เห้อเหลียนเป่ยหมิงคิดไม่ตกว่าเหตุใดประมุขหญิงจึงมาเยี่ยมเยียนถึงบ้าน ตั้งแต่ร่างกายของเขามีปัญหา ก็ค่อยๆ ห่างจากราชสำนัก ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเขาได้ทูลขอองค์ประมุขหยุดพักยาว ตอนนี้เขาอยู่ระหว่างการพักฟื้นที่บ้าน เรื่องของราชสำนักและค่ายทหารไม่จำเป็นต้องถามเขา ดังนั้นจึงไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทางการ
เรื่องส่วนตัวยิ่งเป็นไปไม่ได้
สกุลเห้อเหลียนไม่เคยติดต่อกับจวนประมุขหญิง จะมีเรื่องส่วนตัวใดที่ควรค่าแก่การเสด็จมาเยี่ยมเยียนด้วยตนเอง?
เห้อเหลียนเป่ยหมิงไปที่โถงบุปผาของจวนตะวันออกเพื่อพบประมุขหญิง
ประมุขหญิงไม่ได้สวมชุดของราชสำนัก ดูแล้วก็เหมือนกับการมาเยี่ยมเยียนธรรมดาๆ นางนั่งในตำแหน่งหลักด้วยท่าทางสง่างาม โดยมีโม่ซังและหญิงรับใช้อีกสองคนยืนขนาบข้าง
พ่อบ้านแห่งจวนตะวันออกนำชาที่ชงสดใหม่มาถวาย ทว่าหาใช่ชาที่ดีที่สุดในจวน ฮูหยินผู้เฒ่าใช้ชาที่ดีที่สุดไปกับการเอาอกเอาใจเหลนตัวน้อย
ประมุขหญิงไม่ได้มาที่นี่เพื่อดื่มชา
อวี๋กังดันเก้าอี้รถเข็นเข้ามายังห้องโถงบุปผา จากนั้นก็ยืนคุ้มกันใต้เท้าของเขาอยู่ด้านหลัง
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเส้นเอ็นขาด สูญเสียวรยุทธ์ องค์ประมุขจึงไม่ให้เขาทำความเคารพต่อผู้ใด
เห้อเหลียนเป่ยหมิงค้อมกายเล็กน้อยไปทางคนที่นั่งอยู่ “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะเสด็จมา ขออภัยที่กระหม่อมมิได้ออกไปต้อนรับ ขอฝ่าบาทโปรดยกโทษ”
ประมุขหญิงยิ้มกว้างพร้อมกับตรัสว่า “แม่ทัพใหญ่มิต้องมาพิธี”
อวี๋กังดันเก้าอี้รถเข็นไปที่ประมุขหญิงนั่งประทับอยู่
สายตาอ่อนโยนของประมุขหญิงจ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลาของเห้อเหลียนเป่ยหมิง นางคลี่ยิ้มและตรัสว่า “ไม่พบแม่ทัพใหญ่เสียนาน ร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง?”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าว “กระหม่อมสบายดี ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วง”
ประมุขหญิงตรัสอีกครั้ง “ไม่ทราบว่าฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอย่างไรบ้าง?”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงตอบ “ท่านแม่สุขภาพแข็งแรง ทุกอย่างล้วนปกติสุขพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นเช่นนี้ข้าก็สบายใจ ครั้งก่อนข้าเห็นฮูหยินผู้เฒ่า นางจำไม่ได้ว่าข้าเป็นใคร” ประมุขหญิงกล่าวพลางก้มหน้าหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะเงยขึ้นมองเห้อเหลียนเป่ยหมิงอีกครั้ง
คำถามที่ดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจ กลับเป็นคำถามว่าแท้จริงแล้วฮูหยินผู้เฒ่ามีสติรู้ตัวหรือไม่
เห้อเหลียนเป่ยหมิงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “ท่านแม่ได้พบฝ่าบาทไม่บ่อยนัก”
“จะว่าอย่างนั้นก็ใช่” ประมุขหญิงถูกปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม
หลังจากทั้งสองทักทายกันครู่หนึ่ง ก็สนทนากันอย่างเรียบง่าย
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเอ่ยตัดเข้าประเด็นหลัก “วันนี้ฝ่าบาทเสด็จมาเยือนถึงจวนเห้อเหลียน ไม่ทราบว่าด้วยเรื่องอันใด องค์ประมุขมีรับสั่งอันใดหรือไม่?”
ประมุขหญิงตรัสตอบ “ไม่ใช่เสด็จพ่อของข้า เป็นข้าที่มาด้วยตนเอง ข้าได้ยินว่าพบญาติของแม่ทัพใหญ่แล้ว เขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเด็กที่ตกจากหน้าผา ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่”
“มีเรื่องเช่นนี้จริง น้องชายข้าโชคร้ายตกจากหน้าผา ไม่เหลือแม้กระทั่งกระดูก แม้หลายคนจะบอกว่าเขาตายไปแล้ว ทว่าท่านแม่กับข้าเชื่อมาตลอดว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่กี่ปีที่ผ่านมาข้าได้ยินข่าวเรื่องที่อยู่ของน้องชาย ฟ้าย่อมเมตตาผู้มีใจ ในที่สุดข้าก็ตามพบ แต่น่าเสียดายที่มาช้าไปหนึ่งก้าว น้องชายและน้องสะใภ้ได้จากไปแล้ว เคราะห์ดีที่ทั้งคู่ได้ทิ้งเลือดเนื้อของพวกเขาไว้ ท่านแม่ดีใจมากที่ได้พบเด็กคนนั้น ราวกับว่าน้องชายกลับมามีชีวิตอีกครั้งจริงๆ”
ยามที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงเล่าเรื่องนี้ สายตาของประมุขหญิงจับจ้องใบหน้าของเขาตลอดเวลา ราวกับต้องการค้นว่าเขามีสิ่งใดซ่อนอยู่หรือไม่
“ทว่า” เห้อเหลียนเป่ยหมิงชะงักไปครู่หนึ่ง “เรื่องนี้ ข้ายังไม่ได้ประกาศต่อสาธารณะ ไม่ทราบว่าฝ่าบาททราบข่าวมาจากที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ผู้ที่กล้าถามประมุขหญิงอย่างเปิดเผยนอกจากราชบุตรเขยแล้ว ก็มีเพียงบุรุษผู้นี้เท่านั้น
ประมุขหญิงคาดไว้แต่แรกแล้วว่าเขาจะถามคำถามนี้ จึงไม่ได้ปิดบังและกล่าวไปตามความจริง “ข้าได้ยินมาจากซีเอ๋อร์ ดูเหมือนว่าระหว่างซีเอ๋อร์กับคุณชายใหญ่และภรรยาคุณชายใหญ่ที่เพิ่งกลับมาจะมีความเข้าใจผิดกัน เป็นเพียงเรื่องซุกซนของเด็กๆ เท่านั้น แม่ทัพใหญ่อย่าได้ใส่ใจ”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าวด้วยท่าทางปวดหัว “เป็นอวี่เอ๋อร์กับเฉิงเอ๋อร์กระมัง? เด็กสองคนนี้ ข้าเตือนพวกเขาว่าอย่าไปรบกวนองค์หญิงน้อย พวกเขาก็ไม่ฟัง ทำให้องค์หญิงน้อยเดือดร้อนแล้ว ข้าขออภัยฝ่าบาทและองค์หญิงน้อยแทนพวกเขาด้วย”
ประมุขหญิงยิ้มอย่างสุภาพ “เรื่องนี้เริ่มมาได้อย่างไรนะ? เรื่องบ้านเมืองก็คือเรื่องบ้านเมือง เรื่องเด็กๆ ก็เป็นเรื่องเด็กๆ พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน รักใคร่กลมเกลียวมากกว่าธรรมดา ท่านอย่าได้ตำหนิพวกเขาเลย”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “กระหม่อมรับพระบัญชา”
เห้อเหลียนอวี่และเห้อเหลียนเฉิงไม่ใช่บุตรชายคนโตของสกุลเห้อเหลียน พวกเขาไม่อาจเป็นผู้สืบทอดสกุล ทั้งคำพูดและการกระทำของพวกเขาก็ไม่อาจแสดงจุดยืนทั้งหมดของสกุลเห้อเหลียนได้ ดังนั้นการตีตัวออกห่างจากจวนประมุขหญิงจะเป็นการดีที่สุด แต่หากช่วยไม่ได้ การรู้จักกันเล็กน้อยก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ทว่าหากเปลี่ยนเป็นบุตรชายคนโตจากเรือนหลักไปข้องแวะกับองค์หญิงน้อยอยู่ไม่ขาด เกรงว่าจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ประมุขหญิงแย้มยิ้ม ตรัสต่อราวกับไม่ได้ครุ่นคิดในคำพูด “วันนี้เด็กๆ อยู่บ้านหรือไม่? ข้ายังไม่เคยเห็นเขาเลย”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงถอนหายใจและกล่าวว่า “ช่างไม่บังเอิญเสียจริง เฉาเอ๋อร์เขาออกไปข้างนอกแล้ว เด็กหนุ่มอยู่ในจวนตลอดทั้งวันคงจะเบื่อยิ่งนัก ข้าจึงให้องครักษ์พาเขาออกไปเที่ยวเล่นแล้ว”
“อา” ประมุขหญิงพยักหน้าด้วยความเข้าใจ ตรัสต่ออย่างยิ้มแย้ม “อันที่จริงก็ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร ซีเอ่อร์ถูกข้าเลี้ยงดูจนเสียนิสัย วาจาและการกระทำของนางไร้เดียงสา ข้าไม่อยากให้เกิดข่าวลือไปว่าซีเอ๋อร์รังแกหลานชายคนโตของสกุลเห้อเหลียน”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “กระหม่อมยืนยันกับฝ่าบาทว่าเรื่องเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้น”
ประมุขหญิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากท่านกล่าวเช่นนี้ข้าก็โล่งใจ ซีเอ๋อร์อายุสิบเจ็ดแล้ว ใกล้ถึงคราวออกเรือน ชื่อเสียงของนางก็ไม่ดีนัก ข้าละปวดหัวยิ่งนัก”
“กระหม่อมเข้าใจ” เห้อเหลียนเป่ยหมิงค้อมกาย
ประมุขหญิงกล่าวอย่างอ่อนโยน “เริ่มเย็นแล้ว ข้าต้องขอตัวกลับก่อน นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากข้า มอบให้ฮูหยินผู้เฒ่าและบุตรสองคน” ประมุขหญิงยกมือขึ้นชี้ไปที่กล่องผ้าสองสามกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะ
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าว “ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
ประมุขหญิงลุกขึ้นกล่าวอำลา
เห้อเหลียนเป่ยหมิงส่งนางออกจากโถงบุปผา ประมุขหญิงขอให้เขาหยุดส่งตรงนี้ และจากไปพร้อมกับองครักษ์และหญิงรับใช้
หญิงรับใช้ทั้งสองเดินตามหลังสายตาแน่วแน่ โม่ซังเดินตามมาและกระซิบกับประมุขหญิง “ฝ่าบาท คุณชายผู้นั้นเป็นคนของสกุลเห้อเหลียนจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ประมุขหญิงถามกลับ “ในสายตาเจ้าเห้อเหลียนเป่ยหมิงเป็นคนเช่นไร?”
โม่ซังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ภักดีต่อชาติ ซื่อสัตย์ทรงคุณธรรม เป็นขุนนางที่พิถีพิถันหาใดเปรียบ”
ประมุขหญิงยิ้มอย่างแผ่วเบา “แต่ก็เป็นบุตรกตัญญูที่หาได้ยากยิ่งเช่นกัน”
โม่ซังผงะ “ฝ่าบาทหมายถึง…”
ประมุขหญิงตรัส “ข้าจำได้ว่าปีหนึ่งฮูหยินผู้เฒ่าอยากกินลิ้นจี่จากอำเภอจวิ้น ทว่าปีนั้นสะพานสู่อำเภอจวิ้นได้พังลง ถนนผ่านไปไม่ได้ กลุ่มคาราวานพ่อค้าก็ยังไม่เต็มใจจะไปที่นั่น เห้อเหลียนเป่ยหมิงขอทูลลากับองค์ประมุข เดินทางไปซื้อลิ้นจี่จากอำเภอจวิ้นกลับมาด้วยตัวเอง ทว่าลิ้นจี่ที่ซื้อมาฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่กิน หลังจากนั้นไม่กี่วัน ฮูหยินผู้เฒ่าก็เริ่มพูดถึงลิ้นจี่จากอำเภอจวิ้นอีกครั้ง เขารู้ดีว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะลืมเรื่องที่นางพูดไปในไม่กี่วัน แต่เขาก็ยังตัดสินใจไปอย่างเด็ดเดี่ยว เขาเป็นคนเช่นนี้ เพื่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าพึงพอใจแล้วเขาทำได้ทุกอย่าง”
“ฝ่าบาทกำลังจะบอกว่า เด็กคนนั้นไม่ใช่ตัวจริง เป็นเพียงคนที่เขาหามาจากข้างนอกเพื่อสนองความต้องการของฮูหยินผู้เฒ่าหรือ?”
“เมื่อกล่าวถึงเด็กคนนั้น เขาระมัดระวังตัวมาก และถึงกับไม่ยอมให้ข้าได้เห็นเขาด้วย ดังนั้นข้าจึงไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย ทว่า…” ประมุขหญิงไม่ตรัสสิ่งใดต่อหลังจากนั้น
หากเด็กคนนั้นไม่ใช่บุตรแท้ๆ เช่นนั้นคนที่หน้าตาเหมือนก็เหลือเพียงซื่อจื่อแห่งต้าโจว ประมุขหญิงรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะซื่อจื่อผู้นั้นเป็นฆาตกรที่สังหารเห้อเหลียนฉี หากเห้อเหลียนเป่ยหมิงต้องการเอาใจฮูหยินผู้เฒ่า ก็คงไม่ถึงกับพาฆาตกรที่ฆ่าญาติเข้าบ้านตัวเอง
“อื้อ…อื้อ…อื้อ…”
ระหว่างที่ทั้งสองสนทนากัน จู่ๆ เสียงเด็กที่พยายามออกแรงก็ดังขึ้นมาจากที่ที่ไม่ไกลนัก ทั้งสองเดินไปรอบๆ และเห็นเด็กคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะคลานออกมาจากกองหญ้า เดินไปทางโถงบุปผาพลางใช้มือเล็กอวบอ้วนจับเศษหญ้าบนหัวอย่างงุ่มง่าม
เขาอายุราวๆ สองสามขวบ ตัวอวบอ้วน เหมือนไข่ดำ ท่าทางดูน่ารักยิ่ง
เศษหญ้าบนหัวทำให้เขาไม่สบายตัวและก็ยังจับมันออกไม่ได้
เห้อเหลียนเป่ยหมิงผลักรถเข็นออกมา
เด็กคนนั้นเดินมาหาเขาและยื่นหัวน้อยๆ ให้เขา
เห้อเหลียนเป่ยหมิงหยิบเศษหญ้าออกจากหัวอย่างระมัดระวัง “น้องๆ รังแกต้าเป่าอีกแล้วหรือ?”
ทั้งสามกำลังเล่นซ่อนหา แต่ต้าเป่าถูกน้องชายทั้งสองหลอกให้เข้าไปในกองหญ้า
ต้าเป่าคันและไม่สบายตัว
เห้อเหลียนเป่ยหมิงถอดเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยเศษหญ้าออก เหลือเพียงพุงน้อยๆ ที่เย็นเฉียบ เขาคลานขึ้นบนตักของเห้อเหลียนเป่ยหมิงด้วยก้นเปลือยเปล่า และเข้าไปนั่งในอ้อมแขนของเขา สองมือจับหัว
“อย่าจับ เดี๋ยวจะเจ็บ ปู่จะเป่าให้นะ” เห้อเหลียนเป่ยหมิงจับมืออวบอ้วนน้อยๆ ของเขาออกแล้วเป่าหัวของเขาเบาๆ
เห้อเหลียนเป่ยหมิงในรูปแบบนี้ ประมุขหญิงไม่เคยเห็นมาก่อน
เขาดูอ่อนโยนราวกับว่าไม่ใช่เขาอีกต่อไป
เขาเรียกตัวเองว่าปู่ เช่นนั้น…ไข่ดำใบน้อยนั่นก็คือหลานของเขาหรือ?
ต้าเป่าที่ยังคันอยู่ นำหัวไปถูกับแขนของเห้อเหลียนเป่ยหมิง จนเสื้อผ้าของเขาเลอะเทอะไปหมด มือน้อยๆ จับใบหน้าของเห้อเหลียนเป่ยหมิงอย่างสุดทน จนใบหน้าเป็นรอย
เห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่สนใจว่าตนเองจะเสียโฉมแต่อย่างใด กลับเอ่ยอย่างนุ่มนวล “หากต้าเป่าไม่อึดอัด ปู่จะพาต้าเป่าไปอาบน้ำนะ?”
ต้าเป่าพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ปู่และหลานทั้งสองจึงกลับไปที่เรือนสวนอู๋ถง
ประมุขหญิงมองไปยังทิศที่ทั้งสองจากไปอยู่เนิ่นนาน ก็ยังไม่ได้สติกลับมา
“ฝ่าบาท พระองค์คิดสิ่งใดอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ?” โม่ซังขัดความคิดของนาง
“เหมือนเกินไปแล้ว” ประมุขหญิงพึมพำ
“เหมือน?” โม่ซังไม่ได้สนใจไข่ดำมากนัก เขาสนใจสังเกตเพียงเห้อเหลียนเป่ยหมิง
ประมุขหญิงตรัสอย่างเลื่อนลอย “ช่างเหมือนกับเด็กในตอนนั้นเกินไปแล้ว”
เพียงแค่อ้วนขึ้นและดำขึ้นเล็กน้อย
โม่ซังไม่เข้าใจ
ดวงตาของประมุขหญิงกระตุกวูบ “เจ้าจงส่งคนไปที่ต้าโจวและตรวจสอบคนคนหนึ่งให้ข้า”
“ผู้ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?” โม่ซังถาม
ประมุขหญิงตอบ “ซื่อจื่อแห่งเมืองเยี่ยน”
ตราบใดที่พบว่าเขาไม่ได้อยู่ในต้าโจวแล้ว เช่นนั้น ‘คุณชายใหญ่’ ที่มาแสดงตัวเป็นญาติผู้นี้ก็คงเป็นเขา
โม่ซังส่งฝาแฝดคู่หนึ่ง หนึ่งในนั้นเป็นหน่วยกล้าตาย ส่วนอีกคนเป็นหน่วยสอดแนม พวกเขาร่วมมือกันอย่างลงตัวเช่นเดียวกับอิ่งสือซันและอิ่งลิ่ว ทว่าสิ่งที่แตกต่างคือทั้งสองได้รับการฝึกฝนเข้มข้น พี่ชายเป็นหน่วยกล้าตายทองคำ น้องชายเป็นหน่วยสอดแนมที่ดีที่สุด ยามที่ทั้งสองลงมือ ไม่เคยมีครั้งใดที่ทำภารกิจไม่สำเร็จ
หลังจากทั้งสองรับคำสั่ง พวกเขาก็รีบมุ่งหน้าไปที่ชายแดนอย่างไม่หยุดยั้ง ในคืนมืดลมหวน พวกเขาได้เดินทางออกจากซีเฉิง และมาถึงเมืองชิงเหอซึ่งมีพรมแดนติดกับต้าโจว
โรงเตี๊ยมเยว่ไหลเป็นโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองชิงเหอ และเป็นโรงเตี๊ยมมืดที่มืดที่สุด ทว่าหลังจากถูกปล้นถึงสองครั้ง โรงเตี๊ยมก็ถูกปิดเป็นเวลานาน จนกระทั่งเปิดอีกครั้งในวันนี้
จากบทเรียนที่แสนเจ็บปวดในอดีตของพวกเขา ทำให้พวกเขาตัดสินใจเปลี่ยนความคิดและประพฤติตัวใหม่
ในตอนเย็น แขกกลุ่มแรกได้เดินทางมาถึงโรงเตี๊ยม พวกเขาเป็นพี่น้องฝาแฝดที่ดูเย็นชาและมีกลิ่นอายความแข็งแกร่ง
เจ้าของร้านรู้สึกหวั่นแกรงในใจ พลันถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ “แขกทั้งสอง ไม่ทราบว่าท่านต้องการมาพักหรือว่าทานอาหารขอรับ?”
“มาพัก” น้องชายตบเงินตำลึงจีนลงบนโต๊ะ “ห้องชั้นบนหนึ่งห้อง”
โอ้ กลับตัวกลับใจก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องปล้นก็ได้เงินมากมายเพียงนี้!
น้องชายหยิบเงินตำลึงจีนอีกอันออกมา “ให้อาหารม้าด้วย”
เจ้าของร้านดวงตาเป็นประกายสีเขียว พลันพยักหน้าเหมือนโขลกกระเทียม “ให้ๆๆ! ให้แน่นอน!”
เจ้าของร้านหยิบเงินตำลึงใส่ในแขนเสื้อ จากนั้นจึงเรียกคนนำพวกเขาไปที่ห้องหมายเลขหนึ่ง และไปให้อาหารม้าเหงื่อโลหิตของคนทั้งสองที่คอกม้าด้วยตนเอง
เจ้าของร้านไม่เคยเห็นม้าที่ดีแบบนี้มาก่อนในชีวิต เขาแทบอยากจะทำร้านมืดอีกครั้ง แต่เมื่อนึกถึงแววตาสังหารของสองพี่น้องฝาแฝด ความกล้าก็ถูกกดให้มอดลงอีกครั้ง
โรงเตี๊ยมแห่งนี้ปิดมานานขนาดนั้น เดิมที่คิดว่าธุรกิจจะซบเซายิ่งนัก ไหนเลยจะรู้ว่าไม่นานก็มีลูกค้ารายอื่นเข้ามาอีก
คราวนี้เป็นรถม้าคันหนึ่ง คนที่ขับรถม้าเป็นบุรุษรูปร่างกำยำ อายุราวๆ สามสิบ ร่างกายสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา ประสาทสัมผัสทั้งห้าแข็งแรง กลิ่นอายไม่เหมือนคนทั่วไป
เป็นแขกสูงศักดิ์อีกแล้ว…เจ้าของร้านสูดน้ำลาย รีบเดินไปต้อนรับ “แขกผู้มีเกียรติโปรดเชิญด้านในขอรับ! ที่นี่มีห้องพักสุราอาหารเพียบพร้อม ล้วนดีที่สุดในเมือง!”
บุรุษผู้นั้นกล่าวว่า “ภรรยาของข้าชอบที่สงบ ขอถามหน่อยว่ามีห้องที่สะอาดสักหน่อยหรือไม่?”
เจ้าของร้านตบหน้าอกกล่าวอย่างหนักแน่น “มี มี! ที่นี่สะอาดที่สุด! รับรองได้ว่ากลางคืนท่านจะไม่ได้ยินเสียงแม้เสียงนกร้อง”
เจ้าของร้านกลอกตา อะไรกัน? บุรุษหาญต้องถามความเห็นของสตรีด้วยรึ?
บุรุษผู้นั้นเปิดม่านขับรถ
เมื่อเจ้าของร้านมองเข้าไปก็เห็นรองเท้าผ้าปักลายดอกประดับมุกคู่หนึ่ง
บุรุษผู้นั้นกล่าวอย่างอ่อนโยน “อาซู คืนนี้พักที่โรงเตี๊ยมนี้ดีหรือไม่?”
“ได้สิ” เจ้าของรองเท้าปักพยักหน้าเอ่ยเสียงแผ่วเบา ก้าวออกจากรถด้วยท่าทางอ่อนแอโดยได้รับการช่วยเหลือจากบุรุษผู้นั้น
…………………………………………