หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 178.1 จัดการปรมาจารย์ (1)

บทที่ 178.1 จัดการปรมาจารย์ (1)

โดยทั่วไปประตูเมืองของหนานจ้าวจะปิดเร็วกว่าของต้าโจว ยามที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ประตูเมืองก็จะปิดลง

“เสียเวลานั่งรถมาตลอดทั้งเช้า! สุดท้ายก็ต้องมาพักแรมอยู่กลางป่าเนี่ยนะ!” ชุยเฒ่าบ่น

เขาอายุมากแล้ว นั่งรถลงเรือก็มักจะรู้สึกเหนื่อยล้า แต่เจ้าปรมาจารย์เวรตะไลนั่นกลับเร่งให้เดินทางเร็วๆ ราวกับจะรีบไปเกิดใหม่ ชุยเฒ่ารู้สึกราวกับท้องไส้บิดวนแทบแย่ หากเร่งเดินทางแล้วมาทันเข้าเมืองก็ว่าไปอย่าง แต่เขากลับท้องเสียตลอดช่วงบ่าย

คนที่เร่งให้เดินทางเร็วขึ้นก็คือเขา คนที่ไปต่อไม่ไหวก็คือเขา ชุยเฒ่าโมโหจนควันออกหู!

ชิงเหยียนรอเขาจนสีหน้าไม่ดีเช่นกัน เมื่อเขาลงจากรถม้าแล้วเดินผ่านปรมาจารย์พิษไป ก็ไม่ได้แม้แต่จะเหลือบมองเขา

ปรมาจารย์พิษแม้จะดูแล้วเป็นผู้มีวิชาความรู้แก่กล้า แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นคนใจแคบ เขาจดจำเรื่องที่คนกลุ่มนี้ทำเสียมารยาทต่อตน แล้วก็คิดว่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับ

ใต้เท้าเฟ่ยหลัวบอกไว้ว่าขอเพียงช่วยให้เขาได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนา ใต้เท้าเฟ่ยหลัวก็จะให้เขาติดตามไปด้วย องครักษ์ของใต้เท้าเฟ่ยหลัวเป็นคนที่จวนประมุขหญิงส่งมา ไหนเลยชาวยุทธภพกระจอกๆ เหล่านี้จะเทียบชั้นได้

นอกจากนั้นแล้ว ระหว่างทางเขาก็จะได้ผูกมิตรกับใต้เท้าเฟ่ยหลัว ในวันข้างหน้าเมื่อเข้าไปยังเมืองหลวง เขาจะได้ถูกนับว่าเป็นผู้ที่รู้จักมักคุ้นกับใต้เท้าเฟ่ยหลัวแล้ว

เนื่องจากไม่อาจเข้าไปในเมืองหลวงได้ ทั้งโดยรอบก็ว่างเปล่าไม่มีที่ให้พัก พวกเขาจึงจำต้องหาพื้นที่บริเวณนั้นค้างแรม

เดินทางมาหลายวัน พวกเขานับว่ามีประสบการณ์ จึงหยิบกระโจมและอุปกรณ์ต่างๆจากรถม้ามากาง

สิ่งที่ควรแก่การเอ่ยถึงก็คือ บ่าวของปรมาจารย์พิษผู้นี้ได้ล้มตายหรือบาดเจ็บจากการเผชิญหน้ากับกลุ่มโจรระหว่างทางไปจนหมด เหลือเพียงสารถีรถม้าที่ยังคงติดตามเขา เขาเองก็มิได้ไม่มีเงินซื้อบ่าวแต่อย่างใด เพียงแต่ไม่มีใครเข้าตาเขาสักคน เมื่อคิดเช่นนี้ รอให้เข้าเมืองหลวงไปก่อนแล้วค่อยๆ เลือกก็ยังไม่สาย

สารถีรถม้ามีความสามารถจำกัด กระโจมสำหรับค้างแรมเยว่โกวก็เป็นคนกางให้ ส่วนเจียงไห่และชิงเหยียนไม่คิดจะสนใจเขาแล้ว

