ณ จวนประมุขหญิง รถม้าสองคันเคลื่อนเข้ามายังประตูหน้า รถม้าคันแรกแลดูหรูหราสง่าสาม รถม้าคันที่สองไปมิได้มีอะไรโดดเด่น แต่กลับโอ่โถง สีดำสนิทของรถม้าชวนให้ผู้พบเห็นรู้สึกได้ถึงความน่าสะพรึงกลัว
“พี่ใหญ่กลับมาแล้วหรือ?”
ทันทีที่รถม้าจอดสนิท องค์หญิงน้อยซึ่งอดใจรอไม่ไหวก็พุ่งมาอย่างรวดเร็ว
นิ้วเรียวค่อยๆ เลิกม่านออก จากนั้นเงาของร่างสูงสง่าก็ก้าวลงมาจากรถม้า
องครักษ์ด้านข้างต่างก้มหน้า ไม่มีผู้ใดกล้ามองความงามของเขา
ใต้หล้าล้วนขนานนามต่งเซียนเอ๋อร์ว่าเป็นคนงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง แต่กลับไม่รู้ว่าคนงามอันดับหนึ่งแห่งหนานจ้าวก็คือคุณชายแห่งจวนประมุขหญิงท่านนี้นี่เอง
โครงหน้าได้รูป เครื่องหน้างดงาม ท่าทางงามสง่าเหนือปุถุชน ไม่ว่าเขาไปที่ใด ความเจิดจรัสเรืองรองของเมืองใหญ่ก็มิอาจเทียบเขาได้ แม้แต่น้องสาวซึ่งเติบโตมาด้วยกันก็ยังต้องตกตะลึง
“พี่ใหญ่!”
องค์หญิงน้อยโผเข้าหาอ้อมอกของพี่ชาย
หนานกงหลียื่นมือแกร่งออกมาโอบน้องสาวของตน ฝ่ามือเย็นเฉียบลูบหน้าผากของนางเบาๆ พร้อมกับใช้น้ำเสียงอ่อนโยนพูดว่า “ไม่เจอกันสองปี ซีเอ๋อร์สูงขึ้นแล้ว”
องค์หญิงน้อยมองใบหน้าพี่ชาย “พี่ใหญ่ก็สูงขึ้นเหมือนกัน!”
เมื่อก่อนศีรษะของนางยังแตะถึงคางของพี่ชาย แต่บัดนี้แตะไม่ถึงแล้ว
หนานกงหลียิ้มน้อยๆ “เจ้าอยู่บ้านเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่ดีเลย! ไม่ดีเลยสักนิด!” องค์หญิงน้อยกระทืบเท้า
หนานกงหลียิ้มให้น้องสาวด้วยความเอ็นดู “ตรงไหนไม่ดี?”
องค์หญิงน้อยตอบด้วยความขุ่นเคือง “ตรงไหนก็ไม่ดี!”
หนานกงหลีพยุงน้องสาวออกมาจากอ้อมอก ปัดเส้นผมออกจากหน้าผากของนาง แล้วตอบว่า “พี่กลับมาแล้ว
สิ่งที่ไม่ดี ก็จะค่อยๆ ดีขึ้น”
“อื้ม!” องค์หญิงน้อยกอดแขนพี่ชาย นางเหลือบมองไปยังรถม้าคันที่สอง เดินไปแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ในนั้นมีอะไรหรือเจ้าคะ? เป็นของขวัญที่ท่านพี่ซื้อมาให้ข้าหรือเปล่า?”
จิตสังหารรุนแรงพุ่งออกมาทันใด
หนานกงหลีจับมือน้องสาว “ของขวัญที่พี่จะให้เจ้าอยู่นี่”
องค์หญิงน้อยถูกเรียกกลับมา นางมองไปยังกล่องซึ่งไม่รู้ว่าหนานกงหลีหยิบออกมาตั้งแต่เมื่อไร พลางยื่นมือออกไปรับ หลังจากเปิดดูนางก็พูดว่า “ป้ายหยกนี่นา!”
