เช่นนั้นนี่เป็นเรื่องจริงหรือ? บุตรที่อยู่ห่างไกลเป็นหมื่นหลี่กลับมาอยู่ข้างกายของเธอ? แต่ แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร? พวกเขาไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้านเหลียนฮวาหรอกหรือ? เด็กอ้วนเหล่านี้ถูกฮูหยินผู้เฒ่าพามาจากประตู…
“อาเว่ยมาแล้ว” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ย
คำสั้นๆ เพียงสี่พยางค์ กลับมีข้อมูลอยู่ในนั้นมากมาย อาเว่ยเป็นอาจารย์ของเด็กๆ เขามาแล้ว ก็หมายความว่าเขาพาเด็กๆ มาที่นี่?
เขาพามาเพราะเหตุใด อวี๋หวั่นไม่มีเวลาไปคิดถึง บุตรที่เธอเฝ้าคิดถึงทั้งเช้าเย็นยามนี้กลับมาอยู่ในอ้อมแขนของเธอแล้ว หัวใจของเธอคล้ายกับจะละลาย ร่างกายเหมือนลอยได้ เธอกอดบุตรทั้งสาม และพรมจูบลงบนแก้มของพวกเขา
ไข่ดำน้อยทั้งสามปิดบังใบหน้าด้วยความขวยเขิน
ฮูหยินผู้เฒ่าที่เห็นฉากนี้ เชิดจมูกขึ้นเกือบถึงฟ้าด้วยความภาคภูมิใจ!
แม้ว่าจะดูไม่สุภาพที่เอ่ยเช่นนี้ ทว่าวงจรความคิดของคนบ้าไม่เหมือนกับคนปกติทั่วไป ตรรกะที่คนธรรมดาไม่มีทางเข้าใจได้ถูกฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้สร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์ เห้อเหลียนเป่ยหมิงรับรองได้ว่าเริ่มแรกท่านแม่ของเขาไม่มีทางคิดว่าเด็กพวกนี้เป็นบุตรแท้ๆ ของหลานนาง นางคิดว่าจะเอาพวกเขากลับมาให้เป็นบุตรของหลานนาง ทว่ายามนี้กลับใช่จริงๆ แต่นางกลับไม่ได้ประหลาดใจ และมีท่าทีราวกับคางคกขึ้นวอ โอ้ ใช่แล้ว แบบนี้แหละ ข้ารู้ตั้งนานแล้ว ข้าฉลาดมาก พวกเจ้านั่นแหละที่โง่เขลายิ่งนัก!
เห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่ได้พบเจอกับสถานการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก เหตุการณ์ที่ท่านแม่ของเขาบ้าบอและไม่อาจอธิบายได้มากกว่านี้ก็เคยมีมาแล้ว ไม่แพ้เรื่องนี้ สิ่งที่เขาสงสัยคือแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“พวกเขา…เป็นบุตรของเจ้าจริงๆ หรือ?” เขามองไปที่เยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่พูดไม่จา เพียงแต่คว้าไข่ดำน้อยจากอ้อมแขนของอวี๋หวั่นหนึ่งคนมาไว้ที่หน้าของเขา
ไข่ดำน้อยเบิกตากว้างอย่างไร้เดียงสา
เห้อเหลียนเป่ยหมิงมองด้วยความตั้งใจ เอ่อ…นี่ไม่ใช่เยี่ยนจิ่วเฉาตัวน้อยรุ่นดำหรือนี่?
เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ใช่บุตรแท้ๆ เพราะอย่างไรในใต้หล้าก็คงไม่มีผู้ใดที่มีหน้าตาเหมือนกันได้ขนาดนี้
พี่ชายทั้งสองยังคงถูไปมาในอ้อมแขนของท่านแม่ ทว่ามีเพียงเขาที่ถูกท่านพ่ออุ้มออกมา เสี่ยวเป่าทำสีหน้าไม่พอใจ
เยี่ยนจิ่วเฉาตบก้นของเขาเบาๆ ยิ่งทำให้รู้สึกไม่พอใจมากขึ้นไปอีก
โตขนาดนี้ยังโดนตบก้น ท่านรอข้าโตกว่านี้ก่อนเถิด!