ในตอนนี้ หากจะไม่กล่าวถึงความใส่ใจและรอบคอบของจื่อซูก็คงไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นการเดินทางเพียงวันเดียว แต่จื่อซูเตรียมอาหารแห้งสำหรับสองวัน ทว่าอีกส่วนหนึ่งเป็นข้าวสารและอาหารแห้ง ของเหล่านี้ ไม่เสียภายในเวลาชั่วข้ามคืน สามารถเก็บไว้ได้

ฝูหลิงไปจุดไฟ

จื่อซใช้น้ำที่เตรียมไว้มาแช่ข้าว จากนั้นก็นำหม้อไปวางไว้บนเตาซึ่งทำมาจากก้อนหินวางซ้อนๆ กัน จากนั้นก็หยิบปลาแห้งและเนื้อแห้งไปย่างบนอีกเตาหนึ่ง

ไม่รู้ว่าเจียงไห่ไปล่ากระต่ายมาจากที่ใด เขาไม่ต้องรอให้ใครมาช่วย ลงมือชำแหละกระต่ายด้วยตนเอง แล้วจึงส่งให้จื่อซูและฝูหลิงจัดการ

ทั้งสองหยิบเกลือเกล็ดหิมะและผักดองซึ่งนำมาจากบ้านสกุลอวี๋ออกมา ส่วนน้ำมันได้แวะซื้อระหว่างทางเรียบร้อยแล้ว

“ยังมีต้นหอมอยู่ไหม?” จื่อซูถาม

“มี ข้าไปหยิบให้!” ฝูหลิงก้าวออกไปอย่างฉับไว เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ถือถาดใบเล็กเข้ามา เป็นต้นหอมที่

อวี๋หวั่นปลูกเอง

อาจเป็นเพราะยาที่กิน ช่วงนี้เยี่ยนจิ่วเฉาจึงไม่กินเนื้อสัตว์ เขาไม่กินเนื้อกระต่าย อวี๋หวั่นจึงเก็บน่องกระต่ายเอาไว้ชิ้นหนึ่ง ส่วนอีกน่องก็ให้จื่อซูนำไปให้อาม่า

กลิ่นหอมของเนื้อกระต่ายย่างอบอวลไปทั่ว อีกทั้งลอยไปยังกระโจมของปรมาจารย์พิษ เดิมทีเขาไม่หิว กินหมั่นโถวเข้าไปเล็กน้อยก็ล้มตัวลงนอน ทว่าเมื่อกลิ่นหอมลอยมาแตะจมูก เขาก็พลันรู้สึกท้องร้องขึ้นมา

เขาร้องเรียกสารถี “พวกเขากินอะไรกันอยู่?”

สารถีก็หิวมากเช่นกัน เขากลืนน้ำลายแล้วตอบว่า “ดูเหมือนว่าองครักษ์เจียงจะล่ากระต่ายมาได้ตัวหนึ่ง พวกเขาเอากระต่ายมาย่างกินขอรับ”

ปรมาจารย์พิษมีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไรนัก “เจียงไห่เป็นผู้คุ้มกันของข้า! ของที่เขาหามาได้ก็ต้องเป็นของข้าสิ เหตุใดไปอยู่ในท้องคนพวกนั้นได้?!”

“เช่นนั้น…ข้าน้อยไปเอาจากพวกเขามาให้ก็ได้ขอรับ” ต้องเอามามากสักหน่อย ถ้าหากปรมาจารย์กินไม่หมด จะได้ตกถึงเขาด้วย!

“…ช่างเถอะ” เมื่อปรมาจารย์พิษนึกถึงแผนการของวันนี้ เขาก็กดความกระหายอยากกินเนื้อเอาไว้ได้

“ขอรับ” สารถีคอตกด้วยความผิดหวัง เนื้อกระต่ายหอมเหลือเกิน ปลาย่างและเนื้อย่างก็หอม ในข้าวมีมันเทศ หอมๆๆๆ!

