องครักษ์ผู้นี้มีแซ่โม่ นามว่าซัง เขาอยู่ในจวนประมุขหญิงมานานกว่าเจ็ดปี เขาค่อยๆ ไต่เต้าจากองครักษ์ชั้นที่ต่ำที่สุดมาสู่ตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์ ความสามารถของเขาเป็นที่ยอมรับจากประมุขหญิง ทั้งยังได้รับการยกย่องจากประมุขหญิงเป็นอย่างมาก
หลังจากได้รับคำสั่งจากประมุขหญิง เขาก็สอบถามเกี่ยวกับบุคคลในภาพวาด เช่นประมุขหญิงพบเขาได้อย่างไร และพบเขาที่ใด
“ร้านขายถังหูลู่บนถนนหลิวหยาง ตั้งอยู่ตรงข้ามกับร้านชาดที่องค์หญิงน้อยไป ‘ตรวจสอบ’ ทุกวัน”
หลังจากทราบข้อมูลที่แน่ชัดแล้ว โม่ซังก็รีบไปที่ถนนหลิวหยางและพบกับร้านขายขนมหวานร้านนั้น เขาสอบถามเกี่ยวกับแขกที่เคยมาที่ร้าน แขกที่งดงามเช่นเยี่ยนจิ่วเฉามีน้อยนัก แค่เห็นเพียงแวบเดียวก็ประทับใจไม่รู้ลืมไปชั่วชีวิต นับประสาอะไรกับเยี่ยนจิ่วเฉาที่เคยมาไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง
คนที่ร้านนึกย้อนไป “ครั้งแรกมาที่นี่ ยังไม่ทันซื้อก็จากไป…เขาขึ้นไปบนรถม้าคันหนึ่ง…”
“รถม้าอะไร?” โม่ซังถาม
ร้านบอกว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร? มันจอดอยู่ที่ร้านชาดนั่นน่ะ!”
โม่ซังถามข้อมูลเกี่ยวกับรถม้าและสารถีรถม้าคันนั้นเพิ่มเติม จนพอเดาชื่อได้ จากนั้นโม่ซังก็ถามว่าคุณชายผู้นั้นเป็นคนที่ใด เคยได้ยินเพียงนามสกุลโน่นนี่
ไหนเลยร้านนี้จะทราบได้? คุณชายผู้นั้นมาที่นี่เพียงสองครั้งเพียงเพื่อซื้อถังหูลู่ จะไปมีความสัมพันธ์กับร้านค้าเล็กๆ ได้อย่างไร?
ทว่าร้านค้าได้บอกกับโม่ซังว่าคุณชายผู้นั้นเดินมาจากตรอกฝั่งตรงข้ามในแนวทแยงมุม คาดว่าเขาอาศัยอยู่ที่ย่านขุนนาง
ในย่านขุนนางมีอำนาจสูงส่งราวก้อนเมฆ ทว่าที่ที่สะดุดตาที่สุดคือสกุลเห้อเหลียน พื้นที่นี้ได้รับการคุ้มครองจากสกุลเห้อเหลียน แม้แต่ขโมยก็ยังไม่กล้าคิด แต่ด้วยเหตุนี้ ข่าวภายในจึงถูกปิดอย่างมิดชิด น้อยนักที่จะแพร่ออกมาภายนอก
โม่ซังใช้ความพยายามอย่างสุดกำลังในการคัดบ้านเรือนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปทีละหลัง และเหลือเพียงบ้านสกุลเห้อเหลียนที่ยังคงอยู่ การแอบเข้าบ้านสกุลสกุลเห้อเหลียนไม่ใช่เรื่องง่ายดายเช่นนั้น
เหล่าไข่ดำนอนหลับอย่างสงบอยู่ที่ประตู พวกเขายังเป็นเด็กและไม่มีหน่วยกล้าตายคนใดมาคุ้มกันทารกน้อย แต่โม่ซังนั้นแตกต่างออกไป เขาเป็นผู้มีวรยุทธ์ แค่เพียงเข้าใกล้ หน่วยกล้าตายก็สามารถรับรู้ถึงกำลังภายในของเขาได้
โม่ซังกลับมาที่จวนประมุขหญิง
ราชบุตรเขยยังอยู่ที่หอเก็บหนังสือ
เขาเป็นคนแบบนี้ละ ไม่มีงานอดิเรกอื่นใด รักแต่การอ่านหนังสือเท่านั้น ยามมีความสุขก็อ่านหนังสือ ยามมีเรื่องทุกข์ใจก็อ่านหนังสือ บ่อยครั้งที่ผู้คนไม่แน่ใจว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ แต่สิ่งที่แน่นอนคือ ไม่นานมานี้มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับเขา และยังไม่รู้ว่าเพราะการพบกับบุรุษหนุ่มผู้นั้นหรือไม่
