีภายนอกเหล่านั้นอีกครั้งก็ยิ่งมีความรู้สึกบางอย่าง
สายตาของหวั่นเจาอี๋ที่จ้องมองเซียวเจิ้นถิงเมื่อครู่ทำให้เธอเกิดความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้
เธอรู้สึกไม่ค่อยชอบนัก
อวี๋หวั่นกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าพบนางที่ด้านนอกห้องตำรา นางคุ้นเคยกับแม่ทัพใหญ่เซียวมากเลยหรือ?”
อิ่งลิ่วตอบ “อา แม่ทัพใหญ่เซียวเป็นพี่ใหญ่ร่วมสาบานของนายท่านเซียวอู่ พวกเขามีแซ่เซียวเช่นเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายไปมาหาสู่กันตลอด”
“มีเท่านี้หรือ?” อวี๋หวั่นถาม
อิ่งลิ่วขมวดคิ้ว “ว่ากันว่า…”
“ว่ากันว่าหวั่นเจาอี๋กับแม่ทัพใหญ่เซียวเคยคุยเรื่องการแต่งงานมาก่อน!”
ชุยเฒ่าปรากฏตัวขึ้นที่ประตูโดยที่ไม่อาจทราบได้ว่ามาเมื่อไร เขาถือขาแพะย่างชิ้นอ้วนเนื้อนุ่ม พลางผลักประตูให้เปิดออก และยืนพิงกรอบประตูเคี้ยวขาแพะด้วยท่าทีสบายๆ
ดวงตาของอิ่งลิ่วจ้องถมึง “เจ้าแก่นี่ ยังกินลงอีก!”
ชุยเฒ่าฮึดฮัด “หากข้าไม่กิน จะเอาเรี่ยวแรงที่ใดไปรักษาซื่อจื่อของพวกเจ้าเล่า…อ้อไม่ใช่ ไปสอนทักษะการแพทย์ให้พระชายาซื่อจื่อ? เป็นอาจารย์นี่ก็เหนื่อยมากเหมือนกันนะ!”
อิ่งลิ่วกลอกตารอบใหญ่
ชุยเฒ่ามองไปที่อวี๋หวั่น “แล้วก็เจ้า ยายเด็กนี่ เหตุใดถึงพาหมอหลวงมาที่จวน? ข้าเกือบมีพิรุธทำความลับแตกแล้วเจ้ารู้หรือไม่?!”
ฮองเฮาเป็นคนส่งมา อวี๋หวั่นเพียงแค่ไม่ได้เตือนเขาล่วงหน้า “ผู้ใดให้ท่านไม่ทำตัวเป็นข้าราชการดีๆ เสียตั้งแต่ทีแรก กลับมาช่วยคนเลวสร้างกรรมชั่ว”
“แค่ก” การถูกพลิกบัญชีเก่า ทำให้ชุยเฒ่าหมดความมั่นใจ
ฮองเฮาส่งหมอหลวงเหลียงมา ด้านหนึ่งเพื่อรักษาเยี่ยนจิ่วเฉา และอีกด้านหนึ่งเพื่อต้องการรู้ว่าร่างกายของเยี่ยนจิ่วเฉายังสามารถหนุนให้ชิ่งอ๋องเป็นว่าที่กษัตริย์ได้อยู่หรือไม่ อวี๋หวั่นไม่ได้ถามเกี่ยวกับผลการจับชีพจรว่าเป็นอย่างไร หากแค่หมอหลวงยังไม่สามารถหลอกล่อได้ เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าเขาจะสามารถถอนพิษให้เยี่ยนจิ่วเฉาได้เลย
ชุยเฒ่ากัดขาแพะแล้วเอ่ยว่า “โชคดีที่ข้าเฉลียวฉลาด ทำให้เป็นเรื่องง่ายดาย และยังกดชีพจรของซื่อจื่อไว้ได้ คนแซ่เหลียงนั่นรู้มากสุดก็แค่ชีพจรไม่ปกติ ทว่าเหตุใดถึงไม่ปกติ? คงต้องคิดจนหัวแทบระเบิด!”
เป็นเช่นนี้ ฮองเฮาคงไม่อาจบอกได้ว่าร่างกายของเยี่ยนจิ่วเฉาดีหรือไม่ดี ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว
อวี๋หวั่นกลับเข้าประเด็นหลัก “เมื่อครู่ท่านบอกว่าหวั่นเจาอี๋กับแม่ทัพใหญ่เซียวเคยคุยเรื่องการแต่งงานมาก่อน เป็นเรื่องอันใดกัน?”
“นั่นสิ เรื่องอันใดกัน?” อิ่งลิ่วถาม นี่เป็นบุญคุณความแค้นของคนรุ่นก่อน แม้อิ่งลิ่วจะเป็นหน่วยสอดแนม ทว่าหากไม่มีเรื่องใด เขาก็ไม่มีทางไปตรวจสอบเรื่องของหวั่นเจาอี๋โดยไม่มีเหตุผล
ที่ชุยเฒ่ารู้ ก็ต้องขอบคุณสวี่เสียนเฟย ในวังหลังแทบไม่มีสิ่งใดที่สวี่เสียนเฟยไม่รู้ อย่างที่กล่าวว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง สวี่เสียนเฟยมิได้มีวันนี้ด้วยโชคชะตา
ชุยเฒ่าเดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับแทะขาแพะและเอ่ยว่า “สกุลเซียวทั้งสองมิได้มีความสัมพันธ์อันดีหรอกรึ? นายท่านเซียวอู่มักพาพี่สาวไปเยี่ยมจวนแม่ทัพใหญ่อยู่เสมอ ไปมาหาสู่บ่อยครั้ง ทั้งสองครอบครัวก็ยิ่งคุ้นเคยกันมากขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวชื่นชมหวั่นเจาอี๋ยิ่งนัก ตั้งใจจะให้หวั่นเจาอี๋เป็นสะใภ้ของนาง ทว่าเซียวเจิ้นถิงมิได้ตกหลุมรักพระชายาเยี่ยนอ๋องหรือ? การแต่งงานครั้งนี้จึงล้มพับไป!”
สวี่เสียนเฟยเคยคิดที่จะใช้สัญญาการแต่งงานของทั้งสองคนมาทำลายหวั่นเจาอี๋ ทว่าน่าเสียดายที่ไม่มีหลักฐาน มีเพียงการตกลงด้วยปากเปล่าเท่านั้น ตราบใดที่ตระกูลเซียวปฏิเสธ หวั่นเจาอี๋ปฏิเสธ สวี่เสียนเฟยก็กลายเป็นคนที่ปั้นน้ำเป็นตัวเพื่อใส่ร้ายนาง!
อวี๋หวั่นยังจำสายตาที่หวั่นเจาอี๋มองเซียวเจิ้นถิงได้ ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งรู้ว่าหวั่นเจาอี๋ยังมีใจให้พ่อสามีของเธอ!
อวี๋หวั่นขบคิดคำพูดของชุยเฒ่าอีกครั้ง “ท่านหมายความว่าการเจรจาตกลงแต่งงานผ่านไปถึงครึ่งทาง แล้วจู่ๆ แม่ทัพใหญ่เซียวก็กลับลำเสียอย่างนั้นหรือ?”
ชุยเฒ่าพึมพำ “สวี่เสียนเฟยกล่าวเช่นนั้น”
สตรีผู้นั้นจะมีคำพูดดีๆ อย่างไรได้!
อวี๋หวั่นไม่เชื่อว่าเซียวเจิ้นถิงเป็นบุรุษที่ชอบล้อเล่นกับความรู้สึกของสตรีเช่นนั้น โดยมากคงเป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่ดึงดันจะทำตามใจ ส่วนหวั่นเจาอี๋ นางก็ควรจะตัดใจจากเซียวเจิ้นถิง ทว่าจนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่ได้เปลี่ยนความตั้งใจไปจากเดิม
หากเป็นเช่นนั้น ความคับแค้นของหวั่นเจาอี๋ที่มีต่อซั่งกวนเยี่ยนและบุตรก็คงมีมากมายนัก
ยามที่เยี่ยนจิ่วเฉาถูกวางยาพิษ ซั่งกวนเยี่ยนกับเซียวเจิ้นถิงยังไม่ได้แต่งงานกัน หากเยี่ยนจิ่วเฉาตายไป ซั่งกวนเยี่ยนก็จะสูญเสียทั้งสามีและบุตรชาย ด้วยความโศกเศร้าเสียใจนี้อาจทำให้นางตรอมใจตามไปก็เป็นได้ นี่ก็นับได้ว่าเป็นหนึ่งในวิธีที่สามารถใช้ทำลายซั่งกวนเยี่ยนได้
แต่ทว่าหวั่นเจาอี๋ได้เข้าวังแล้วในเวลานั้น แม้เซียวเจิ้นถิงจะไม่ได้แต่งงานกับซั่งกวนเยี่ยน แต่นางก็ไม่มีวันได้อยู่กับเซียวเจิ้นถิงอยู่ดี นางจะทำเช่นนี้ไปเพื่อเหตุใด?
หรือว่าเธอคิดมากเกินไป แท้จริงแล้วหวั่นเจาอี๋ไม่ได้เกี่ยวข้อง?
อวี๋หวั่นคิดว่า เธอต้องหยั่งตื้นลึกของเจาอี๋ผู้นี้สักหน่อย
หากนางไม่ได้ทำนับว่าดีที่สุด ทว่าหากนางทำจริงๆ…บางทีเธออาจได้ยาถอนพิษโดยผ่านนางก็เป็นได้
…………………………………..