สิบวันผ่านไปนับตั้งแต่เจียงไห่และพวกชิงเหยียนสามคนแอบเข้าไปในวิหารราชครู ระหว่างนี้ไม่เคยได้ข่าวอะไรจากพวกเขา อาม่ากับเยี่ยนจิ่วเฉายังคงสงบ ทว่าอวี๋หวั่นไม่อาจนั่งนิ่งได้อีกต่อไป เธอกำลังคิดว่าควรจะหาโอกาสลอบเข้าไปดูในวิหารราชครูสักครั้งดีหรือไม่ แต่ความคิดของเธอก็ถูกขัดด้วยเสียงเตะที่ดังขึ้นในเรือน
เธอเดินออกจากห้อง เห็นหงหลิงหญิงรับใช้คนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่ากำลังสั่งให้คนรับใช้สองสามคนแบกของ ซึ่งทั้งหมดเป็นกล่องไม้ปิดผนึกขนาดใหญ่ ราวกับว่าจะมีใครบางคนย้ายเข้ามา อวี๋หวั่นเรียกหงหลิง “ของพวกนี้คืออะไรหรือ?”
ความคิดแรกของอวี๋หวั่นคือลุงใหญ่คงซื้อเสื้อผ้าให้เธอ เยี่ยนจิ่วเฉาและบุตรสามคนอีกแล้วกระมัง? เสื้อผ้าของสาวปักผ้าถูกส่งมาที่จวนตลอดทั้งวัน จนพวกเขาไม่อาจใส่ได้ครบในสองสามเดือน
หงหลิงยิ้มและกล่าวว่า “เป็นของขวัญจากคุณหนูที่ออกเรือนไปกับเขยที่ส่งมาจากฝู่เฉิงเจ้าค่ะ”
คุณหนู? จริงสิ ฮูหยินผู้เฒ่ามีบุตรสาวหนึ่งคน นางแต่งงานไปอยู่ที่ฝู่เฉิง ฝู่เฉิงเป็นเมืองบ้านเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า ส่วนเขยก็เป็นบุตรลูกพี่ลูกน้องฝั่งมารดาของฮูหยินผู้เฒ่า การแต่งงานครั้งนี้เป็นญาติด้วยกันเอง แต่เพราะอยู่ห่างไกล จึงไม่ได้กลับไปบ้านเกิดบ่อยนัก
“คุณหนูส่งของขวัญอะไรมาหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
หงหลิงกล่าวว่า “ใกล้ถึงวันเกิดของแม่ทัพใหญ่แล้ว คุณหนูกับเขยมักจะส่งของขวัญมาให้ในช่วงเวลานี้ของทุกปี”
ที่แท้ก็วันเกิดของลุงใหญ่ ไม่เคยได้ยินลุงใหญ่เอ่ยถึงเลยสักครั้ง
แต่อวี๋หวั่นก็ไม่ได้แปลกใจ ความจริงเห้อเหลียนเป่ยหมิงเองก็ลืมไปแล้ว ระยะนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจมอยู่กับความสุขที่ได้พบกับเหลนชายตัวน้อย จนทิ้งบุตรชายคนนี้ไว้เบื้องหลัง เมื่อพวกเขายังเงียบกริบ อวี๋หวั่นก็ยิ่งไม่มีทางรู้
แต่ในเมื่อตอนนี้เธอรู้แล้ว อวี๋หวั่นจึงตัดสินใจเฉลิมฉลองวันเกิดให้กับลุงใหญ่
ในหมู่บ้านเหลียนฮวา หากไม่ใช่อายุครบสิบปีก็ไม่เฉลิมฉลอง บุรุษฉลองคำอวยพร สตรีฉลองสิ่งของใช้สอย สามสิบ สี่สิบ ห้าสิบ ครบอายุเหล่านี้ถึงจะจัดงานเฉลิมฉลองสักครั้ง ส่วนครอบครัวใหญ่ให้ความสำคัญกับวันเกิดทุกปี แต่ก็แบ่งใหญ่เล็กเช่นกัน ครบสิบปีเรียกว่างานวันเกิดใหญ่ ในเวลานั้นจะเชิญแขกมากมาย คุณหนูกับเขยอาจจะกลับมาที่บ้าน ปีนี้เป็นงานวันเกิดเล็ก คุณหนูกับเขยจึงเพียงให้คนส่งของขวัญมาเท่านั้น
แน่นอน ไม่เพียงแต่เป็นของขวัญ ยังเป็นสิ่งของสำหรับฮูหยินผู้เฒ่าด้วย
ของที่หงหลิงให้คนย้ายเข้าไปในเรือนคืออย่างหลัง
ส่วนของขวัญวันเกิดยังคงวางอยู่นอกประตู อวี๋หวั่นกล่าวว่า “ข้าจะเอาไปให้ลุงใหญ่เอง”
หงหลิงกล่าว “ลำบากนายหญิงแล้ว”
เมื่ออวี๋หวั่นพาคนรับใช้ของเธอนำของขวัญจากฝู่เฉิงไปส่งที่เรือนของเห้อเหลียนเป่ยหมิง เรือนตะวันตกก็ส่งของขวัญมาล่วงหน้าเช่นกัน
“นายท่านรองใหญ่บอกว่าในจวนจัดโต๊ะกินเลี้ยงเฉลิมฉลอง ให้คนในครอบครัวได้สนุกสนานรื่นเริง” ผู้ดูแลบ้านของจวนตะวันตกกล่าว
“เข้าใจแล้ว ทำตามอารองบอกเถิด” เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าว
ไม่ช้าผู้ดูแลของจวนตะวันตกก็ออกมาและพบกับอวี๋หวั่นโดยไม่คาดคิด เขาคำนับมือให้กับอวี๋หวั่น “คุณหนูใหญ่”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “พ่อบ้านสวี่”
“…ข้าน้อยแซ่เฉียน” ผู้ดูแลจวนตะวันตกกล่าว
อวี๋หวั่น “…” ลืมไปเลย พ่อบ้านสวี่เป็นของจวนตะวันออก
อวี๋หวั่นอายที่จะบอกว่าเธอแอบฟังการสนทนาระหว่างเขากับเห้อเหลียนเป่ยหมิง เธอจึงถามว่า “วันเกิดของลุงใหญ่ใกล้ถึงแล้ว ข้ากำลังคิดอยู่พอดีว่าควรจะจัดโต๊ะเลี้ยงฉลองดีหรือไม่…”
ผู้ดูแลจวนตะวันตกยิ้มและกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่ไม่ต้องกังวล นายท่านรองใหญ่ของเราได้ตระเตรียมไว้แล้ว งานละครก็เชิญเรียบร้อยแล้ว ถึงยามนั้นเชิญฮูหยินผู้เฒ่าและแม่ทัพใหญ่ อีกทั้งคุณหนูใหญ่กับคุณชายใหญ่ รวมถึงคุณชายน้อยมาร่วมสนุกด้วยกัน”
เมื่อเห็นท่าทีของอวี๋หวั่นที่ดูประหลาดใจเล็กน้อย ผู้ดูแลจวนตะวันตกก็กล่าวเสริม “ปีก่อนก็จัดเช่นนี้ นายท่านใหญ่จากไปเร็ว วันเกิดของแม่ทัพใหญ่จึงถูกดูแลโดยนายท่านรองใหญ่”
อวี๋หวั่นอมยิ้ม “ปู่รองรักลุงใหญ่ของข้ายิ่งนัก”
ผู้ดูแลจวนตะวันตกกล่าว “จะไม่ใช่ได้อย่างไร? นายท่านรองใหญ่ดีกับแม่ทัพใหญ่เสียยิ่งกว่าลูกชายของท่านเองเสียอีก!”
เหอะๆ หากดีกว่าบุตรชายของตัวเองจริง จะไม่ชอบเธอกับเยี่ยนจิ่วเฉาแบบนี้หรือ? เธอมักจะรู้สึกว่าในดวงตาของนายท่านรองใหญ่ดำมืดยิ่งนัก ดูไม่เหมือนสิ่งที่ดี!
ในพริบตา วันเกิดของเห้อเหลียนเป่ยหมิงก็มาถึง ทั้งครอบครัวไปที่ศาลาจิ่วโจวแห่งเรือนตะวันตก ยกเว้นนางหลี่ที่นอนป่วยอยู่บนเตียงและไม่สามารถนั่งได้ นายท่านรองใหญ่ เห้อเหลียนอวี่และเห้อเหลียนเฉิง สองพี่น้องมาถึงแล้ว
สองพี่น้องทำหน้าร้ายใส่เยี่ยนจิ่วเฉากับอวี๋หวั่น ส่วนเยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่นกลับเหนื่อยหน่ายที่จะใส่ใจพวกเขา
งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นในสวน เด็กหัวโล้นทั้งสามไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ได้ พวกเขาวิ่งไปมาในสวนตลอดเวลา ฮูหยินผู้เฒ่าก็หลงใหลในการขับร้องบนเวที
นายท่านรองใหญ่ยกถ้วยขึ้น “หมิงเอ๋อร์ ลำบากเจ้าแล้ว มา อารองยกจอกให้เจ้า”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงรีบหยิบถ้วยขึ้นมา “ขอบคุณท่านอา”
นายท่านรองใหญ่ปรายตามองเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งไม่อาจกินปูขนสักตัวได้ลง เขาพลันยิ้มเล็กน้อย “หาเฉาเอ๋อร์พบในชั่วชีวิตที่เหลืออยู่ นับว่าจบภาระในใจไปเรื่องหนึ่ง วันหน้าข้าจะได้อธิบายให้พี่ใหญ่ฟังในยมโลกได้แล้ว”
“ท่านอารองต้องอายุยืนร้อยปี” เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าว
นายท่านรองใหญ่ถอนหายใจ “ข้าแก่แล้ว ไม่มีประโยชน์อะไร หวังว่าเด็กๆ จะสามารถดูแลสกุลเห้อเหลียนได้ อันที่จริงในเด็กเหล่านั้น คนที่ข้าให้ความสำคัญที่สุดก็คือ…”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ นายท่านรองใหญ่ก็หยุดกะทันหัน และบทสนทนาก็เปลี่ยนไป “ข้าดื่มมากไปแล้ว หมิงเอ๋อร์อย่าได้ถือสา”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?” เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าวพร้อมกับดื่มเหล้าในถ้วย แววตาค่อยๆ ซับซ้อนขึ้น
คณะแสดงเสียงดังเกินไป อวี๋หวั่นจึงไม่ได้ยินสิ่งที่ทั้งสองพูด จนกระทั่งถึงงานเลี้ยงใกล้เลิกรา เธอถึงตระหนักได้ว่าท่าทีของลุงใหญ่ไม่ปกติ
อวี๋หวั่นดึงมือเยี่ยนจิ่วเฉาแล้วกระซิบว่า “เกิดอะไรขึ้นกับลุงใหญ่?”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวตรงๆ “คิดถึงลูกชาย”
“จู่ๆ จะคิดถึงเห้อเหลียนเซิงขึ้นมาได้อย่างไร?” มิได้บอกว่าเห้อเหลียนเซิงเป็นบุตรของนางถานกับบุรุษชู้ที่นอกใจหรอกหรือ? หาใช่บุตรแท้ๆ ของเห้อเหลียนเป่ยหมิง แล้วเช่นนั้นเขาคิดอะไร? เขาไม่ได้รู้สึกว่าถูกหักหลังและรังเกียจเด็กคนนี้หรือ? หรือจะบอกว่า…เลี้ยงดูมาหลายปี จนรู้สึกผูกพัน?
อวี๋หวั่นนึกถึงเหตุการณ์หลายครั้งที่เธอเข้าไปยังห้องตำรา ก็จะพบว่าเห้อเหลียนเป่ยหมิงกำลังเหม่อลอยกับภาพวาดของเห้อเหลียนเซิง ก็ยิ่งทำให้เธอมั่นใจมากขึ้นไปอีกว่าเห้อเหลียนเป่ยหมิงรักเด็กคนนี้จริงๆ
น่าเสียดายที่เขาถูกขับออกจากบ้านและไม่มีวันกลับมาได้
หากเป็นคนอื่นขับไล่เขาออกจากบ้าน บางทีเห้อเหลียนเป่ยหมิงก็ยังพอหาหนทางได้ แต่เมื่อเป็นฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว…นางเป็นคนเดียวในโลกนี้ที่เขาไม่อาจอกตัญญู
คืนนี้ เห้อเหลียนเป่ยหมิงไปพักผ่อนแต่หัวค่ำ
เด็กหัวโล้นสามคนนอนไม่หลับ พวกเขาจึงวิ่งไปเอะอะโวยวายที่เรือนของเขา และออกมาอีกครั้งอย่างหงอยเหงา
วันรุ่งขึ้น ครอบครัวกำลังนั่งทานอาหารเช้าด้วยกัน ไม่รู้ว่าเพราะพวกเขารู้สึกว่าท่านปู่ดูไม่ค่อยมีอารมณ์หรือไม่ เด็กชายตัวน้อยจึงเดินไปข้างกายเขาพร้อมกับยื่นชามให้
“ท่านปู่ ป้อน!” เสี่ยวเป่ากล่าว
เห้อเหลียนเป่ยหมิงหยิบช้อนขึ้นมาอย่างฝืนยิ้มและตั้งใจป้อนเสี่ยวเป่าสุดหัวใจ
เสี่ยวเป่าอ้าปากรับ เคี้ยวอาหารหมุบหมับ
“เอ้อร์เป่าเอาด้วย!” เอ้อร์เป่าอ้าปากกว้าง
เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็ป้อนเขาเช่นกัน
หลังจากเด็กๆ มาขัดจังหวะเช่นนี้ เงาดำระหว่างคิ้วของเห้อเหลียนเป่ยหมิงก็หายไปในที่สุด
หลังจากทานอาหารแล้วเห้อเหลียนเป่ยหมิงก็กลับไปที่เรือน ทันใดนั้นนกพิราบก็ร่อนลงบนขอบหน้าต่าง
เห้อเหลียนเป่ยหมิงหยิบจดหมายจากขาของนกพิราบมาเปิดอ่าน ท่าทีของเขาดูตื่นเต้น
“อวี๋กัง เตรียมรถ!”
“หือ?”
อวี๋กังซึ่งกำลังล้างพู่กันแปรงอยู่ด้านนอกถึงกับผงะ
“ข้าบอกให้เจ้าไปเตรียมรถ!” เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าว
“…โอ้” อวี๋กังวางพู่กันแปรงที่ล้างได้ครึ่งหนึ่งลง และเช็ดมือก่อนจะเดินไปที่คอกม้าเพื่อเตรียมรถ
“เปลี่ยนเป็นคันเล็กกว่านี้” เห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่ชอบรถม้าหรูหราเกินไป
อวี๋กังขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ทุกครั้งที่เดินทางมิใช่ว่าท่านคุ้นชินกับความเอิกเกริกหรือ? ท่านกล่าวเองว่า แม้ท่านจะเป็นอัมพาต แต่ท่านก็ยังคงเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งหนานจ้าว ไม่ว่าไปที่ใดก็ต้องไปอย่างเอิกเกริกเยี่ยงแม่ทัพใหญ่เทพ
อวี๋กังเพียงแค่พึมพำในใจแต่ไม่กล้าถาม เขาเปลี่ยนเป็นรถม้าของข้ารับใช้ “คันนี้คงใช้ได้แล้วกระมัง?”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงพยักหน้า
อวี๋กังผลักเก้าอี้รถเข็นเข้าไปในรถม้า แล้วถามเห้อเหลียนเป่ยหมิง “ท่านแม่ทัพใหญ่ เราจะไปที่ใด?”
“เขาจิ่วเหว่ย”
“ไปไกลถึงเพียงนั้น?”
เขาจิ่วเหว่ยเป็นเนินเขานอกเมืองหลวง ระยะทางที่แท้จริงนั้นไม่ไกลนัก แต่ถนนขรุขระไม่ราบเรียบ ทั้งยังต้องเดินทางอ้อม ไปถึงที่ใดเกรงว่าจะมืดเสียแล้ว
ทว่านายของเขาจะไป อวี๋กังก็ไม่อาจขัด เขาพาหน่วยกล้าตายสองคนไปกับเขาด้วย และรีบมุ่งหน้าไปยังเขาจิ่วเหว่ยโดยไม่หยุดพัก
เขาจิ่วเหว่ยมีศาลาแห่งหนึ่งอยู่ที่เชิงเขา รอบศาลาคลุมด้วยม่านไผ่ม้วน ภายในม่านมีแสงไฟสว่างลอดออกมา ดูเหมือนว่ามีใครบางคนรออยู่นานแล้ว
“พวกเจ้าไม่ต้องมา” เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าว
“ขอรับ” หลายคนเฝ้าอยู่ห่างๆ ด้วยความเคารพ
เห้อเหลียนเป่ยหมิงดันรถเข็น เปิดม่านม้วนและเข้าไปในศาลา
กลางศาลา ภิกษุรูปหนึ่งในชุดสีน้ำเงินเข้ม สวมหมวกสาน ยืนอยู่ในท่ามือไพล่หลัง
ร่างกายเห้อเหลียนเป่ยหมิงสั่นเล็กน้อย “เซิงเอ๋อร์…”
ภิกษุในชุดสีน้ำเงินเข้มไม่หันมา และไม่สนใจเขา เงาหลังนั้นโดดเดี่ยว
เห้อเหลียนเป่ยหมิงผลักเก้าอี้รถเข็นไปอยู่ข้างกายเขา
นาทีนี้ ภิกษุในชุดสีน้ำเงินเข้มก็หันมามองเขาในที่สุด มันคือใบหน้าในความทรงจำของเขา หน้าอกของเห้อเหลียนเป่ยหมิงรู้สึกคัดแน่น เขาเอื้อมมือที่สั่นเทาออกไป
วินาทีต่อมา สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
ภิกษุรูปนั้นดึงกริชออกมาจากแขนเสื้อ แทงเข้าไปที่หัวใจของเห้อเหลียนเป่ยหมิง!
…………………………………………