“ฝ่าบาท” โม่ซังขอเข้าเฝ้าจากด้านนอก
ประมุขหญิงนวดคิ้วพลางตรัส “เข้ามา”
โม่ซังก้าวเข้ามาข้างใน
ประมุขหญิงทำท่าให้ข้ารับใช้ถอยออกไป ข้ารับใช้รู้ความหมาย พลันถอยออกไปอย่างนอบน้อม
“เป็นอย่างไรบ้าง?” ประมุขหญิงถาม
โม่ซังรู้สึกละอายใจ “กระหม่อมไร้ความสามารถ ทราบมาเพียงว่าเขาได้พบกับราชบุตรเขยบนรถม้านอกร้านค้าชาด ส่วนพวกเขาพูดคุยว่าอย่างไร กระหม่อมไม่แน่ชัด เขากับราชบุตรเขยพบกันเพียงครั้งนี้หรือไม่ ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ”
“เช่นนั้นเจ้าสืบพบอะไรกันแน่?” ใบหน้าประมุขหญิงร่องรอยความเย็นชา
โม่ซังกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ตามเบาะแสที่ทางร้านให้มา กระหม่อมคัดบ้านเรือนใกล้เคียงออกทีละหลัง และเหลือเพียงสกุลเห้อเหลียนเท่านั้นที่ไม่สามารถสืบข่าวได้”
ประมุขหญิงชะงัก “เจ้าหมายความว่าเขาอาจเป็นคนของสกุลเห้อเหลียนรึ?”
โม่ซังกล่าวว่า “เว้นเสียแต่ว่า…เขาไม่ได้อยู่ที่นั่นอยู่แล้ว ทว่าความเป็นไปได้นั้นน้อยนัก เพราะร้านค้าเห็นเขาเดินออกมาจากตรอกนั้นถึงสองครั้ง หากเขาไม่ได้อยู่ละแวกนั้น ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเดินออกมาจากที่นั่น”
“เหตุใดสกุลเห้อเหลียนถึงมีบุคคลเช่นนี้ได้?” ประมุขหญิงพึมพำอย่างครุ่นคิด
โม่ซังกล่าวเพิ่มเติม “ไม่กี่วันที่ผ่านมา กระหม่อมได้ยินองค์หญิงน้อยกล่าวบางอย่างเกี่ยวกับสกุลเห้อเหลียน”
“เรื่องอันใด?” ประมุขหญิงมองเขาด้วยท่าทีจริงจัง
โม่ซังตอบ “สกุลเห้อเหลียนมีคู่สามีภรรยาเดินทางมา โดยอ้างว่าเป็นบุตรชายและสะใภ้ของน้องชายแท้ๆ ของแม่ทัพใหญ่เทพเป่ยหมิง”
ประมุขหญิงรำพึง “น้องชายที่ตกหน้าผาตาย ไม่เหลือแม้แต่กระดูกนั่นน่ะหรือ?”
โม่ซังพยักหน้า “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าเศร้าโศกเสียใจจนสติฟั่นเฟือน มีข่าวลือว่าบุตรคนนั้นยังไม่ตาย แต่คนถูกช่วยชีวิตไว้ ในช่วงหลายปีมานี้มีคนมาแสดงตัวเป็นญาติไม่ขาดสาย บอกว่าตนเองเป็นบุตรของคนที่ตกจากหน้าผาในตอนนั้น ทว่าล้วนถูกสกุลเห้อเหลียนมองผ่าน องค์หญิงน้อยมาตรว่าคนที่มาครั้งนี้ แปดในสิบส่วนก็คงเป็นตัวปลอมเช่นกัน แต่ไม่รู้ด้วยวิธีการใดถึงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าและแม่ทัพใหญ่เทพเป่ยหมิงสับสนได้”
“เหตุใดนางกล่าวเช่นนี้?” ประมุขหญิงถาม
หัวใจขององค์หญิงน้อยแทบไม่อาจเก็บงำคำพูดไว้ได้อีกต่อไป เมื่อนางเกือบจะได้รับความไม่เป็นธรรมยามที่อยู่ข้างนอก เมื่อกลับมาที่เรือนก็อยากจะระบายความในใจให้หมดสิ้น โม่ซังเป็นหัวหน้าองครักษ์ของจวนประมุขหญิงมานาน เขามีเส้นสายของตัวเองอยู่ที่เรือนทุกหลัง แน่นอนว่าเรื่องนี้ได้รับความเห็นชอบจากประมุขหญิงแล้ว
โม่ซังเล่าเรื่องที่เขาได้ยินจากหญิงรับใช้อย่างละเอียด “คุณชายใหญ่ที่มาจากชนบทผู้นั้นทำเห็ดหลินจือที่นางต้องการหาให้ท่านตาย แล้วยังสั่งสอนคุณชายอีกสองคนของจวนตะวันตกด้วย ทั้งสองฝ่ายกลายเป็นศัตรูกัน คำพูดเหล่านี้คงเป็นคุณชายสกุลเห้อเหลียนกล่าวกับองค์หญิงน้อย”
ประมุขหญิงโบกมือ “นั่นคงนับไม่ได้”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ เป็นไปได้ว่าคุณชายทั้งสองเปล่งวาจาออกมาด้วยความไม่พอใจ” ตอนแรกโม่ซังกล่าวตามคำพูดขององค์หญิงน้อย หลังจากนั้นจึงใส่ความคิดเห็นของตนเอง “แต่ไม่ว่าอย่างไร กระหม่อมกลับรู้สึกว่า แปดในสิบส่วนคุณชายผู้นั้นเป็นคุณชายใหญ่ที่เดินทางมาจากชนบท”
หากอยากรู้คำตอบก็หาใช่เรื่องยาก
ประมุขหญิงเรียกองค์หญิงน้อยมาพบ
องค์หญิงน้อยเพิ่งเสร็จจากการอาบน้ำ เส้นผมของนางยังเปียกหมาดๆ ได้ยินว่าท่านแม่เรียกหานาง ก็รีบมาด้วยรอยยิ้ม หย่อนกายนั่งบนเก้าอี้ม้ายาวมีพนักและกอดแขนท่านแม่ของนาง “คืนนี้จะให้ข้านอนที่นี่ใช่หรือไม่?”
ประมุขหญิงยิ้ม “อายุเท่าใดแล้ว? ยังอยากนอนกับแม่อีกหรือ?”
“อายุเท่าใดก็ยังอยาก!” องค์หญิงน้อยพูดจาออดอ้อน
จะกล่าวว่าองค์หญิงน้อยอายุมากก็ไม่ใช่ อายุน้อยก็ไม่เชิง สตรีในเรือนทั่วไปที่อายุเท่านางล้วนออกเรือนไปนานแล้ว ทว่าประมุขหญิงกลับยังไม่เริ่มหาคู่ครองให้นาง หนึ่งเพราะนางถูกเลี้ยงมาบอบบางเกินไป สองทำใจจากนางไม่ได้ ยังอยากเก็บนางไว้อีกสักสองปี แต่บุตรของกษัตริย์ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการแต่งงาน บุตรสาวนางอายุสิบแปดหรือสิบเก้าแล้วอย่างไร? บุรุษคนใดในใต้หล้าจะกล้าปฏิเสธนาง?
วันนี้ไม่ได้จะเสวนาเรื่องความรักหนุ่มสาว
ประมุขหญิงกล่าวเรื่องสำคัญกับองค์หญิงน้อย “ช่วงนี้เจ้าออกไปสร้างความเดือดร้อนให้ข้าอีกแล้วใช่หรือไม่?”
“ข้าจะไปทำเช่นนั้นได้อย่างไร?” องค์หญิงน้อยกล่าวด้วยความรู้สึกผิด
ประมุขหญิงเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ “แล้วเหตุใดข้าได้ยินมาว่าเจ้าก่อเรื่องให้คุณชายทั้งสองของสกุลเห้อเหลียนถูกลงโทษ”
องค์หญิงน้อยขนลุกซู่ “เหตุใดเป็นข้าก่อเรื่อง? หาใช่ข้าไม่!”
“เช่นนั้นเป็นผู้ใด?” ประมุขหญิงตะล่อมถามนาง
องค์หญิงน้อยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าตนเองได้ตกหลุมพรางของท่านแม่ พลางกล่าวด้วยเสียงดัง “ก็พวกบ้านนอกเข้ากรุงที่มาแสดงตัวเป็นญาติน่ะสิ! ท่านแม่ เกรงว่าท่านคงไม่ทราบ สกุลเห้อเหลียนน่ะ คนที่อ้างตนว่าเป็นหลานชายของฮูหยินผู้เฒ่า ให้ครอบครัวเลี้ยงปากท้อง พักอยู่ที่จวนตะวันออก!”
องค์หญิงน้อยยังไม่แน่ใจเรื่องไข่ดำน้อย แค่เห็นเด็กชายผิวดำในร้านค้าก็ไม่ได้ไปคิดในแง่นั้น การให้ครอบครัวเลี้ยงปากท้องที่นางกล่าวหมายถึงอวี๋หวั่นที่บีบให้นางต้องกล้ำกลืนความพ่ายแพ้ถึงสองครั้ง
“ดูแล้วบุตรสาวข้าจะถูกคนอื่นรังแก” ประมุขหญิงลูบหัวองค์หญิงน้อยเบาๆ
องค์หญิงน้อยมักไม่ค่อยฟ้องประมุขหญิง อย่างแรกเพราะจะทำให้นางดูเหมือนสตรีใจแคบ อย่างที่สองประมุขหญิงถือเอาสถานการณ์โดยรวมเป็นสำคัญ และจะไม่ลงโทษประชาชนของนางในเรื่องเล็กน้อย ไม่เช่นนั้นผู้คนจะบอกว่านางรักประชาชนเหมือนลูกหลานได้อย่างไรเล่า?
ทว่าวันนี้ประมุขหญิงทรงเอ่ยปากถามองค์หญิงน้อยเอง นางจึงเล่าเรื่องที่เยี่ยนจิ่วเฉาทำเห็ดหลินจือตาย รังแกเห้อเหลียนอวี่กับเห้อเหลียนเฉิง และเรื่องที่อวี๋หวั่นแย่งเห็ดหลินจือแดงกับนางอย่างละเอียด แน่นอนว่าข้ามเรื่องไปหอนางโลมไป กล่าวเพียงมีสองพี่น้องเห้อเหลียนเป็นสะพานเชื่อม เมื่อต่างฝ่ายนัดหมายประลองสัตว์พิษเรียบร้อย ผลคือปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ประมุขหญิงรับรู้เรื่องการประลองสัตว์พิษครั้งนั้นนานแล้ว ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งจงใจยอมแพ้เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ศิษย์พี่อาจารย์เดียวกัน
ทว่าปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งไม่ได้เล่ารายละเอียด ประมุขหญิงก็ไม่ได้ถาม ข้อมูลสำคัญนั้นจึงขาดหายไป หากรู้แต่แรกว่าคุณชายใหญ่ของสกุลเห้อเหลียนมา อย่างไรนางก็ต้องให้คนไปตรวจสอบ ขอเพียงเห็นคนผู้นั้น ใบหน้านั้น นางไม่มีทางปล่อยให้เขาปรากฏตัวต่อหน้าราชบุตรเขยอย่างเด็ดขาด
เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ประมุขหญิงจึงนำภาพวาดของชายคนนั้นมา “ใช่เขาหรือไม่?”
“เป็นเขาละ!” องค์หญิงน้อยกล่าวอย่างโกรธเคือง
เช่นนี้ เขาก็คือคุณชายใหญ่ของสกุลเห้อเหลียนอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
เหตุใดคุณชายใหญ่ของสกุลเห้อเหลียนถึงดูเหมือนกับราชบุตรเขยมากถึงเพียงนี้?
น้องชายของแม่ทัพใหญ่เทพเป่ยหมิงน่าจะอยู่ในวัยสามสิบห้าปี บุตรของเขาไม่มีทางอายุมากกว่ายี่สิบ แม้ใบหน้าของบุรุษผู้นั้นจะอ่อนเยาว์มาก หากบอกว่าอายุสิบเจ็ดก็ยังไม่เกินไป ทว่าอารมณ์ที่สงบนิ่งและเก็บตัว ไม่เหมือนกับนิสัยของเด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม
ประมุขหญิงหลับตาลง
เหมือนราชบุตรเขยเช่นนี้ หรือว่า…เด็กคนนั้น?
ปีนี้เด็กคนนั้นก็คงจะอายุครบยี่สิบสี่แล้ว
ทว่าเขาไม่ได้อยู่ที่ต้าโจวหรอกหรือ?
จะมาอยู่ที่หนานจ้าวได้อย่างไร? แล้วยังมาเป็นคุณชายใหญ่ของสกุลเห้อเหลียนอีก?
“แม่ทัพใหญ่เทพเป่ยหมิงพาเขากลับมาเอง!” องค์หญิงน้อยยู่ปากกล่าว
ม่านนัยน์ตาประมุขหญิงพลันหดลง “เห้อ เหลียน เป่ย หมิง!”
“ท่านแม่ทัพใหญ่! ท่านแม่ทัพใหญ่!” ณ จวนเห้อเหลียน อวี๋กังเข้ามาที่เรือนของเห้อเหลียนเป่ยหมิงด้วยท่าทางรีบร้อน
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกำลังล้อเล่นกับจิ้งจอกหิมะ หันไปมองเมื่อได้ยินเสียงเรียก “มีเรื่องอะไร?”
อวี๋กังกล่าว “ประมุขหญิงเสด็จมาขอรับ!”
…………………………………………