อวี๋หวั่นเป็นสตรีเพียงคนเดียวในกลุ่ม แม้แต่เธอก็ยังคิดว่า ตนเองนั้นเป็นจุดศูนย์กลางที่ทุกคนต่างทะนุถนอมและให้ความสนใจ และหากไม่ใช่เธอ ก็คงเป็นเยี่ยนจิ่วเฉา
แม้ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ทุกคนจะอยู่อย่างสงบสุขไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ทว่าชิงเหยียนกับเจียงไห่ ทั้งสองมองหน้ากันก็ต่างรู้สึกรำคาญกันเองอย่างลับๆ ส่วนชายชราก็ไม่ปริปากพูดสิ่งใด ทว่าในเรื่องบางเรื่องเขาก็เป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เดิมทีเธอเคยคิดว่าทุกคนจะโต้เถียงกันเรื่องวิธีการทั้งสองนี้อย่างไม่หยุดหย่อน ทว่ากลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย
ยามที่เหตุการณ์ปกติพวกเขาก็เอาอกเอาใจเธอ ทว่าในการตัดสินใจบางอย่างก็ไม่อาจยอมถอยให้ได้
“อาม่า~”
“ไม่อาจต่อรองได้”
“เยี่ยนจิ่วเฉา~”
“หึ”
“ชิงเหยียน~”
“อา”
“เจียงไห่~”
“อย่าได้หวัง”
“เยว่…” เยว่โกวคงไม่ต้องถาม เขาเป็นคนที่เชื่อฟังอาม่ามากที่สุด เป็นเด็กดีของอาม่า หากอาม่าบอกให้ไปชิงมา เขาก็คงวิ่งไปด้านหน้าสุดเพื่อชิงมันมาอย่างแน่นอน
ไยพวกเจ้าไม่ละอายใจกับการแย่งชิงสิ่งของถึงเพียงนี้? นี่คือสัจธรรมความถูกต้องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้!!!
เอาละ อย่างไรเสีย แขนก็ไม่อาจบิดต้นขา[1] หนึ่งหมัดยากจะชนะสี่มือ ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะไปขโมย เช่นนั้นก็มาคิดเถิดว่าจะขโมยมาอย่างไร
“วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือเข้าไปยังเขาพิษ” อวี๋หวั่นเอ่ย “ทว่าเขาพิษเป็นสถานที่ต้องห้ามของหนานจ้าว นอกจากปรมาจารย์พิษผู้ใดก็ไม่อาจเข้าใกล้ นอกจากปรมาจารย์พิษอาวุโสผู้ใดก็ไม่อาจเข้าได้ พวกเราจะไปเป็นปรมาจารย์พิษอาวุโสในยามนี้ได้อย่างไรกัน?”
“ยังมีอีกวิธีหนึ่ง” ชิงเหยียนเอ่ยปาก “พวกเขามิได้จะไปตามหาคางคกหิมะหรอกหรือ? เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาหาไป เมื่อหาพบแล้ว พวกเราค่อยไปชิงมา”
อวี๋หวั่นมองเขาด้วยสายตาเหลืออด นี่เจ้ารู้หรือไม่ว่าอีกฝ่ายที่เราจะไปปล้นคือผู้ใด? ขนาดหน่วยกล้าตายทองคำของลุงใหญ่เจ้ายังรับหมัดเดียวของเขาไม่ไหว แล้วของจวนประมุขหญิงเจ้าคิดว่าตัวเองจะอยู่ได้สักเท่าใด?
“หรือจะขโมยก็ได้” เยว่โกวเอ่ย
อวี๋หวั่นถึงกับผงะ ไม่อยากเชื่อว่าวาจานี้จะออกจากปากเยว่โกวเด็กดีของอาม่า!
แต่ก็ดูเหมือนไม่เลวนะ พวกเขารู้ดีว่าวิธีอื่นไม่ได้ ไปแบบมืดไม่จำเป็นต้องล้มเหลวเสมอไป!
เจียงไห่เอ่ย “ข้าจะไปสืบข้อมูลจากจวนประมุขหญิงมาก่อน”
ชิงเหยียนพยักหน้า “ข้าจะไปกับเจ้า”
คนทั้งสองที่ดูเหมือนไม่ค่อยลงรอยกัน กลับดูเข้าขากันได้อย่างน่าเหลือเชื่อ อวี๋หวั่นจะเอ่ยอย่างไรได้อีก ทำได้เพียงปล่อยให้ทั้งสองไป
ทั้งสองเลือกเดินทางในคืนที่มืดมิดสายลมพัดกรรโชก สวมชุดปฏิบัติภารกิจสีดำปิดบังศีรษะและใบหน้า มุ่งหน้าไปยังจวนประมุขหญิง
จวนประมุขหญิงมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ทั้งสองรออยู่เนิ่นนานก่อนจะใช้ช่องโหว่ในช่วงเปลี่ยนเวรยามกระโดดข้ามกำแพงเข้าไป
ทั้งสองไม่มีใครคาดคิดว่าด้านหลังกำแพงมีขวากหนามกั้นอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งภายในยังมีมีดอาบยาพิษซ่อนอยู่ด้วย หากเป็นมือสังหารธรรมดา เกรงว่าคงจะถูกแทงตายอยู่ที่นี่เสียแล้ว ทันใดนั้นเจียงไห่ก็ถีบตัวจากขอบกำแพง ออกแรงกระโดดระยะไกล ก่อนจะคว้าตัวชิงเหยียน แล้วทั้งสองก็ร่อนลงบนทางเดินเล็กๆ ที่ปูด้วยหิน
ชิงเหยียนใช้เท้าหยั่งพื้นหญ้าในทิศที่ไปทางกำแพงเบาๆ และทันใดนั้นก็ได้ทราบว่าพื้นหญ้านั้นอ่อนนุ่ม เขาพลันรู้สึกตกใจ ได้ยินเสียงของเจียงไห่กล่าวว่า “มันคือบึงน้ำ”
มิน่าถึงกระโดดมาไกลถึงเพียงนี้ เขาก็สงสัยว่าในเมื่อหลบขวากหนามกับใบมีดพ้นแล้ว จะร่อนลงใกล้สักหน่อยไม่ได้หรือ? ยามนี้เห็นแล้วว่าไม่ได้จริงๆ บึงน้ำชนิดนี้เต็มไปด้วยยาพิษ ทันทีที่จมลงไปก็หมดหนทางที่จะมีชีวิตกลับขึ้นมาได้อีก
ชิงเหยียนมีเหงื่อเย็นๆ ผุดออกมาด้วยความหวาดเกรง
มิน่าเล่า ถึงไม่มีผู้ใดกล้าล่วงล้ำเข้ามาในจวนประมุขหญิง ทว่านี่น่ะหรือจวน วิหารยมบาลชัดๆ
ชิงเหยียนมองไปที่เจียงไห่ “ไฉนเจ้าถึงรู้เล่ห์กลเหล่านี้? เจ้าเคยมาที่จวนประมุขหญิงมาก่อนหรือ?”
“ไม่เคย” เจียงไห่ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เช่นนั้นหรือว่าเจ้าเคยเห็นเล่ห์กลเหล่านี้มาจากที่อื่น?” ชิงเหยียนยังคงถามต่อ
แต่เจียงไห่กลับไม่เอ่ยสิ่งใดตอบ
ชิงเหยียนยังไม่ยอมแพ้
เจียงไห่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้ายังไม่ถามที่มาของพวกเจ้าเลย พวกเจ้าก็อย่าได้มาอยากรู้เรื่องข้า”
ชิงเหยียนไม่ทันคิด อยากจะเอ่ยขึ้นว่า เช่นนั้นไม่ได้หรอก ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าคิดอย่างอื่นต่ออาหวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉาหรือไม่? เมื่อคำพูดขึ้นมาถึงริมฝีปาก จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า พวกเขามีแผนจะพาอาหวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉาไปยังเผ่าปีศาจ แค่ก เกือบลืมเรื่องนี้ไปเสียแล้ว
วิ่งห้าสิบก้าวไม่อาจหัวเราะร้อยก้าว[2] ไม่มีใครพูดกับใครอีก!
จวนประมุขหญิงมีขนาดใหญ่กว่าบ้านพักตากอากาศที่หุบเขาปี้ลั่วมาก ทั้งสองเดินไปมาอยู่ด้านใน จนเกือบจะหลงทาง ในที่สุดขณะที่ทั้งสองเกือบจะเดินไปรอบๆ ก็พบกับเงาร่างของปรมาจารย์พิษเมิ่ง
เขากำลังเดินตามหญิงรับใช้ผู้หนึ่งที่แต่งกายดูดี ราวกับกำลังจะไปที่ใดสักแห่ง
ชิงเหยียนกับเจียงไห่แลกเปลี่ยนสายตา ก่อนจะแอบตามไปเงียบๆ
ปรมาจารย์พิษเมิ่งถูกนำทางไปยังศาลาแปดเหลี่ยมที่อาบแสงจันทร์ ขับกล่อมด้วยเสียงนกร้องและกลิ่นหอมของหมู่มวลดอกไม้ ศาลาแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก หน้าต่างรอบด้านแขวนด้วยม่านม้วนไม้จันทร์ฉลุโปร่ง
“ใต้เท้าเมิ่ง เชิญ” หญิงรับใช้ถือตะเกียงด้วยมือข้างหนึ่ง และอีกข้างหนึ่งก็เปิดม่านให้ปรมาจารย์พิษเมิ่ง
ปรมาจารย์พิษเมิ่งก้าวเข้าไปด้านในศาลา
ชิงเหยียนกับเจียงไห่ขึ้นไปบนหลังคาเพื่อแหวกช่องว่างและคว่ำกายแนบลงกับกระเบื้อง เผยให้เห็นดวงตาคู่หนึ่งที่สังเกตเห็นบางอย่างได้ชัดเจน
ภายในศาลามีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ เป็นสตรี
เนื่องจากม่านไม้ที่บดบัง ทำให้พวกเขามองเห็นไม่ชัดเจน เพียงแต่คลับคล้ายคลับคลาว่าปรมาจารย์พิษเมิ่งคำนับอีกฝ่ายอย่างเคารพนบนอบ จากนั้นอีกฝ่ายก็ยกนิ้วชี้ไปยังม้านั่งหินที่อยู่ฝั่งตรงข้าม และปรมาจารย์พิษเมิ่งก็นั่งลง
ทั้งสองพยายามฟังบทสนทนาของทั้งคู่
“องค์หญิงน้อยดื้อรั้น ทำให้ปรมาจารย์พิษเมิ่งต้องลำบากแล้ว” สตรีผู้นั้นกล่าว
เจียงไห่ส่งสายตาแลกเปลี่ยนกับชิงเหยียน ทั้งใดนั้นเกือบในวินาทีเดียวกัน คำคำหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของทั้งสอง ‘ประมุขหญิง’
ปรมาจารย์พิษเมิ่งเอ่ย “ได้รับใช้องค์หญิงน้อย นับเป็นเกียรติของกระหม่อมเมิ่ง”
ประมุขหญิงกล่าวด้วยท่าทีมีไมตรีอ่อนโยน “เด็กผู้นั้นถูกข้ากับราชบุตรเขยเลี้ยงดูจนเคยตัว ทั้งวันไม่เคยทำสิ่งใดจริงจัง นางเอ่ยสิ่งใดท่านอย่าได้เก็บไปใส่ใจ คราหน้ากลับไปข้าจะตักเตือนนางให้ดี ให้นางรู้จักความผิดที่มีต่อท่าน”
สมแล้วที่นางนั่งตำแหน่งนี้มานานหลายปี ทั้งลักษณะน้ำเสียงและท่าทางดูนุ่มนวลอ่อนโยน ทว่ากลับเผยให้เห็นความสูงส่งสง่างามน่าเกรงขามที่ยากจะยั่วยุ
ปรมาจารย์พิษเมิ่งเอ่ย “วาจาเด็กไม่ควรถือสา กระหม่อมไม่อาจรับไว้ได้”
วาจาเด็กไม่ควรถือสา? เจียงไห่กับชิงเหยียนต่างกลอกตา นางแค่เด็กกว่าอาหวั่นปีสองปีเท่านั้น อาหวั่นรู้ความมากกว่านางเยอะเลยกระมัง!
บทสนทนาของทั้งสองยังดำเนินต่อไป
ประมุขหญิงเอ่ย “ข้าเรียกท่านมาดึกดื่นเช่นนี้ แท้จริงเพราะต้องการหารือกับท่านเรื่องคางคกหิมะ ท่านทราบดีว่า ของศักดิ์สิทธิ์สูญหายไปนานแล้ว ยามแรกข้าได้ยินมาว่าอยู่ในจงหยวน ข้าจึงส่งคนไปตามหา ทว่ากลับไม่ได้สิ่งใดกลับมา ข้ากังวลว่าของศักดิ์สิทธิ์นั้นอาจจะหาไม่เจออีกแล้ว หากข้าได้คางคกหิมะมา ก็นับว่าพอทดแทนกันได้ ข้าทราบดีว่าความสามารถของท่านเป็นถึงปรมาจารย์พิษอาวุโสมานานแล้ว ทว่าขาดเพียงป้ายหยกเท่านั้น”
คำพูดนี้เป็นความจริง ปรมาจารย์พิษเมิ่งมีความสามารถที่แข็งแกร่งของปรมาจารย์พิษอาวุโสมานานแล้ว แต่ทว่าปรมาจารย์พิษอาวุโสก็มีระดับ ต่ำสุดคือขั้นหนึ่ง สูงสุดคือขั้นเก้า ทุกครั้งของการทดสอบปรมาจารย์พิษอาวุโสจะใช้เวลาสามเดือน
…………………………………..
[1] แขนก็ไม่อาจบิดต้นขา อุปมาถึง สิ่งที่อ่อนแอกว่าไม่อาจเอาชนะสิ่งที่แข็งแกร่งกว่าได้
[2] วิ่งห้าสิบก้าวไม่อาจหัวเราะร้อยก้าว หมายถึงผู้ที่มีความผิดหรือข้อบกพร่องเช่นเดียวกับผู้อื่นแม้ว่าจะเบากว่าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ควรหัวเราะเยาะหรือประนามผู้อื่นเพราะถึงอย่างไรตนเองก็ผิดหรือมีข้อบกพร่องเช่นเดียวกัน