ปรมาจารย์พิษก็รู้สึกว่าหอมเช่นกัน แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีวิธีนี่? ตั้งแต่ที่เขาได้เปิดเผยว่าตนต้องการซื้อสาวใช้คนนั้น ก็นับว่าแตกหักกับเจ้าเด็กคนนั้นไปแล้ว

อันที่จริงก็แค่สาวใช้เพียงคนเดียวไม่ใช่หรอกรึ? ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเพราะเหตุใดถึงขายให้ไม่ได้? ถึงกับล่วงเกินปรมาจารย์พิษสองคนเพียงเพราะสาวใช้คนเดียว คนผู้นี้บ้าไปแล้วหรืออย่างไรกัน!

โครกคราก~

เนื้อกระต่ายหอมจนเขาท้องร้องออกมา

“มีอะไรให้กินบ้าง?” ปรมาจารย์พิษเอ่ยถามอย่างหัวเสีย

สารถีตอบว่า “มีเนื้อแห้งและขนมขอรับ”

เนื้อแห้งก็ซื้อมาจากร้านเดียวกัน แต่ไม่รู้ว่าทำไม ปรมาจารย์พิษจึงคิดว่าเนื้อแห้งของคนอื่นหอมกว่า

เขาโบกมือ แล้วให้สารถียกอาหารออกไป ขณะที่สารถีเลิกม่านกระโจมออก ก็ได้ยินปรมาจารย์เอ่ยขึ้นอีกว่า “ช้าก่อน เจ้ามานี่”

ปรมาจารย์พิษหยิบเหล้าองุ่นป่าไหหนึ่งออกมาจากห่อผ้า “เจ้าเอาไปให้พวกเขา”

“หา?” สารถีตกใจ “เหตุใดอยู่ๆ ใต้เท้าให้นำเหล้าไปให้เขาละขอรับ?”

ทั้งยังเป็นเหล้าชั้นดีเสียด้วย?

สารถีติดตามปรมาจารย์พิษมานาน มีหรือจะไม่รู้ว่าปรมาจารย์พิษคิดจะนำของสิ่งนี้ไปมอบให้ครอบครัวที่เชิญเขาในเมืองหลวง เหล้าองุ่นชนิดนี้หาไม่ได้ตามท้องตลาด เป็นเหล้าที่ปรมาจารย์สุราเลือกสรรองุ่นป่าลูกใหญ่ที่สุดมาหมัก ปรมาจารย์พิษทำเช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุผล

ปรมาจารย์พิษมีแผนในใจ เหล้านั้นเป็นเหล้าที่ดี ทว่าตั้งแต่เขาได้รู้จักกับใต้เท้าเฟ่ยหลัว เบื้องหน้าปรมาจารย์พิษก็ราวกับบังเกิดทางที่เส้นใหญ่กว่าขึ้นมา เขาจะทำทุกสิ่งที่เขาทำได้เพื่อใต้เท้าเฟ่ยหลัว

“ให้เจ้าเอาไปให้เจ้าก็เอาไปให้เถอะ จะพูดมากทำไม?”

“เช่นนั้น…ถ้าพวกเขาถามขึ้นมาเล่าขอรับ ข้าน้อยจะตอบว่าอย่างไร?”

“เจ้าก็บอกไปว่า…ใช้เหล้าไปแลกกับเนื้อ”

สรุปแล้ว ท่านอยากกินเนื้อกระต่ายใช่ไหมเล่า!

สารถีแอบบ่นในใจ แล้วจึงยกเหล้าไป

“ใต้เท้าบ้านข้าให้นำเหล้าชั้นดีมาให้” สารถีบอก

เหล้าชั้นดี?

อาม่าแค่นเสียงค่อนแคะ ยังไม่ถึงห้าสิบปี ยังจะกล้าเรียกว่าเหล้าชั้นดีอีกหรือ?

ชุยเฒ่า: ข้าเข้าวังมาเป็นสิบปี ไม่ยักเคยเห็นเหล้าที่ไม่หอมเช่นนี้มาก่อน

ชิงเหยียนและเยว่โกว: เหล้าองุ่นป่าของเผ่าปีศาจสิจึงจะเรียกว่าเป็นเหล้าชั้นดี

เยี่ยนจิ่วเฉา: เหล้าพระราชทานข้ายังไม่สนใจ ไหนเลยจะมาสนใจเหล้ากระจอกๆ เช่นนี้?

เหล้าที่ปรมาจารย์พิษทะนุถนอมไม่อยากยกให้ กลับกลายเป็นเพียงขยะเปียกในสายตาของคนกลุ่มนี้

สารถีไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถึงเรื่องแลกเปลี่ยนเหล้ากับเนื้อ เขาอุ้มไหเหล้ากลับมาหาเจ้านาย

ปรมาจารย์พิษโมโหสุดขีด เขาไม่นึกถึงแผนการของคืนนี้อีกต่อไป ตอนนี้เขาแค่อยากบุกไปจัดการคนกลุ่มนั้น!

สารถีแอบสงสัยว่าปรมาจารย์พิษผู้นี้อารมณ์ร้อน เหตุใดแม้จะโกรธคนกลุ่มนี้แต่ก็ยังไม่ลงมือทำอะไรสักที?

ปรมาจารย์พิษสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ “เจ้าจับตาดูสาวใช้ที่ชื่อจื่อซูให้ดี แล้วหาโอกาสพานางมาที่กระโจมของข้า”

“นั่น…” สารถีอยากบอกว่าเขาทำไม่ได้หรอก จื่อซูตัวติดกับฝูหลิงซึ่งตัวใหญ่มหึมาตลอดเวลา เขาจะไปจับตัวนางมาได้อย่างไร?

ทว่าโชคก็เข้าข้างสารถี เขาได้พบกับจื่อซูซึ่งอยู่เพียงลำพังจริงๆ

จื่อซูเพิ่งกลับมาจากการไปปลดทุกข์ในป่า เรื่องพรรค์นี้จะให้ใครไปด้วยก็คงไม่เหมาะนัก เมื่อนางเดินออกมาจากป่า ก็พบกับสารถีซึ่งขวางหน้ารถเอาไว้

จื่อซูตกใจจนกระโดดโหยง!

สารถีรีบยิ้ม “แม่นางจื่อซู ข้าเอง!”

จื่อซูจ้องเขา “เป็นเจ้าเองหรือ?”

จื่อซูขยับไปด้านข้าง

สารถีเห็นท่าทางของนางก็รู้ทันทีว่านางพยายามจะหลบหลีก นางมิได้ใคร่อยากเสวนากับเขาแม้แต่น้อย สารถีจึงรีบเรียกชื่อนาง ทำเช่นนี้จะได้ดึงดูดความสนใจของนางได้

“แม่นางจื่อซู” สารถีเรียก “ข้าขอคุยด้วยได้หรือไม่?”

“เจ้ามีอะไร?” จื่อซูมองเขาด้วยความหวาดระแวง

สารถีจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “แม่นางจื่อซูเจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้มีเจตนาร้าย อันที่จริงเจ้านายของข้ามีเรื่องอยากพูดกับเจ้าเล็กน้อย ใช้เวลาเพียงครู่เดียว อีกอย่างพี่ใหญ่เจียงและคนอื่นๆ ล้วนแต่อยู่ที่นี่ หากหาเจ้าไม่เจอพวกเขาก็คงมาตามหาเจ้า”

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง หากปรมาจารย์พิษทำอะไรจื่อซูขึ้นมาจริง ลำพังความสามารถของพวกเจียงไห่ ย่อมต้องช่วยจื่อซูออกมาได้อย่างแน่นอน

จื่อซูเผยสีหน้าเคลือบแคลงใจ

สารถียกมือขึ้นสาบาน “ข้าสาบานต่อสวรรค์ว่าจะไม่ทำร้ายแม่นางจื่อซู”

จื่อซูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตามสารถีไป

ในกระโจม จื่อซูเห็นปรมาจารย์พิษสีหน้าเย่อหยิ่ง

ปรมาจารย์พิษลุ่มหลงในวิชา เขามิได้สนใจสตรีแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นแม้ว่าจื่อซูจะหน้าตาสะสวย แต่เขาก็ไม่ได้มีความคิดเลยเถิดต่อนาง นี่คือในเหตุผลที่จื่อซูกล้ามาพบเขา

“เจ้าออกไปเฝ้าข้างนอก” ปรมาจารย์บอก

“ขอรับ” สารถีรถม้าถอยออกไป

จื่อซูกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่ทราบว่าปรมาจารย์มีเรื่องอะไรหรือ?”

