หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 177.1 เจ้าตัวน้อยน่าเกรงขาม (1)

บทที่ 177.1 เจ้าตัวน้อยน่าเกรงขาม (1)

การเดินทางจากซีเฉิงไปถึงเมืองหลวงอย่างเร็วที่สุดต้องใช้เวลาประมาณสิบวันถึงครึ่งเดือน โดยส่วนใหญ่แล้วพวกเขามักจะหาโรงเตี๊ยมพักได้ก่อนฟ้ามืด แต่หากไปไม่ทันเวลาปิดเมือง พวกเขาก็ต้องตั้งค่ายค้างแรมด้านนอก

ฟ้ายังไม่สาง อวี๋หวั่นก็ตื่นนอนแล้ว เธอจะต้มยาให้เยี่ยนจิ่วเฉา

ยิ่งเข้าไปในหนานจ้าวมากเท่าไร อากาศก็ยิ่งชื้นมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่องนี้ไม่เป็นผลดีต่ออาการป่วยของเยี่ยนจิ่วเฉา

“ฮูหยิน ให้ข้าทำเถิดเจ้าค่ะ” จื่อซูได้ยินเสียงอวี๋หวั่น นางจึงลืมตาตื่นแล้วรีบเลิกผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง

ฝูหลิงก็ตื่นแล้ว นางขยี้ตาแล้วลุกขึ้นมาซักผ้า

อวี๋หวั่นสั่งว่า “ไม่ต้องหรอก พวกเจ้าไปเดินดูในเมืองสักหน่อย เมื่อวานข้าได้ยินอาม่าบอกว่าพวกเราต้องเดินทางผ่านเขาอีกหนึ่งวัน ไม่มีโรงเตี๊ยมให้เข้าพัก พวกเจ้าไปเตรียมอาหารไว้ให้พอ”

“เจ้าค่ะ” จื่อซูตอบ

หนานจ้าวอากาศร้อน ไม่สามารถเก็บอาหารได้นาน อาหารทั้งหมดต้องกินภายในหนึ่งวัน

จื่อซูและฝูหลิงเก็บห้องเรียบร้อย พวกนางล้างหน้าบ้วนปากเสร็จก็ลงไปซื้อของ

ต่อให้การเดินทางจะรีบร้อนเพียงใด แต่เรื่องอาหารการกินและเสื้อผ้าของซื่อจื่อ พระชายาก็ไม่เคยปล่อยให้ขาดตกบกพร่อง และหากเอ่ยถึงอาหารแห้ง ก็ไม่ได้มีเพียงอาหารง่ายๆ อย่างหมั่นโถว ซาลาเปา แต่ยังมีผัก ผลไม้ เนื้อและของว่างต่างก็ซื้อมาแล้ว

“อันนี้ราคาเท่าไหร่หรือ?” จื่อซูมองไปยังแผงขายขนมซานจา หากนางจำไม่ผิด ซื่อจื่อเหมือนจะชอบขนมชนิดนี้มาก

คนขายบอกว่า “ชิ้นสุดท้าย ข้าขายให้เจ้าถูกๆ ห้าเหรียญทองแดง!”

ห้าเหรียญทองแดงไม่ถูกสักนิด แต่เมื่อเห็นว่าเป็นชิ้นสุดท้าย จื่อซูจึงตัดสินใจซื้อ

“ไปซื้อขนมมันปูกรอบกันเถอะ” จื่อซูบอกกับฝูหลิง

พระชายาไม่ชอบกินของเปรี้ยว และไม่กินของหวานมากนัก สุดท้ายแล้วตัดสินใจซื้อขนมรสเค็มไปให้จะดีกว่า

ฝูหลิงไม่มีความคิดเห็น เรื่องซื้อของเป็นหน้าที่ของจื่อซู นางมีหน้าที่หิ้วของเท่านั้น

จื่อซูซื้อของตามความชอบของเยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่น จากนั้นก็ซื้อให้คนอื่นๆ ด้วย หลังจากที่อยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่ง ใครกินอาหารมากน้อยเท่าไร ชอบรสชาติอย่างไร จื่อซูล้วนจดจำได้

ซื่อจื่อบอกนางว่าไม่ต้องตระหนี่ สิ่งใดที่ควรซื้อก็ซื้อมา โดยเฉพาะกับนางและฝูหลิง แต่ไหนแต่ไรมาไม่จำเป็นต้องกระเหม็ดกระแหม่

จื่อซูรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่พบกับเจ้านายที่ดีเช่นนี้

และรู้สึกโชคดีที่ในตอนที่นางออกมาจากหอซือเยวี่ย นางไม่เชื่อคำพูดของเจ้าของหอซือเยวี่ย

นางเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ เป็นเพราะครอบครัวของนางทำความผิดจึงมีจุดจบเป็นนักโทษ แต่กิริยาวาจา มารยาทและท่าทางของนางนั้นมิใช่ว่าสาวใช้ทั่วไปสามารถเปรียบได้ เมื่อรู้ว่าจะถูกขายให้จวนคุณชายเยี่ยน เจ้าของหอซือเยวี่ยก็บอกนางว่า ‘อิ๋งอิ๋ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่ข้าจะส่งเจ้าไปรับใช้คือใคร? เขาคือเจ้าของเมืองเยี่ยน เจ้าติดตามเขา หลังจากนี้ชีวิตก็จะมีแต่ความรุ่งเรือง ไม่ใช่เพียงเท่านี้ หากจะทำให้ครอบครัวของเจ้ากลับมารุ่งโรจน์อีกครั้งก็มิใช่เรื่องยาก’

เรื่องนี้นางไม่เคยเล่าให้ผู้ใดฟัง

เจ้าของหอซือเยวี่ยหวังดีกับนางจริงๆ หรือว่ามีแผนอื่นก็ไม่อาจรู้ได้

กระนั้นเรื่องที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ มีครั้งหนึ่งที่นางเคยคิดเช่นกัน นางเป็นถึงคุณหนูเกิดมาใช้ชีวิตสุขสบาย แต่อับโชคต้องตกมาเป็นคนใช้ ใครเล่าจะไม่อยากกลับไปมีวันคืนที่ดีเหมือนเมื่อก่อน? ใครเล่าจะไม่อยากกลับไปมีครอบครัวที่พร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง?

แต่นางไม่ได้ทำเช่นนั้น

บอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะไม่กล้าหรือไม่อยากทำ สุดท้ายนางจึงพับความคิดนี้เก็บไป

โชคดีที่ความคิดนี้ได้มอดไหม้ไปแล้ว

เจ้านายทั้งสองของนาง จะว่าดีก็ดีเหลือเกิน ดีกับบ่าวและบริวาร ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ดียิ่งกว่า แต่จะว่าร้ายก็ร้ายได้เกินกว่าจินตนาการไว้

ตราบจนทุกวันนี้ จื่อซูยังไม่เคยลืมว่าซูมู่ถูกพระชายาจัดการอย่างไร

“ถังหูลู่” ฝูหลิงน้ำลายสอ

จื่อซูเหลือบมองนาง “รู้แล้ว เดี๋ยวข้าซื้อให้”

จื่อซูซื้อถังหูลู่สิบไม้ แล้วส่งให้ฝูหลิงทั้งหมด

ฝูหลิงกินเข้าไปคำโต

ระหว่างทางกลับโรงเตี๊ยม ขณะที่พวกนางเดินผ่านร้านขายข้าวสาร ก็พบกับหัวขโมย เขาชนเข้ากับจื่อซูและเดินจากไปพร้อมกับกระเป๋าเงินของนาง

“เงิน!” จื่อซูหน้าซีดเผือด

มือข้างหนึ่งของฝูหลิงถือห่อของประมาณเจ็ดแปดห่อ มืออีกข้างหนึ่งถือถังหูลู่อยู่อีกสิบไม้ นางตามไปอย่างรวดเร็ว แล้วถีบหัวขโมยเข้าเต็มแรง

หัวขโมยไม่เคยลิ้มลองฝ่าเท้าที่หนักถึงเพียงนี้มาก่อน เขาตาเหลือกแล้วหมดสติไป

จื่อซูถอนหายใจอย่างโล่งอก นางเดินเข้าไปหยิบกระเป๋าเงิน

ในตอนนั้นเอง บุรุษคนหนึ่งเดินออกมาจากร้านขายข้าวสารพอดี เขาเดินมาด้านหน้าหัวขโมย เมื่อเห็นจื่อซูซึ่งเพิ่งหยิบกระเป๋าเงินตนเองออกมา นัยน์ตาของเขาก็พลันปรากฏความประหลาดใจ เขาเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจว่า “ที่แท้แม่นางก็เป็นคนจับหัวขโมย ต้องขอบคุณแม่นาง”

จื่อซูค้อมกายน้อยๆ อย่างมีมารยาท

บุรุษผู้นั้นนั่งยอง แล้วหยิบกระเป๋าเงินมาจากหัวขโมย “เขาก็ขโมยของข้าไปเช่นกัน”

เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับจื่อซู ขโมยหรือไม่ขโมยกระเป๋าเงินของเขาแล้วอย่างไร จื่อซูคิดเพียงว่าจะรีบผละออกไป

จื่อซูดึงฝูหลิงเดินไป

บุรุษผู้นั้นยิ้ม กล่าวว่า “ขอบคุณแม่นาง ข้าขอถามชื่อของแม่นางได้หรือไม่?”

จื่อซูขมวดคิ้ว นางไม่สนใจเขา และเดินออกไปพร้อมกับฝูหลิง

อันที่จริงเรื่องก็ควรจะจบลงเพียงเท่านี้ ไหนเลยจะรู้ว่าก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทาง ปรมาจารย์พิษก็มาหาอวี๋หวั่น

อวี๋หวั่นแต่งกายเป็นคุณชายคนหนึ่ง บอกปรมาจารย์พิษไปเพียงว่าเธอแซ่อวี๋

ในสายตาของปรมาจารย์พิษ คุณชายเยี่ยนก็ดี คุณชายอวี๋ก็ดี ล้วนแต่ไม่ได้เรื่อง เมื่อมาอยู่ต่อหน้าปรมาจารย์พิษที่มีพลังแก่กล้าอย่างเขาแล้ว ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงด้วยซ้ำไป

เพราะฉะนั้น ปรมาจารย์พิษจึงบอกสิ่งที่เขาต้องการไปอย่างปราศจากความเกรงใจ

“ว่าอย่างไรนะ? จะซื้อสาวใช้ของข้ารึ?” อวี๋หวั่นถามย้ำเขา

“สาวใช้ที่ชื่อจื่อซู” เขายอมรับตามตรง

อวี๋หวั่นแค่นหัวเราะ คนคนนี้มาหาเธอแต่เช้า เขาเห็นเธอเป็นอะไร? ที่แท้ก็อยากจะซื้อตัวจื่อซู เห็นว่าท่าทางน่าจะพอมีเหตุผลอยู่บ้าง แต่เขากลับทึกทักว่าจื่อซูเป็นสาวใช้ของเขาเสียอย่างนั้น

“ข้าไม่ขาย”

“หนึ่งร้อยตำลึง”

อวี๋หวั่นหัวเราะร่วน “ท่านคิดว่าข้าขาดแคลนเงินถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”

ปรมาจารย์มีสีหน้าจริงจัง “นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ที่ต้องการซื้อสาวใช้ของเจ้าคือใคร?”

“องค์ประมุขของหนานจ้าวรึ?” อวี๋หวั่นเย้าหยอก

ปรมาจารย์พิษสีหน้าเย็นเยียบ “เจ้าคิดว่าตนเองเป็นตี้จีหรืออย่างไร องค์ประมุขจะมาสนใจสาวใช้ของเจ้าไปเพื่ออะไร? คนผู้นั้นเป็นปรมาจารย์พิษอีกคนหนึ่ง ความสามารถของเขาเหนือกว่าข้าเสียอีก ที่เข้าเมืองหลวงในครั้งนี้ก็เพราะว่าอาจารย์ของเขาได้รับคำเชิญจากจวนประมุขหญิง เขาถูกใจสาวใช้ของเจ้า ก็นับเป็นโชคของเจ้าแล้ว เจ้าอย่าได้เฉไฉ”

จวนประมุขหญิง? หมายถึงตี้จีองค์เล็กที่เป็นที่พูดถึงคนนั้นหรือเปล่านะ?

อวี๋หวั่นไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีต่อนางเท่าไรนัก

ครั้งนี้ไม่ต้องพูดถึงสาวใช้หรอก ต่อให้เป็นผ้าขาดๆ ผืนหนึ่ง อวี๋หวั่นก็จะไม่ขายให้อีกฝ่าย

ปรมาจารย์พิษต้องการใช้สาวใช้ไปผูกมิตรกับอีกฝ่าย แม้ว่าเขาจะถูกเชิญไป แต่ว่าครอบครัวที่เชิญเขาไปนั้นไม่อาจเทียบได้กับประมุขหญิงแห่งหนานจ้าวผู้ยิ่งใหญ่ หากเขาสามารถประจบประแจงอีกฝ่ายได้ ภาคภาคหน้าก็อาจมีโอกาสได้เข้าไปถึงจวนของประมุขหญิง และเมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็คงมีอนาคตที่สดใสกว่านี้อย่างแน่นอน

ปรมาจารย์พิษบอกว่า “ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องขาย!”

“โอ้? อย่างนั้นหรือ?” อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว

ปรมาจารย์พิษตอบอย่างได้ใจว่า “เจ้าอย่าลืมสิว่าพวกเจ้าทั้งหมดล้วนแต่ได้รับพิษของข้า หากเจ้าไม่ยอม

ขายสาวใช้คนนั้นให้ ข้าก็จะทำให้พวกเจ้าทั้งหมดตาย!”

อวี๋หวั่นถอนหายใจยาวๆ “เฮ้อ ดูแล้วสามีข้าสายตาแม่นยำเหลือเกิน เจ้านิสัยแย่จริงๆ ด้วย”

สามีอะไรกัน? ปรมาจารย์ไม่เข้าใจ แต่ประโยคหลังเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ เจ้าเด็กคนนี้กำลังด่าเขาอยู่! เขาเป็นปรมาจารย์พิษเชียวนะ! เจ้าเด็กคนนี้กล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?!

เขาพูดด้วยโทสะว่า “ข้าคงจะต้องแสดงพลังให้พวกเจ้าดูสักหน่อยแล้ว พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าพวกเจ้าเป็นใคร!”

…………………………………

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]

Status: Ongoing

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร

เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน

ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว

ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน…

ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?!

สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย

บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป…

วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย?

ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้…

“ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง

“เรียกแม่สิ”

เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท