อวี๋เซ่าชิงผู้ซึ่งอยู่ๆ ก็กลายมาเป็น ‘พ่อบังเกิดเกล้า’ ของเจ้าลูกเขยตัวเหม็นเสียอย่างนั้น
ความขุ่นเคืองร้อยแปดชนิดแล่นปราดเข้ามาในหัวใจของอวี๋เซ่าชิง แต่สุดท้ายเขาก็ระงับมันเอาไว้ได้ เขาสูดหายใจเข้าลึก แล้วพูดกับเยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่นว่า “เล่ามาก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น? เหตุใดพวกเจ้ามาหนานจ้าว และไปอยู่กับคนครอบครัวอาเว่ยได้อย่างไร? ทั้งยังไปเป็นคุณชายใหญ่และฮูหยินบ้านสกุลเห้อเหลียนอีก?”
อวี๋หวั่นมองไปยังสามีของตนผู้ซึ่งจะระเบิดอารมณ์ออกมาเมื่อไรก็ได้ เธอคว้ามือของเขาซึ่งอยู่ใต้โต๊ะ มองไปยังอวี๋เซ่าชิงและนางเจียง “ข้าเล่าเองก็แล้วกัน พวกข้าออกมาจากต้าโจวพร้อมกับพวกอาเว่ย เยี่ยนจิ่วเฉาถูกพิษไป๋หลี่เซียง ต้องการตัวยาสี่ชนิด ตัวยาทั้งสี่ชนิดนี้หาไม่ได้ในต้าโจว พวกข้าเลยเดินทางมาหนานจ้าว”
“ไป๋หลี่เซียงคืออะไร?” อวี๋เซ่าชิงไม่เคยได้ยินชื่อยาพิษชนิดนี้มาก่อน “เขาไม่ได้โดนคำสาปหรอกหรือ? ถอนคำสาปไปแล้วนี่”
อวี๋หวั่นตอบว่า “คำสาปก็ส่วนคำสาป ไป๋หลี่เซียงก็คือไป๋หลี่เซียง ในตอนที่ระงับคำสาป พวกเราไม่รู้ว่ามีพิษไป๋หลี่เซียงด้วย จนกระทั่งถอนคำสาปแล้ว พิษของไป๋หลี่เซียงจึงเริ่มปรากฏ พิษชนิดนี้ถอนพิษได้ยาก และด้วยเหตุผลนี้ พวกข้าไม่อาจกระโตกกระตาก ดังนั้นจึงถือโอกาสประกาศว่าเยี่ยนจิ่วเฉาเดินทางกลับเมืองเยี่ยน ลอบเข้ามายังเมืองหลวง ส่วนเรื่องทำไมถึงเดินทางมาพร้อมกับอาม่า นั่นก็เพราะอาม่ารู้ว่าตัวยาทั้งสี่ชนิดอยู่ที่ไหน”
เมื่อพูดเช่นนี้อวี๋เซ่าชิงก็เข้าใจทันที เยี่ยนจิ่วเฉาถูกลอบทำร้ายตั้งแต่เด็ก ทั้งยังไม่ใช่เพียงครั้งเดียว มือสังหารอาจอยู่ที่หนานจ้าว เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจป่าวประกาศออกไป เพื่อจะได้ไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นและทำให้แผนในการตามหาตัวยาของพวกเขาล่ม
อวี๋เซ่าชิงเหลือบมองอาม่า เขาเดาออกแต่แรกแล้วว่าครอบครัวของอาเว่ยไม่ใช่นายพรานทั่วไป บัดนี้เห็นทีจะเป็นความจริง
อวี๋เซ่าชิงมองบุตรสาว บุ้ยใบ้ให้เล่าต่อ
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกระแอม
อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ พร้อมกับพูดว่า “ท่านลุงใหญ่กังวลหรือเจ้าคะ?”
“เปล่า” เห้อเหลียนเป่ยหมิงยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากด้วยสีหน้าราบเรียบ
อวี๋หวั่นยิ้มร่า “พบท่านลุงใหญ่ครั้งแรกที่นอกเมืองหลิ่ว ท่านลุงใหญ่เกือบจะฆ่าข้าซะแล้ว”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงตัวสั่นจนเกือบหล่นลงมาจากรถเข็น!
เจ้าเด็กคนนี้ จะพูดให้ลุงใหญ่ซวยรึ?
สายตาของอวี๋เซ่าชิงพลันเย็นเยียบขึ้นมาในทันใด!
เทพสงครามแล้วอย่างไร? เทพสงครามรังแกเด็กผู้หญิงได้ด้วยรึ?!
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาอันคมกริบดุจมีดปลายแหลมของอวี๋เซ่าชิง เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็ขนลุกซู่
แต่นี่เพิ่งจะเริ่มต้น…
ในเมื่อแม้แต่เรื่องที่เยี่ยนจิ่วเฉาได้รับยาพิษก็ยังเล่าไปแล้ว ก็คงไม่มีเรื่องใดที่สามารถปิดบังท่านพ่อท่านแม่ได้อีก อวี๋หวั่นเล่าเรื่องที่พวกตนเดินทางเข้าซีเฉิง เรื่องที่ถูกปรมาจารย์พิษแซ่อวี๋รังแก เรื่องที่จัดการกับปรมาจารย์พิษนามว่าเฟ่ยหลัว รวมไปถึงเรื่องที่เกือบถูกเห้อเหลียนเป่ยหมิงลงทัณฑ์โดยละเอียด
เป็นครั้งแรกที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงได้สัมผัสถึงความรู้สึกที่เรียกว่าความละอายใจ
อวี๋หวั่นถอนหายใจ กล่าวว่า “ข้าบอกว่าท่านพ่อคือน้องชายแท้ๆ ของท่านลุงใหญ่ ครั้งแรกที่ข้าเห็นแม่ทัพใหญ่ ข้ารู้สึกสนิทสนมอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกับได้พบญาติ แต่ท่านลุงใหญ่บอกว่า เขาฝังน้องชายของเขาเองกับมือ”
บัดนี้สายตาของอวี๋เซ่าชิงแทบจะแทงคนตายได้เลย!
เห้อเหลียนเป่ยหมิงรู้สึกลำบากใจเหลือเกิน นางหนู ตอนนั้นเจ้าไม่ได้พูดแบบนี้…
เห้อเหลียนเป่ยหมิงมองไปยังอวี๋เซ่าชิง “เจ้าฟังข้าอธิบาย…”
“หึ!” อวี๋เซ่าชิงเบือนหน้าหนี
อวี๋หวั่นเติมเชื้อเพลิงเข้าไปอีก “ท่านลุงใหญ่ไปไหว้ท่านพ่อทุกปี จุดธูปเผากระดาษให้ท่านพ่อด้วย”
อวี๋เซ่าชิงอยากจะบ้าตาย
เป็นครั้งแรกที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงรู้สึกว่าเด็กคนนี้เจ้าคิดเจ้าแค้นเหลือเกิน นางอยากจะเผาเขาให้เกรียมเลยกระมัง…
ในปีนั้นเขาพบศพของทารกซึ่งสภาพเละเทะไม่น่ามองจริงๆ อีกทั้งยังฝังศพนั้นกับมือ ศพนั้นห่อด้วยผ้าห่อทารกของน้องเขาจริงๆ เขาไม่ได้จำผิดอย่างแน่นอน
หลายปีมานี้ที่ตามหาน้องชาย ก็เพียงเพื่อให้ท่านแม่เห็นเท่านั้น เขาจะไปหาน้องตัวจริงมาได้อย่างไรเล่า?
ลำพังเพียงอายุและประวัติชีวิตของอวี๋เซ่าชิง ย่อมไม่เพียงพอให้เขาเชื่อ หากลำพังเพียงรูปร่างหน้าตา เขาก็ยังไม่เชื่อ อย่างไรเสียใต้หล้านั้นแสนกว้างใหญ่ คนรูปงามดุจเทพเซียนมิใช่ไม่มี ทว่าเงื่อนไขเหล่านี้กลับตรงกันอย่างน่าประหลาด เป็นไปไม่ได้ที่จะมีเรื่องบังเอิญถึงเพียงนี้
เขาจึงกล้าเดาว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นอาจไม่ใช่อุบัติเหตุ
มีคนเห็นในเหตุการณ์ครั้งนั้น พวกเขาจึงได้ออกตามหาศพของทารก เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเขา ทำให้พวกเขาคิดว่าน้องชายตกลงไปตาย ทั้งที่จริงน้องชายของเขาถูกพาตัวไปแล้ว
เห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่รู้ว่าคนผู้นั้นคือใคร แต่เรื่องหนึ่งที่เขามั่นใจได้ก็คือคนผู้นั้นปกปิดเรื่องนี้กับฆาตกรตัวจริงที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง มิเช่นนั้นน้องชายของเขาคงไม่ไปถึงต้าโจว และคงไม่มีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงป่านนี้
มีคนลงมือกับน้องชายของเขา…เหตุใดจึงทำเช่นนั้น? สรุปแล้วคนผู้นั้นคือใคร?
“ใช่สิ” อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้น “ในห่อผ้าของท่านพ่อมีตำราอาหารเล่มหนึ่ง”
“ตำราอาหาร?” เห้อเหลียนเป่ยหมิงงุนงง
อวี๋หวั่นส่ายหน้า “ไม่สิ ท่านปู่เป้าบอกว่าไม่ใช่ตำราอาหาร พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร เป็นหนังสือเก่าๆ เล่มหนึ่ง พวกเรายังคิดเสียอีกว่าเป็นของแทนใจที่ครอบครัวของท่านพ่อทิ้งไว้ให้เผื่อวันใดได้พบกันอีก”
สกุลเห้อเหลียนมีหนังสือมาก หนังสือที่สูญหายไปก็มีบ้าง กระนั้นหากจะบอกว่าเป็นของสำหรับยืนยันตัวตนก็ไม่สมเหตุสมผล พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะนำทารกไปทิ้ง แน่นอนว่าไม่มีทางทิ้งสิ่งที่เรียกว่าของแทนใจไว้อย่างแน่นอน นอกเสียจากว่า…คนที่พาตัวน้องชายของเขาไปมีเจตนาดี จึงทิ้งบางอย่างเอาไว้เป็นหลักฐาน
“พวกเจ้านำมันมาด้วยหรือไม่?” เห้อเหลียนเป่ยหมิงถาม
อวี๋เซ่าชิงกลอกตา
พวกเขาออกตามหาเด็กน้อยทั้งสาม ไม่ได้ตั้งใจมาตามหาญาติ ใครจะพกของพรรค์นั้นมาด้วยเล่า!
อวี๋หวั่นเห็นท่านพ่อเชิดหน้าด้วยความขุ่นเคืองใจ ไม่รู้ว่าทำไม เธอจึงนึกถึงในตอนที่เถี่ยตั้นน้อยพบท่านพ่อครั้งแรกหลังจากที่ท่านพ่อกลับมาจากสนามรบ เขาก็มีท่าทางเย่อหยิ่งเช่นนี้เหมือนกัน ในตอนนั้นเธอก็สับสน ปกติเด็กคนนี้ว่านอนสอนง่าย ทำไมพอเจอหน้าท่านพ่อแล้วเป็นอย่างนี้ไปได้? ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่านิสัยของน้องชายได้รับการถ่ายทอดมาจากใคร
อวี๋หวั่นทนไม่ไหว ระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น
เธอหัวเราะ เยี่ยนจิ่วเฉาก็หัวเราะตาม
เยี่ยนจิ่งเฉาหัวเราะ นางเจียงก็หัวเราะตาม
นางเจียงหัวเราะ อวี๋เซ่าชิงก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้
อาม่าซึ่งนั่งเงียบมาตลอดเอ่ยปากว่า “ข้าคิดว่า พวกเจ้าดีใจเร็วไปหน่อยกระมัง? ในตอนที่เข้าจวนมา พวกเจ้าป่าวประกาศออกไปว่าเห้อเหลียนเฉาเติบโตในตำบลเห้อเหลียน พ่อแม่ของเขาเสียไปหมดแล้ว บัดนี้กลับมีพ่อแม่มาหา พวกเจ้าไม่คิดสักหน่อยหรือว่าจะปะติดปะต่อเรื่องนี้อย่างไร?”
ทันทีที่พูดจบ ทุกคนก็ตัวแข็งทื่อ!
……
เรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่าได้พบหน้าบุตรชายนั้นได้รู้ไปถึงจวนตะวันตกในคืนเดียวกัน นางหลี่นอนอยู่บนเตียง หวังมามากำลังทายาให้นาง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสาวใช้เข้ามารายงาน “นายท่านรองจวนตะวันออกกลับจวนมาแล้วเจ้าค่ะ!”
“นายท่านรอง? นายท่านรองอะไร?” นางหลี่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
สาวใช้ตอบว่า “ก็คือ…ก็คือท่านพ่อของคุณชายใหญ่ น้องชายของท่านแม่ทัพใหญ่เจ้าค่ะ”
นางหลี่สำลัก “เขาไม่ได้ตายไปแล้วรึ?”
นางหลี่มั่นใจว่าเขาต้องไม่ได้ตกลงจากบนหน้าผาแล้วหายสาบสูญไป แต่เมื่อเห้อเหลียนเฉากลับมายังจวนตะวันออก เห้อเหลียนเป่ยหมิงประกาศว่าบิดาและมารดาของเห้อเหลียนเฉาล้มป่วยและจากไปเมื่อหลายปีก่อน เหลือเพียงเห้อเหลียนเฉาเพียงคนเดียว
เหตุใดเพียงชั่วพริบตาเดียว นายท่านรองที่ตายไปกลับมีชีวิตขึ้นมาได้เล่า?
ความคิดแรกของนางหลี่ก็คือ คงไม่ใช่เพื่อไม่ให้จวนตะวันตกไปเซ่นไหว้บรรพบรุษ ดังนั้นก็หมายความว่าตั้งใจไปหาคนมาปลอมเป็นนายท่านรองกระมัง?
อย่างไรเสียในปีนั้นนายท่านรองก็อยู่ในพงศาวลีของตระกูล หากนายท่านรองกลับมา ก็ไม่ได้มีสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับจวนตะวันตก
สาวใช้เกาศีรษะน้อยๆ “เหมือนจะมีเรื่องเข้าใจผิดเจ้าค่ะ นายท่านรองและฮูหยินรองจวนตะวันออกยังไม่ตาย แต่เป็นเพราะหนีหนี้ จึงบอกไปเช่นนั้น”
หนีหนี้?
คำแก้ตัวเส็งเคร็งเช่นนี้ จะไปหลอกใครได้?
อย่าว่าแต่นางหลี่ คนในจวนตะวันออกเองก็ยังคิดว่าคำแก้ตัวนี้เส็งเคร็งสิ้นดี แต่ก็ไม่มีวิธีอื่น ก่อนหน้านี้ได้เปิดเผยข้อมูลไปหมดแล้ว บัดนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ดูย้อนแย้ง โชคดีที่อวี๋เซ่าชิงเป็นตัวจริง เรื่องนี้จะทำอย่างไรก็ปลอมไม่ได้
นางหลี่ยังไม่เชื่อ ถึงกับลากเอวที่แสนเจ็บปวดออกไป
นายท่านรองใหญ่ก็ไม่ได้รู้ข่าวช้าไปกว่านางหลี่เท่าไรนัก ทันทีที่เขาก็ได้ยินเรื่องที่นายท่านรองกลับมา เขาย่อมไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง อย่างไรเสียในปีนั้นทารกก็ตกหน้าผาไปแล้วจริงๆ และเขาเป็นคนส่งมือสังหารไปเอง
มือสังหารของเขาเห็นศพของทารกกับตา ตกลงมาจากหน้าผาเละเป็นเนื้อบด
เพราะฉะนั้นเขาจึงมั่นใจว่าจะไม่มีสิ่งใดขัดขวางแผนการใหญ่ของจวนตะวันตกได้อีก เพราะว่าเด็กคนนั้นมันตายไปแล้ว!
บัดนี้เมื่อมีผู้ที่เรียกตัวเองว่านายท่านรอง ย่อมต้องเป็นตัวปลอม
“นายท่านรองใหญ่ขอรับ แม่ทัพใหญ่และนายท่านรองจากจวนตะวันออกมาพบท่าน”
หลังจากที่บ่าวนำความมารายงาน เห้อเหลียนเป่ยหมิงและอวี๋เซ่าชิงก็เดินเข้าไปในห้องของนายท่านรองใหญ่
ทันทีที่นายท่านรองเห็นใบหน้าหล่อเหลาซึ่งดูละม้ายคล้ายคลึงกับพี่ชายของตนครั้นยังหนุ่ม ก็รู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งร่าง
………………………………