เขาตอบอย่างเย่อหยิ่งว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าเจ้าน่าจะได้ยินมาบ้างแล้ว มีใต้เท้าท่านหนึ่งถูกใจเจ้า เขาเป็นปรมาจารย์พิษ พลังและฐานะของเขาเหนือกว่าข้า ข้าจึงอยากถามเจ้าว่าเจ้ายินดีจะไปกับเขาหรือไม่?”

“ข้าไม่ยินดี” จื่อซูตอบโดยไม่หยุดคิด

“เจ้า…” ปรมาจารย์พิษชะงักไป “เจ้าไม่ใคร่ครวญดูสักหน่อยหรือ?”

จื่อซูตอบไปว่า “หากใต้เท้าท่านนั้นถูกใจข้าจริง ก็ควรจะมาขอข้าจากคุณชายข้าอย่างเปิดเผย ไม่ควรใช้ให้ท่านมาบีบบังคับคุณชายให้ขายข้าเช่นนี้”

ปรมาจารย์แค่นเสียงขึ้นจมูก “เป็นแค่สาวใช้ กลับเย่อหยิ่งจองหอง เจ้ารู้หรือไม่ว่าใต้เท้าท่านนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด?”

จื่อซูไม่ตอบ

ปรมาจารย์ตอบว่า “เจ้าเคยได้ยินชื่อจวนประมุขหญิงหรือไม่? ประมุขหญิงเป็นพระธิดาองค์เดียวของฮ่องเต้หนานจ้าว นางเป็นผู้ครองดินแดนแห่งนี้คนต่อไป และอาจารย์ของใต้เท้าเฟ่ยหลัวเป็นปรมาจารย์พิษที่จวนประมุขหญิงเชิญไปเป็นแขก พวกเจ้าล่วงเกินข้ายังไม่เป็นไร หากเจ้าไปล่วงเกินแขกของประมุขหญิงย่อมมีราคาที่ต้องชดใช้ ข้าอยากแนะนำเจ้าว่าให้รู้จักที่ต่ำที่สูง คุณชายของเจ้าไม่อยากให้เจ้าไป ก็เพราะว่าเขามีความยุติธรรม แล้วเจ้าเล่า? อยากปล่อยให้ผู้ที่ปกป้องเจ้าโดนหางเลขไปด้วยหรือ?”

ความสับสนปรากฏบนใบหน้าของจื่อซู

ปรมาจารย์พิษรู้ว่านางฟังสิ่งที่เขาพูด ที่จริงเรื่องนี้ก็ตัดสินใจไม่ยาก ติดตามคุณชายเส็งเคร็งคนหนึ่งไหนเลยจะสู้เสพสุขเยี่ยงภรรยาของปรมาจารย์พิษเล่า?

“ใต้เท้าเฟ่ยหลัวเข้าเมืองหลวงในครั้งนี้จะได้ทำงานให้ประมุขหญิง เจ้าไปกับเขา ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอง วันข้างหน้าชีวิตจะราบรื่น ดีกว่าไปติดตามคุณชายไร้ชื่อเป็นไหนๆ เลยใช่หรือไม่เล่า?”

ปรมาจารย์พิษพูดสิ่งที่เขาคิดออกมา เมื่อเห็นว่าจื่อซูยังไม่มีท่าทียินยอม ก็ก่นด่าอยู่ในใจว่านางดื้อรั้น เขาทำหน้านิ่งแล้วกล่าวว่า “อีกอย่าง หากเจ้าไม่คิดถึงตัวเอง ก็คิดถึงคุณชายบ้านเจ้าบ้างก็ได้ คุณชายบ้านเจ้าล่วงเกินปรมาจารย์พิษของจวนประมุขหญิง คงไม่ได้มีจุดจบที่ดีหรอกกระมัง?”

………………………………………

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]

Status: Ongoing

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร

เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน

ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว

ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน…

ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?!

สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย

บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป…

วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย?

ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้…

“ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง

“เรียกแม่สิ”

เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท