เซียวเจิ้นถิงกับนายท่านเซียวอู่พบกันในค่ายทหาร ในเวลานั้นนายท่านเซียวอู่เป็นเพียงทหารนายเล็กๆ ที่อยู่ภายใต้เซียวเจิ้นถิง ทว่าทองเนื้อแท้ส่องแสงอยู่เสมอ พรสวรรค์ของนายท่านเซียวอู่ก็ค่อยๆ ได้รับความสนใจจากเซียวเจิ้นถิง ในการกวาดล้างกองทัพกบฏครั้งหนึ่ง นายท่านเซียวอู่พาพี่น้องห้าคนบุกค้นแหล่งอาหารของฝ่ายกบฏ หากกองทัพกบฏไม่มีอาหาร ย่อมตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายและไม่สามารถกลายเป็นกองทัพได้ ในด้านวรยุทธ์ นายท่านเซียวอู่ไม่นับว่าเป็นบุคคลผู้โดดเด่น การจัดกองกำลังก็ไม่ได้อยู่ในระดับแนวหน้า ทว่านายท่านเซียวอู่มีดวงตาคู่ที่เฉียบแหลม เพียงแค่ศัตรูจาม นายท่านเซียวอู่ก็แทบจะเดาได้ว่าต่อไปพวกเขาตั้งธงไว้อย่างไร
ต้องขอบคุณนายท่านเซียวอู่ เพราะแม่ทัพผู้นี้ เส้นทางการกำจัดกบฏจึงได้อ้อมน้อยลง สิ่งนี้ไม่เพียงหมายถึงความดีความชอบทางทหารที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น ทว่ายังหมายถึงการช่วยลดการนองเลือดและการเสียสละของทหารอีกด้วย
ทั้งสองใช้แซ่เซียวเหมือนกัน และเป็นครอบครัวเดียวกันเมื่อห้าร้อยปีก่อน ครั้งหนึ่งที่ได้ดื่มสุราร่วมกัน เซียวเจิ้นถิงก็ได้รู้ว่าอีกฝ่ายเกิดวันเดียวกัน เดือนเดียวกันกับเขา จึงตัดสินใจเคาะไม้คารวะเขาในทันที
นายท่านเซียวอู่อายุน้อยกว่าเซียวเจิ้นถิงหลายปี สถานะของเขาก็ต่ำกว่ามาก ได้เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเขา กล่าวตามตรงนายท่านเซียวอู่ก็ตะลึงมาก หลังจากตกตะลึงเขาก็ยิ่งจงรักภักดีต่อเซียวเจิ้นถิง
วันที่กองทัพตระกูลเซียวถูกสลาย นายท่านเซียวอู่ได้เห็นบุรุษชุดเหล็กผู้นี้ร้องไห้บนเนินเขาของค่ายราวกับเด็กตัวเล็กๆ
มีหลายสิ่งในใต้หล้านี้ที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยพลังของตนเอง อย่างเช่น การสลายตัวของกองทัพตระกูลเซียว และเหตุการณ์ที่พี่สาวของนายท่านเซียวอู่ต้องเข้าวัง
พี่สาวของนายท่านเซียวอู่มีอายุครบกำหนดแต่งงานแล้ว เพียงแต่นางหยิ่งผยองและมักดูถูกบุรุษภายนอกเหล่านั้น นางปฏิเสธทุกคนได้ แต่คนเดียวที่นางไม่อาจปฏิเสธได้คือโอรสสวรรค์ หากเซียวเจิ้นถิงยอมแต่งงานกับนาง แน่นอนว่านางก็คงไม่ต้องเข้าไปคัดตัวในวัง
ในระหว่างการคัดตัว หวั่นเจาอี๋ทำให้ตนเองดูน่าเกลียดที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่อย่างไรก็ตามฮ่องเต้มีความคิดที่จะเอาชนะนายท่านเซียวอู่ จึงเลือกนางเข้าวังหลังโดยไม่สนใจความอัปลักษณ์ ฮ่องเต้ยังมีสิ่งที่เขาไม่อาจครอบครองด้วยกำลังของตนเอง นั่นคือความภักดีของนายท่านเซียวอู่ที่มีต่อเซียวเจิ้นถิง
ไม้กลายเป็นเรือแล้ว ไม่อาจส่งหวั่นเจาอี๋กลับไปได้อีก
หากหวั่นเจาอี๋ต้องการมีชีวิตรอดในวังหลังกินคนแห่งนี้ นางจำต้องได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้
เรื่องบางเรื่องซั่งกวนเยี่ยนเข้าใจมาตลอด ทว่านางแค่ไม่ได้เอ่ยมันออกไป หลังจากนางเข้าพิธีผ่านประตูไม่นาน ฮูหยินใหญ่เซียวก็คอยมีปัญหากับนางทั้งต่อหน้าและลับหลัง ฮูหยินใหญ่เซียวโกรธจนสามารถขุดเรื่องเก่ามาแทงนางได้ อย่างเช่น หากไม่ใช่เพราะเจ้าหลอกล่อน้องรอง น้องรองจะแต่งสตรีหม้ายมาเป็นสะใภ้ได้หรือ? หลิงหลางดียิ่งนัก ผุดผ่องดั่งดอกเบญจมาศบริสุทธิ์[1] สกุลเซียวคงได้นับถือนางในฐานะฮูหยินรองไปนานแล้ว!
เซียวหลิงหลาง เป็นชื่อตัวของหวั่นเจาอี๋
ฮูหยินใหญ่เซียวไม่เพียงยกเรื่องนี้มาพูดให้นางหงุดหงิดแค่หนึ่งครั้ง แต่นางก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ประการหนึ่งนางแต่งงานกับเซียวเจิ้นถิงเพื่อทดแทนคุณ และเพื่อยาในดินแดนต้องห้ามของตระกูลเซียว ส่วนในใจของเซียวเจิ้นถิงจะมีผู้ใด หรือเกือบจะได้แต่งงานกับสตรีคนใด นางก็หาได้สนใจไม่
เมื่อฮูหยินใหญ่เซียวเห็นว่าไม่อาจทำให้นางขุ่นเคืองได้ นางก็คร้านจะเอ่ยเช่นนี้อีก และค่อยๆ ลืมเลือนเรื่องนี้ไป
วันนี้ที่ได้เห็นฉากนั้นโดยบังเอิญ กล่าวตามตรงก็ทำให้นางดูโง่เขลา
“เยี่ยนเอ๋อร์อย่าเดินหนีอีกเลย ฝนตกหนัก เจ้าฟังข้าสิ!” เซียวเจิ้นถิงถอดเสื้อคลุมและนำมาบังศีรษะของนาง ตนเองเปียกปอนมาตลอดทาง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เสื้อผ้าของนางก็คงจะเปียกไม่น้อย
เสียงฟ้าร้องหยุดลง
เซียวเจิ้นถิงดึงนางไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่
ซั่งกวนเยี่ยนโกรธจัด นางไม่เข้าใจว่าตนเองกำลังโกรธเรื่องอะไร ทว่านางไม่ใช่เด็กแล้ว ไม่อาจทำนิสัยงอแงเช่นนั้นได้
นางบังคับให้ตนเองสงบลงและถามเซียวเจิ้นถิง “ท่าน…ท่านกอดนางหรือยัง?!”
“ข้าไม่ได้กอด!” เซียวเจิ้นถิงสาบานกับสวรรค์!
แท้จริงซั่งกวนเยี่ยนก็เห็นแล้ว หวั่นเจาอี๋พุ่งตัวไปหาเขา เขาก็รีบผลักนางออกไปทันที ทว่านางเพียงต้องการได้ยินจากปาก
ซั่งกวนเยี่ยนกล่าวอีกครั้ง “เช่นนั้นท่าน…ท่านไม่ได้เก็บพุทราให้องค์หญิงจิ่วอยู่หรือ? เหตุใดถึงพบนางได้?”
“นางพลัดหลงกับหญิงรับใช้ ข้าจะพานางกลับไปที่วัด ก็อดเป็นห่วงพวกเจ้าไม่ได้ ข้าจึงพานางไปตามหาพวกเจ้าด้วย แต่ไหนเลยจะรู้ว่าพอไปถึงครึ่งทางฝนก็ตกลงมา จากนั้นนางก็ล้มลงข้อเท้าแพลง บังเอิญว่ามีกระท่อมอยู่ใกล้ๆ ข้าจึงพยุงนางไปหลบฝนที่นั่น” เซียวเจิ้นถิงสารภาพทุกอย่าง
เดิมทีซั่งกวนเยี่ยนอยากจะบอกว่า ท่านยังพยุงนางด้วยหรือ? สตรีเช่นนั้นมีอันใดต้องพยุง? คงแกล้งล้มละสิไม่ว่า!
แต่วาจาเช่นนี้ ด้วยอายุของนางจะให้เอ่ยออกจากปากได้อย่างไร?
“ข้าไม่รู้จริงๆ ว่านางจะเป็นเช่นนี้!” เซียวเจิ้นถิงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“ข้าว่าสิ่งใดจริงหรือปลอมท่านก็คงไม่รู้” ซั่งกวนเยี่ยนยากจะสงบจิตใจลงได้ แม้ว่าเขาจะกล่าวด้วยเหตุผลอีกกี่ครั้ง ทว่าในหัวของนางก็ยังมีเสียงที่ไม่อาจควบคุมได้ “ตอนแรกท่านกับนางเคยตกลงเรื่องการแต่งงาน ท่านรู้หรือไม่?”
“นั่น ท่านแม่ของข้าดึงดันจะทำตามใจ ข้าหาได้ตกลง!”
“เช่นนั้นที่นางมีใจให้ท่านละ?”
เซียวเจิ้นถิงถอนหายใจ “ข้าไม่อาจทำอย่างไรกับนางก็ได้ เพียงเพราะในใจของนางมีข้า อีกอย่าง เซียวอู่กับข้าก็เป็นพี่น้องร่วมสาบาน หลังจากทราบว่าท่านแม่พยายามจับคู่ให้ข้ากับนาง ข้าก็ย้ายออกมาจากจวนสกุลเซียว กระทั่งข้าได้แต่งงานกับเจ้า”
ฮูหยินใหญ่เซียวพึงพอใจในตัวเซียวหลิงหลางมาก นางแทบรอไม่ไหวที่จะให้เซียวเจิ้นถิงกับนางได้ร่วมห้องกัน ทว่าเซียวเจิ้นถิงก็ได้แสดงออกอย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่าในหัวใจของเขามีสตรีผู้หนึ่งครอบครองอยู่ ตลอดทั้งชีวิตของเขาหากไม่ใช่นางก็จะไม่ยอมแต่งงานด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้ว่าสตรีในใจของเขาคือซั่งกวนเยี่ยน ในตอนแรกนางคิดว่าเซียวหลิงหลางดี ทว่าหากเป็นตายอย่างไรบุตรชายก็ไม่เห็นด้วย นางก็คิดจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับบุตรชายของนาง หลังจากได้รู้ว่าสตรีที่บุตรชายของนางกำลังจะแต่งงานด้วย คือสตรีหม้ายที่มีลูกติด ฮูหยินผู้เฒ่าก็แทบจะสิ้นใจตาย
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าทำอะไรไม่ได้แล้ว นางก็พาเซียวหลิงหลางเข้ามาอยู่ที่จวนโดยอ้างว่าตนป่วยหนัก ฮูหยินผู้เฒ่าตั้งใจให้ทั้งสองมีโอกาสได้อยู่ด้วยกัน ไหนเลยจะรู้ว่าเซียวเจิ้นถิงได้ย้ายเข้าไปในค่ายทหารโดยไม่กล่าวสิ่งใดสักคำ
หากบอกว่าเซียวเจิ้นถิงไม่รู้ว่าหวั่นเจาอี๋คิดอย่างไรกับเขาก็คงจะโกหก ทว่าผ่านมานานกว่าสิบปีแล้ว ไหนเลยเซียวเจิ้นถิงจะไม่คิดว่าเซียวหลิงหลางตัดใจจากเขาไปแล้ว?
“ข้าไม่ดีเอง…”
“ผู้ใดบอกท่านไม่ดี!”
ซั่งกวนเยี่ยนโต้แย้ง
เซียวเจิ้นถิงผงะและมองนางอย่างไม่เชื่อสายตา “เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าข้าดีหรือ?”
ซั่งกวนเยี่ยนหันหลัง กำผ้าเช็ดหน้าในมือแล้วเอ่ยว่า “ยามนี้ใช่เวลาที่ต้องเอ่ยเรื่องนี้รึ? ท่านมีเรื่องกับสตรีของฮ่องเต้ ท่านรอให้ฮ่องเต้ลงโทษประหารท่านเก้าชั่วโคตรเถิด!”
เซียวเจิ้นถิงกล่าวอย่างเคร่งเครียด “ผู้ใดทำ ผู้นั้นรับ เจ้าวางใจเถิด หากเรื่องไปถึงฮ่องเต้ ข้าก็มีวิธีที่จะปกป้องพวกเจ้า”
ซั่งกวนเยี่ยนหันกลับมาจ้องเขาด้วยความผิดหวังและถามว่า “ท่านไม่เคยคิดที่จะปกป้องตนเองเลยหรือ?”
“ข้า…” เซียวเจิ้นถิงชะงักกับคำถามของนาง
ซั่งกวนเยี่ยนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “จะปล่อยให้สตรีผู้นั้นลากท่านลงน้ำเช่นนี้หรือ?”
เขาเป็นคนที่ไม่มีการศึกษา ไม่ละเอียดอ่อนเหมือนเยี่ยนอ๋อง และไม่เข้าใจความคิดของสตรี ทว่าในวินาทีนี้ ทันใดนั้นความคิดดื้อรั้นของเขาก็เปิดออก และเอ่ยด้วยดวงตาที่มีประกายสดใส “เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้า…เจ้า เจ้าหึงข้าอย่างนั้นหรือ?”
เขารู้ว่านางแต่งงานกับเขาเพราะนางไม่ต้องการเป็นหนี้เขา และเพื่อต้องรักษาอาการป่วยของเยี่ยนจิ่วเฉาต่อไป นางกังวลว่าวันหนึ่งเขาจะหมดความอดทนและจะไม่รักษาเยี่ยนจิ่วเฉาอีก
การแต่งงานของนางเป็นสิ่งที่จำใจทำ ในใจของนางไม่เคยมีเขาอยู่
เขาไม่เคยคิดฝันว่าวันหนึ่งนางจะหึงหวงเขา
ขนตาของซั่งกวนเยี่ยนสั่นระริก “ฝนเบาแล้ว!”
นางผลักเขาออกและเดินไปยังทิศของกระท่อมเล็ก
ในกระท่อมเล็ก องค์หญิงจิ่วหลับไปในอ้อมแขนของฝูหลิง ส่วนการสนทนาระหว่างอวี๋หวั่นและหวั่นเจาอี๋ยังคงดำเนินต่อไป
อวี๋หวั่นเอ่ยอย่างเฉยเมย “ท่านยอมรับก็ดี ไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียท่านทำหรือไม่ทำสิ่งใดย่อมรู้ดีแก่ใจ ข้าไม่ได้มาบีบบังคับให้ท่านสารภาพความผิด ข้ามีเพียงสองคำถามที่ต้องการจะถามท่าน หากท่านตอบด้วยความซื่อสัตย์ ข้าก็จะไม่ฆ่าท่าน”
หวั่นเจาอี๋หัวเราะเยาะ “เอ่ยราวกับเจ้าฆ่าข้าได้อย่างนั้นละ”
“ท่านอยากลองหรือไม่เล่า?” อวี๋หวั่นเด็ดใบพุทรา
“เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวตายหรือ?” หวั่นเจาอี๋หัวเราะเยาะอย่างเย็นชา
อวี๋หวั่นพยักหน้า “จริงสิ ข้าเกือบลืมไป บุรุษที่ท่านรักละทิ้งท่านไป เลือดเนื้อแม้แต่คนเดียวของท่านก็ไม่มี ไม่รู้จริงๆ ว่าใต้หล้านี้ยังมีสิ่งใดที่ควรค่าแก่การมีชีวิตอยู่ของท่าน? อา ท่านพ่อของข้านับหรือไม่นะ? หากท่านตายไป ก็จะไม่มีโอกาสได้อยู่กับเขาอีกแล้วจริงๆ”
ดวงตาของหวั่นเจาอี๋มองเธอด้วยความเย็นชา “เพื่อเยี่ยนจิ่วเฉา กระทั่งพ่อสามีเจ้าก็ขายได้หรือ?”
อวี๋หวั่นกล่าวว่า “ข้าหาได้ขายเขา เพียงแค่บอกท่าน หากท่านยังอยากพบเขาอยู่ ก็อย่ามาตายในมือข้าเลย”
หวั่นเจาอี๋เบือนหน้า “หากเจ้ากล้าก็ไปรายงานข้ากับฝ่าบาทสิ”
……………………………..
[1] ดอกเบญจมาศบริสุทธิ์ 黄花大闺女 หมายถึง สาวรุ่นอายุประมาณ 16-26 ปีที่ยังไม่แต่งงาน