อวี๋หวั่นรับบุตรชายคนเล็กมากอด แนบสนิทกับเหล่าบุตรชายของเธอ ก่อนจะเริ่มแนะนำฮูหยินผู้เฒ่ากับเห้อเหลียนเป่ยหมิง “นี่คือย่าทวดของลูก และนี่คือท่านปู่ของลูก”
ลักษณะของเห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่เหมือนกับท่านปู่ เห้อเหลียนเป่ยหมิงคิดว่าพวกเขาไม่อาจพูดเสียงดังได้ ทว่าแท้จริงแล้วพวกเขาแค่ไม่ได้พูดเสียงดังเท่านั้น กลับพยักหน้าด้วยความสุภาพ
“พวกเขากำลังเรียกท่านลุงใหญ่” อวี๋หวั่นเกรงว่าเห้อเหลียนเป่ยหมิงจะไม่เข้าใจ รีบอธิบายแทนพวกเขา
เห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่ทราบว่าพวกเขาพูดไม่ได้ คิดว่าพวกเขาแค่กำลังเขินอาย เขาส่งเสียงอื้มตอบรับในลำคอ หลังจากนั้นก็เงียบสนิท ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาถึงหันไปถามหญิงรับใช้ที่อยู่ข้างๆ “ข้าแก่มากเลยรึ?”
หญิงรับใช้ผงะ ก่อนจะเอ่ยตะกุกตะกัก “ท่าน ท่านดูไม่แก่เจ้าค่ะ”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงใบหน้าดำมืด
อวี๋หวั่นหัวเราะหึๆ ลุงใหญ่ที่ดูรู้ซึ้งเรื่องทางโลกท่านนี้ ที่แท้ก็กังวลว่าจะมีใครมองว่าเขาแก่เองหรอกหรือ? ตรงไหนที่เขาดูแก่? เขายังหนุ่มยังแน่นนัก แม้แต่ท่านพ่อท่านแม่ กับซั่งกวนเยี่ยนและเซียวเจิ้นถิงก็ยังดูเด็กมากเช่นกัน ทั้งยังมีรูปร่างหน้าตาดูดีระดับสูง ดังนั้นไม่ใช่เรื่องยากที่เจ้าตัวเล็กจะยอมรับท่านปู่ที่หล่อเหลาผู้นี้
แท้จริงแล้วเด็กๆ ยังไม่ค่อยเข้าใจคำว่าย่าทวดมากนัก ทว่าดูจากท่าทีของท่านพ่อกับท่านแม่ที่มีต่อนาง ก็พอจะเดาได้ว่าเหมือนกับคนในครอบครัวอย่างบรรดาท่านยายกับท่านตาในหมู่บ้านเหลียนฮวา
ไข่ดำทั้งสามตั้งใจทำให้ย่าทวดรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ!
เด็กที่ไม่เขินอายกับคนแปลกหน้าช่างน่ารักยิ่งนัก!
ฮูหยินผู้เฒ่าหยิบลูกอมที่ซ่อนไว้ออกมา ยื่นให้กับเหลนตัวน้อยของนางด้วยรอยยิ้มเริงร่า ให้ทุกชิ้นทุกอัน! ให้ทั้งหมด!
เห้อเหลียนเป่ยหมิงใบหน้ามืดหม่นดั่งก้นหม้อ แท้จริงท่านแม่ก็ซ่อนน้ำตาลไว้มากมายขนาดนี้!!!
ฮูหยินผู้เฒ่ามีความสุขสิ่งใหม่ เบิกบานใจไม่อยากเข้านอน ส่วนเด็กๆ ก็นอนหลับไปพักหนึ่งแล้วจึงไม่ง่วง ฮูหยินผู้เฒ่าหนึ่งกับเด็กสามนั่งกินขนมเสียงดังจ๊อบแจ๊บอยู่ในห้อง พวกอวี๋หวั่นเดินออกจากเรือน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักราวกับเสียงหมูของบุตรชายดังออกมา
เสียงหัวเราะร้ายกาจนี้ทำให้อวี๋หวั่นซวนเซทรงตัวไม่อยู่!
เธอคิดว่าตนเองคงจะเป็นคนที่เสียอาการมากที่สุด เมื่อหันไปมองท่านลุงใหญ่ผู้เป็นอัมพาตที่อยู่ด้านข้างอีกครั้ง ก็เห็นเขาลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าสุดสะพรึง!
เห้อเหลียนเป่ยหมิง “! ! !”
ข้ายืนครั้งเดียวขาก็เจ็บมากแล้วรู้รึไม่!!!
“ฮ่าๆๆๆๆๆ….”
ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะราวกับเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้า และไม่อาจรู้ได้ว่านางกำลังหัวเราะอะไร!
เส้นเลือดดำที่หน้าผากของเห้อเหลียนเป่ยหมิงเต้นตุ้บๆ แม้ก่อนหน้านี้ท่านแม่ของเขาจะไม่ปกติอยู่แล้ว ทว่าหลังจากรับคนบ้านนี้เข้ามา ท่านแม่ก็ยิ่งไม่ปกติมากขึ้นกว่าเดิม….
อวี๋หวั่นดันเก้าอี้รถเข็นเห้อเหลียนเป่ยหมิงมาถึงชีสยาย่วน
การต่อสู้ระหว่างอาเว่ยกับชิงเหยียนจบแล้ว ใบหน้าทั้งสองเละเทะดูไม่จืด
เรื่องนี้ยังต้องเล่าเริ่มจากอาเว่ยมาตามหาเด็กๆ เขาล้างถ้วยชามอยู่ในครัว และหยิบชามสะอาดใบใหญ่ออกมาให้ศิษย์ของเขารีดนมแพะ ทั้งสามติดนิสัยดื่มนมแพะก่อนนอนแล้ว
อาเว่ยได้พบว่าแพะไม่อยู่แล้ว เด็กๆ ก็ไม่อยู่แล้วเช่นกัน
อาเว่ยจึงใช้หนอนพิษกู่ติดตามลมหายใจของพวกเขาทั้งสาม มาจนถึงประตูหลังของจวนตะวันออกสกุลเห้อเหลียน น่าสงสารที่แม่แพะตัวนั้นถูกฮูหยินผู้เฒ่าทอดทิ้งไว้ที่หน้าประตู จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะขโมยตัวไปโดยไม่มีผู้ใดพบเห็น แต่อย่างไรเสีย หัวขโมยที่ใดจะขโมยของไปแล้วทิ้งของกลางไว้นอกประตู?
อาเว่ยจึงเข้ามาในจวน
เขาสวมเสื้อคลุมที่ดูไม่คุ้นเคย และใช้ผ้าสีดำปิดบังใบหน้า ชิงเหยียนจำเขาไม่ได้ เขาก็จำชิงเหยียนในชุดไปสอดแนมข่าวจากจวนประมุขหญิงไม่ได้เช่นกัน ทั้งสองจึงประมือกัน จนลงเอยด้วยสภาพเช่นนี้
ทั้งสองยัดผ้าฝ้ายห้ามเลือดที่ไหลออกจากจมูก และทายาจินฉวง[1]สีม่วงที่ชุยเฒ่าปรุงเองที่หน้าผาก ดูตลกน่าขบขันยิ่งนัก
หลายคนถามอาเว่ยว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดเขากับเด็กๆ ถึงมาอยู่ที่นี่ และระหว่างทางได้พบเจอกับสิ่งใดบ้าง
อาเว่ยกำลังโกรธ โกรธอาม่าที่ครั้นจากมา กลับพาไปเพียงพวกเขาสองคน แต่ไม่พาตนเองไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงไม่ยอมปริปากบอกสิ่งใด วางท่าราวกับคนทำอะไรไม่ถูกไม่รู้จะรับมืออย่างไร
แต่ถึงเขาไม่บอก ทุกคนก็จะไม่คาดเดาอย่างนั้นหรือ?
‘ต้องเป็นเพราะพวกเขาร้องไห้งอแงอยากพบข้า อาเว่ยเกิดใจอ่อน จึงพาพวกเขาเดินทางไกลเป็นหมื่นหลี่มาส่งให้ข้าเป็นแน่’ ในใจของอวี๋หวั่นคิดเช่นนี้ อาเว่ยช่างเป็นคนดียิ่งนัก!
‘ต้องเป็นเพราะอาเว่ยกังวลว่าพวกเราจะใจอ่อนกับอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉา จึงลักพาตัวเด็กพวกนี้มาเป็นแน่’ ชิงเหยียนเอ่ยในใจ อาเว่ยเป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
วายร้ายอาเว่ยที่ได้รับไพ่คนดีสองใบติดต่อกัน “…”
หลังอาเว่ยกลับจากวิหารพิษ ก็ถอดเสื้อคลุมปรมาจารย์พิษขั้นสูงตัวยาวออก เพื่อสะดวกต่อการทำอาหารและจัดการงานบ้านงานเรือน จึงเปลี่ยนไปใส่ชุดคลุมตัวสั้นที่เขามักสวมใส่เมื่ออยู่ในหมู่บ้าน และเปลี่ยนเสื้อผ้าเบาสบายที่สุดให้กับศิษย์ทั้งสาม เช่นนี้เมื่อเขาไม่ได้เอ่ยว่าระหว่างทางเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง ภายในห้องจึงไม่มีผู้ใดเดาได้ว่าทั้งสี่ มีคนหนึ่งเป็นปรมาจารย์พิษขั้นสูง และอีกสามเป็นปรมาจารย์พิษอาวุโสน้อยที่เด็กที่สุดในหนานจ้าว
แต่ไม่ช้าไม่นานก็ได้ล่วงรู้ เพราะเยว่โกวกับเจียงไห่ได้ไปขนสัมภาระของอาเว่ย ในกระเป๋าสัมภาระมิได้มีเพียงเสื้อคลุมปรมาจารย์พิษขั้นสูงและปรมาจารย์พิษอาวุโสเท่านั้น แต่ยังมีป้ายหยกที่แสดงถึงสถานะและระดับขั้นของพวกเขาอีกด้วย
ในเมื่อเขาไม่ใช่คนที่น่าสงสัย เห้อเหลียนเป่ยหมิงจึงกลับเรือนของตนเองอย่างวางใจ ในขณะที่ผ่านเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าก็หมายจะไปคำนับนางเสียหน่อย แต่กลับถูกเสียงหัวเราะร่าเหล่านั้นเปลี่ยนใจล่าถอยกลับไป
จนกระทั่งอวี๋หวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉาออกจากชีสยาย่วน มาพักผ่อนที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าก็หลับไปที่หัวเตียงแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่านอนหลับไม่สนิท เข้าสู่นิทรายากเป็นพิเศษ หลังจากเยี่ยนจิ่วเฉามา นางก็ไปมองดูเยี่ยนจิ่วเฉาทุกค่ำคืน และหลับลงอย่างสงบได้มากกว่าที่ผ่านมา หลังจากไข่ดำทั้งหลายมา ก็เล่นกันจนหลับ แต่ไข่ดำทั้งสามยังมีพลังเหลือ
“ท่านย่าทวดหลับแล้ว พวกเราอย่ารบกวนนางเลย” อวี๋หวั่นทำมือเชิงสัญลักษณ์ให้พวกเขาเงียบลง เธออุ้มคนหนึ่ง เยี่ยนจิ่วเฉาอุ้มอีกสองคน กลับไปยังห้องพักของทั้งสอง
ฝูหลิงและจื่อซูเข้ามาพาเด็กๆ ไปล้างเนื้อล้างตัว และเปลี่ยนเสื้อผ้า
ทั้งสามกลิ้งไปมาบนเตียงด้วยก้นอันเปลือยเปล่า จื่อซูจับไว้ไม่อยู่ ฝูหลิงหนึ่งมือหนึ่งคน สวมใส่เสื้อผ้าให้พวกเขาอย่างทุลักทุเล
อวี๋หวั่นอาบน้ำเสร็จแล้วก็เข้ามาในห้อง
ทั้งสามที่ส่งเสียงเอะอะโวยวายพลันเงียบลงทำตัวราวกับลูกแกะน้อยในทันใด เอนกายนอนลงอย่างเชื่อฟัง และดึงผ้าห่มขึ้นคลุมอย่างน่ารักน่าชัง จื่อซูสงสัยว่าตนเองมองเห็นภาพมายา ไม่พบกันเพียงไม่กี่วัน? ทักษะของคุณชายน้อยก็เพิ่มขึ้นมากขนาดนี้เลยหรือ…
ฝูหลิงและจื่อซูถอยออกไป
อวี๋หวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉานอนลงบนเตียง โดยมีเด็กทั้งสามนอนคั่นกลาง ต้าเป่าอยู่ติดกับอวี๋หวั่น เสี่ยวเป่าอยู่ข้างเยี่ยนจิ่วเฉา
อวี๋หวั่นนอนตะแคงมองพวกเขา พลางลูบหน้าผากเล็กๆ ของพวกเขาอย่างอบอุ่น “เป็นเด็กดีนะ รู้หรือไม่?”
ทั้งสามพยักหน้าอย่างน่ารัก
เพื่อแสดงความดีงาม เสี่ยวเป่าจึงหันไปกอดแขนของท่านพ่อ
บิดาเมตตาบุตรก็กตัญญู อวี๋หวั่นจึงให้รางวัลเสี่ยวเป่าด้วยจูบใหญ่ๆ อย่างพึงพอใจ
หลังจากดับตะเกียง ภายในห้องก็มืดลง
เสี่ยวเป่าถอนมือออกจากแขน พลันเหยียดเท้าถีบท่านพ่อของเขา!
ทว่า หากจะถูกเขาถีบก็คงไม่ใช่เยี่ยนจิ่วเฉาแล้ว
เยี่ยนจิ่วเฉาจับเท้าเขาไว้ได้อย่างแม่นยำ และใช้ปลายนิ้วจั๊กจี้ฝ่าเท้าของเสี่ยวเป่า
“อื้อ ฮ่าๆๆๆ” เสี่ยวเป่าหัวเราะคิกคักเสียงหมู
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เสี่ยวเป่า นอนได้แล้ว”
โอ๊ย พ่อตัวเหม็นจี้เท้าข้า!
…………………………………………
[1] ยาจินฉวง เป็นยาบรรเทาอาการเจ็บปวด