คนทั้งกลุ่มเดินทางกลับวัด
ซั่งกวนเยี่ยนกับเซียวเจิ้นถิงเป็นสามีภรรยา ทั้งสองพาสะใภ้ไปเดินเล่นก็ไม่มีสิ่งใดที่ไม่สมควร
องค์หญิงจิ่วตื่นขึ้นระหว่างทางเพราะอวี๋หวั่นเขย่าตัว
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างเคร่งขรึม “สิ่งที่เห็นในกระท่อมวันนี้เป็นความลับของข้ากับองค์หญิง องค์หญิงอย่าได้ไปบอกใครนะ ตกลงหรือไม่?”
องค์หญิงจิ่วพยักหน้าอย่างล่องลอย
“เกี่ยวก้อย” อวี๋หวั่นเหยียดนิ้วก้อยออกไป
องค์หญิงจิ่วชอบเล่นสิ่งนี้ จึงเกี่ยวก้อยกับเธออย่างมีความสุข
แท้จริงแล้วหวั่นเจาอี๋สามารถสวมหมวกเขียวให้ฮ่องเต้ได้ ทว่าบุรุษผู้นั้นไม่อาจเป็นเซียวเจิ้นถิง ฮ่องเต้มีความชิงชังต่อเซียวเจิ้นถิงมาก หากรู้ว่านางสนมคนโปรดยังเหลือเยื่อใยให้เขา เกรงจะถูกเขาฆ่าด้วยความอิจฉา
อวี๋หวั่นพาองค์หญิงจิ่วไปถวายพระพรฮองเฮา
ฮองเฮารับดรุณีที่แสนงดงามมา “ฝนตกฟ้าร้องเมื่อครู่ ข้ายังกังวลว่าพวกเจ้าที่อยู่ในป่าเป็นอย่างไรกันบ้าง”
องค์หญิงจิ่วขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของฮองเฮา
“สนุกหรือไม่?” ฮองเฮาถามด้วยสายตาเอาอกเอาใจ
องค์หญิงจิ่วสบตากับพี่สะใภ้ของนาง พลันยิ้มและกล่าวว่า “สนุกมาก!”
อวี๋หวั่นเข้าใจสายตาของนาง เด็กหญิงที่เกี่ยวก้อยกันจะไม่มีทางบอกความลับของกันและกัน
ฮองเฮาพยักหน้าด้วยความโล่งใจ “ข้าได้ยินมาว่าหวั่นเจาอี๋ก็ไปเก็บผลไม้และพลัดหลงกับหญิงรับใช้ เจ้าได้พบกับนางหรือไม่?”
“ไม่เพคะ” อวี๋หวั่นกล่าว
องค์หญิงจิ่วก็ส่ายหัว
แม้ว่าฮองเฮาจะไม่เชื่อในอวี๋หวั่น ทว่านางก็ต้องเชื่อในเสี่ยวจิ่ว นางถอนหายใจ “ออกไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่”
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม แม่นางชุยก็มารายงาน “ฮองเฮาเพคะ พบตัวหวั่นเจาอี๋แล้วเพคะ”
ทว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก สาวใช้พบหวั่นเจาอี๋ในคูน้ำที่ไปทางป่าองุ่น ซึ่งในคูน้ำมีขวากหนามอยู่ หวั่นเจาอี๋ถูกหนามแทงไปทั่วร่างกาย และใบหน้าของนางที่สำคัญยิ่งกว่าก็ยังได้รับบาดเจ็บ เรื่องนี้สำหรับสนมนางใน เกือบเทียบได้กับการถูกประหารชีวิต
ฮ่องเต้กลับจากห้องเจ้าอาวาส เมื่อได้ทราบข่าวก็รีบไปเยี่ยมหวั่นเจาอี๋ในห้องพัก
หวั่นเจาอี๋ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ฮองเฮากล่าวตำหนิตนเองที่หน้าเตียง “ต้องโทษที่หม่อมฉันประมาทเลินเล่อ ไม่ทราบว่าหวั่นเจาอี๋เข้าไปในป่า หากทราบก่อนหน้านี้ หม่อมฉันก็คงส่งองครักษ์ตามไปด้วย”
ภายนอกฮองเฮาดูเหมือนกำลังตำหนิตนเอง ทว่าในความเป็นจริง นางกำลังบอกฮ่องเต้ว่าหวั่นเจาอี๋ออกไปโดยไม่ได้บอกนาง และเรื่องทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวข้องกับนางแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้เกลียดความฉลาดหลักแหลมเช่นนี้ของฮองเฮานัก แต่อย่างไรเหตุการณ์นี้ก็ไม่ใช่ความผิดของฮองเฮาจริงๆ หวั่นเจาอี๋ไม่เพียงแต่ปกปิดฮองเฮาเท่านั้น ยังจงใจแยกตัวออกจากหญิงรับใช้ ไม่รู้ว่านางคิดจะทำสิ่งใด
หรือว่านางต้องการฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ?
ฮ่องเต้ทรงกริ้วยิ่ง
หวั่นเจาอี๋ไม่มีบุตร ไม่ว่านางจะเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้หรือไม่ก็ไม่ใช่ภัยคุกคามใหญ่หลวงอันใด ทว่าการสูญเสียนางสนมไปคนหนึ่งต่อหน้านางก็ไม่ใช่เรื่องแย่นัก
ฮองเฮาทรงเรียกหมอหลวงมาสองคน “หมอหลวงทั้งสองท่านโปรดรักษาอาการบาดเจ็บของหวั่นเจาอี๋ให้ดี ให้นางฟื้นตัวโดยไวเพื่อมาปรนนิบัติรับใช้องค์ฮ่องเต้”
กล้ารักษาให้ดีก็ลองดู!
จะจัดการกับเจ้าทั้งตระกูล!
“…” หมอหลวงสองคนกลัวจนตัวสั่น…
ฝูงชนพักอยู่ในวัดเป็นเวลาหนึ่งคืน ในวันรุ่งขึ้นฮ่องเต้ทรงถวายตะเกียงสว่างนิรันดร์กาลแด่ไทเฮาด้วยตนเอง จากนั้นทั้งคณะจึงไปที่หอสวดมนต์เพื่อฟังเทศนาจากเจ้าอาวาสตลอดทั้งวัน
ฮ่องเต้ราวกับคนที่วิญญาณได้ถูกล้างบาป ยามลงจากเขาตัวเบาดุจนกนางแอ่น จิตวิญญาณสูงส่ง
ญาติฝ่ายหญิงก็กำลังเตรียมตัวที่จะลงจากภูเขาเช่นกัน เรื่องที่ควรค่าแก่การกล่าวถึง คือฉากที่เกิดขึ้นที่ทางเข้าหลักของวัด ก่อนที่ทุกคนจะลงจากภูเขา เจ้าอาวาสคารวะฮ่องเต้และฮองเฮา ทว่าบังเอิญเหลือบไปเห็นอวี๋หวั่นที่กำลังจับมือกับองค์หญิงจิ่วโดยไม่ได้ตั้งใจ
สายตาของเจ้าอาวาสกระทบบนร่างของอวี๋หวั่นชั่วขณะ
ฮองเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “สตรีผู้นั้นคือพระชายาซื่อจื่อ ท่านเจ้าอาวาสจ้องมองนางเช่นนี้ มีสิ่งใดผิดปกติหรือ?”
เจ้าอาวาสส่ายศีรษะ ครู่หนึ่ง เขาก็พ่นคำพูดออกมาเบาๆ “สูงส่งเกินบรรยาย”
แม้ว่าอวี๋หวั่นจะมีชาติกำเนิดที่เลวร้ายยิ่ง ทว่าเธอก็แต่งงานเข้าจวนเยี่ยนอ๋องในฐานะภรรยาซื่อจื่อ กล่าวได้ว่าเธอบินเกาะกิ่งไม้และกลายเป็นหงส์ เป็นธรรมดาที่เธอจะมีค่าคู่ควรกับคำกล่าวนี้ ทุกคนต่างยิ้มในใจ ทว่าคำพูดของเจ้าอาวาสค่อนข้างน่าเบื่อ พวกเขาก็พูดได้ และพูดได้ดีกว่าเขาอีก
คนทั้งคณะเดินลงจากภูเขา
ซั่งกวนเยี่ยนจะไปดูบุตรชายของนางที่จวน เซียวเจิ้นถิงก็ไปส่งนางและอวี๋หวั่นกลับไปที่จวนคุณชายก่อน จากนั้นฉวยโอกาสระหว่างที่ซั่งกวนเยี่ยนคุยกับเยี่ยนจิ่วเฉา มาบอกสิ่งที่ไม่สะดวกเอ่ยในกระท่อมเล็กกับอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นไม่อยากจะเชื่อ “ตี้จีของหนานจ้าว?”
เซียวเจิ้นถิงกล่าวอย่างเคร่งเครียด “ไม่ผิดแน่ นางบอกอย่างนั้น ส่วนนางรู้ได้อย่างไร ข้าไม่รู้ ทว่านางคงไม่โกหกข้า”
อวี๋หวั่นเชื่ออย่างยิ่งว่าการหลอกลวงครั้งที่ใหญ่ที่สุดของหวั่นเจาอี๋ต่อเซียวเจิ้นถิง คือการลอบทำร้ายเยี่ยนจิ่วเฉา ยามนี้นางไม่อาจเก็บความลับนี้ได้อีกต่อไป จึงไม่จำเป็นต้องปกปิดสิ่งใดอีก
หนานจ้าวมีตี้จีสองพระองค์ ตี้จีองค์โตได้แยกตัวออกจากหนานจ้าวไปแล้ว ก็คงเป็นตี้จีองค์เล็ก ดาวแห่งโชคของหนานจ้าวที่ติดต่อกับหวั่นเจาอี๋
แต่นี่มันแปลกมากมิใช่หรือ?
เยี่ยนจิ่วเฉากับตี้จีองค์เล็กไม่มีความคับแค้นใจและไม่ได้เป็นศัตรูกัน เหตุใดนางถึงต้องทำร้ายเขา?
สัญชาตญาณของสตรีนั้นเฉียบคมกว่าบุรุษเสมอ
ภายใต้แสงไฟอวี๋หวั่นนึกถึง ‘บ้านเล็กของเยี่ยนอ๋อง’ ที่ฮูหยินเหยากล่าวถึง ยามนั้นเยี่ยนจิ่วเฉาอายุได้เจ็ดขวบ บ้านเล็กก็ปรากฏขึ้นในเมืองเยี่ยนพร้อมกับบุตรชาย และทันทีที่เยี่ยนจิ่วเฉาอายุแปดขวบ เยี่ยนอ๋องก็เสียชีวิต และในปีเดียวกันเยี่ยนจิ่วเฉาก็ถูกวางยาพิษโดยคนในราชวงศ์หนานจ้าว…
เป็นไปได้หรือไม่ว่าบ้านเล็กของเยี่ยนอ๋องคือ ตี้จีองค์เล็กแห่งหนานจ้าว?
เซียวเจิ้นถิงเองก็เดาในใจได้เช่นกัน ทว่าสถานะตัวตนของเขาอ่อนไหวและมีบางอย่างที่เขาไม่สามารถเอ่ยได้
เยี่ยนจิ่วเฉาดื่มยาเก่าของชุยเฒ่าและหลับไป ซั่งกวนเยี่ยนอยู่กับเขาในห้องสักพักและกลับบ้านพร้อมกับเซียวเจิ้นถิง
ด้านหนึ่งคือบุตรชายของนาง อีกด้านหนึ่งคือสามี หลายปีที่ผ่านมานี้นางต้องเผชิญกับลมฝน ชีวิตของนางไม่ง่ายเลยจริงๆ
“ชุยเฒ่า!” อวี๋หวั่นถือสูตรยาและเดินไปที่สนามหลังบ้าน ชุยเฒ่ากำลังทำให้ยาแห้ง
“เจ้ามาทำอันใดที่นี่อีกหรือเด็กน้อย?” ชุยเฒ่าเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
อวี๋หวั่นเลิกคิ้วและเอ่ยว่า “นี่คือบ้านของข้า ข้าไปได้ทุกที่ที่ข้าต้องการ”
“หึ!” ชุยเฒ่ากลอกตา
อวี๋หวั่นส่งใบสูตรยาของหวั่นเจาอี๋ให้ชุยเฒ่า “ดูซิว่านี่เป็นยาถอนพิษของไป๋หลี่เซียงหรือไม่?”
“เจ้าเอาสูตรมาจากที่ใด?” ชุยเฒ่าถามด้วยความประหลาดใจ
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างเฉยเมย “ท่านไม่ต้องยุ่งหรอก ท่านแค่พิถีพิถันทำยาตามสูตรนี้ก็พอ และดูว่าสามารถถอนพิษสามีข้าได้หรือไม่”
ชุยเฒ่าโค้งยิ้มมุมปาก เดินกลับห้องไปพร้อมกับสูตรยาอย่างไม่เต็มใจ
อวี๋หวั่นก็กลับห้องเช่นกัน
จื่อซูยกน้ำเข้ามา “พระชายา อาบน้ำล้างหน้าก่อนเถิด”
“อื้ม” อวี๋หวั่นเดินไปแช่มือในอ่างสีเงินที่โรยด้วยกลีบดอกไม้ ทันใดนั้นก็คิดบางอย่างขึ้นได้ พลันเอ่ยกับจื่อซู “เจ้าเอาเงินสิบตำลึงไปให้ฝูหลิงที”
จื่อซูถึงกับผงะ
เงินสิบตำลึงเท่ากับเงินเดือนของนางถึงสองเดือน ฝูหลิงช่วยทำคุณสิ่งใด พระชายาซื่อจื่อถึงได้ตอบแทนนางเช่นนี้?
ที่วัด…นางไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น
ภายในใจของจื่อซูรู้สึกถึงวิกฤต แน่นอนว่ามีความอิจฉาปะปนอยู่เล็กน้อย นางเป็นสาวใช้คนสนิทของพระชายาซื่อจื่อ นางหาได้โลภมากในเงิน สิ่งที่นางสนใจคือท่าทีของพระชายาซื่อจื่อ นางหวังว่านางจะเป็นสาวใช้คนสนิทที่มีอำนาจมากที่สุดของพระชายาซื่อจื่อ
“แล้ว…ต้องการให้พาฝูหลิงมาที่ห้องหรือไม่เจ้าคะ?” จื่อซูถามด้วยเสียงแผ่วเบา
ความหมายของมาที่ห้องนั้นเหมือนกัน นั่นคือกลายเป็นสาวใช้คนสนิทของเรือนชิงเฟิง
อวี๋หวั่นเอาผ้าขนหนูเช็ดมือ “ไม่จำเป็นหรอก แบบนี้ก็ดีมากแล้ว”
เมื่อเป็นเช่นนี้ สาวใช้คนสนิทก็ยังคงเป็นนางเพียงคนเดียว หัวใจของจื่อซูกลับมาสมดุลอีกครั้ง
จื่อซูถอยกลับไปพร้อมกับน้ำ ขณะที่นางกำลังจะข้ามธรณีประตู อวี๋หวั่นก็เอ่ยเบาๆ “เจ้ากับฝูหลิงต่างก็เป็นคนที่ข้าเลือก ข้าเชื่อในตัวเจ้ามากพอๆ กับที่ข้าเชื่อในตัวนาง ทว่ามีบางสิ่งที่เจ้าทำได้ดีกว่า และบางอย่างก็เหมาะสมกับนางมากกว่า”
จื่อซูเข้าใจถ่องแท้ หันไปโค้งคำนับด้วยความรู้สึกผิด “บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “เจ้าลงไปเถิด”
สาวใช้หลายคนในเรือนชิงเฟิงเป็นคนดี เถาเอ๋อร์เป็นคนซื่อสัตย์ หลีเอ๋อร์ชาญฉลาด ปั้นซย่าคล่องแคล่วว่องไว ทว่าคนที่อยู่คนเดียวได้คือจื่อซู ส่วนฝูหลิง นางเป็นกึ่งผู้คุ้มกันได้ อวี๋หวั่นไม่ต้องการให้สาวใช้ที่ทรงพลังที่สุดสองคนต่อสู้กันภายใน แน่นอนว่าคนที่ต่อสู้กันภายในคือจื่อซู ส่วนตัวตลกฝูหลิง ตราบใดที่ท้องอิ่ม สิ่งใดก็คงไม่คิดมาก
…………………………………………..