หนานกงหลีตอบด้วยความเอ็นดูว่า “หยกหุบเขาเหมันต์ ทั่วทั้งใต้หล้ามีเพียงชิ้นเดียว”
องค์หญิงน้อยชอบจนวางไม่ลง
หนานกงหลีมองไปยังรถม้าคันนั้นซึ่งเกือบถูกองค์หญิงน้อยบุกเข้าไป จากนั้นก็มองไปยังองครักษ์ซึ่งเมื่อครู่ถูกจิตสังหารนั้นทำร้ายจนกระอักเลือด แล้วจึงเดินไปจูงมือน้องสาวเข้าจวนไปด้วยสีหน้าราบเรียบ
พี่ชายและน้องสาวเดินไปยังเรือนในจวนประมุขหญิง
ราชบุตรเขยนอนไปแล้ว ประมุขหญิงกำลังนั่งจัดการกับราชกิจหน้าชั้นหนังสือ
แม้ว่าจะถูกกักบริเวณ แต่นางก็ยังคงเป็นประมุขหญิงเพียงพระองค์เดียวของอาณาจักรหนานจ้าว สาส์นต่างๆ ถูกส่งมาที่นี่ หลังจากที่นางอ่านดูและไม่พบว่ามีปัญหาอะไรจึงจะส่งต่อเพื่อให้นำไปกราบทูลองค์ประมุข
“ประมุขหญิงเพคะ องค์ชายกลับมาแล้วเพคะ!” เสียงของสาวใช้ดังขึ้นจากด้านนอก
พู่กันในมือของประมุขหญิงหยุดชะงัก นางมองไปยังทิศของประตูจวน
“ท่านแม่!” องค์หญิงน้อยจูงมือพี่ชายอย่างรีบร้อน
เมื่อเห็นบุตรชายที่ไม่พบหน้ากันมาสองปี รอยยิ้มก็วาดผ่านใบหน้าของประมุขหญิงในทันใด
หนานกงหลีก้าวขึ้นมาด้านหน้า สะบัดชายเสื้อเพื่อคุกเข่าคำนับ
ประมุขหญิงรีบเข้าไปพยุงเขา “ลุกขึ้นมาเถิด! เดินทางมาลำบากหรือไม่?”
หนานกงหลีมองไปยังมารดา “ลูกผิดไปแล้วที่กลับมาไม่ทัน”
ประมุขหญิงยิ้ม “เจ้าไม่ได้ตั้งใจเดินทางมาช้าสักหน่อย จะมีความผิดอันใด? เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย ข้าก็วางใจ
แล้ว”
ประมุขหญิงกล่าวไปพลางมองไปยังองค์หญิงน้อย “ซีเอ๋อร์เตรียมของขวัญไว้ให้ท่านพี่ไม่ใช่หรือ? ยังไม่รีบไปหยิบมาเล่า?”
นั่นหมายความว่านางกำลังบอกให้องค์หญิงน้อยออกไปก่อน
องค์หญิงน้อยไหนเลยจะฟังเข้าใจ เมื่อนึกได้ว่าตนวางของขวัญเอาไว้ในห้อง ก็ตบหน้าผากเบาๆ แล้วออกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ทว่าในครั้งนี้นางใช้เวลาหาของนานสักหน่อย นานพอที่สองแม่ลูกจะรำลึกความหลังกัน
“พวกเจ้าออกไปก่อน” ประมุขหญิงสั่ง
“เพคะ” สาวใช้ทั้งหมดออกไปอย่างรู้งาน
เมื่อไม่มีผู้อื่นอยู่ในห้อง ใบหน้าเย่อหยิ่งของประมุขหญิงก็ปรากฏความเหนื่อยล้าขึ้นมา
นางเดินไปยังข้างหน้าต่าง มือข้างหนึ่งวางบนโต๊ะ อีกข้างหนึ่งกดลงบนขมับ “เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนเจ้าคงได้ยินหมดแล้วกระมัง?”
หนานกงหลีตอบอย่างเจ็บปวดใจว่า “ท่านแม่ต้องเป็นทุกข์ ท่านพ่อเขา…”
ประมุขหญิงทอดถอนใจ “เขาคงไม่เป็นไรในระยะสั้น สองสามวันนี้กินยาเข้าไปมาก จึงนอนเร็ว พรุ่งนี้เจ้าค่อยไปหาเขาเถิด”
“ขอรับ” หนานกงหลีตอบ
ประมุขหญิงหันหลัง เดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างโต๊ะ หนานกงหลีนั่งลงเช่นกัน เขานั่งมองประมุขหญิงเงียบๆ
ประมุขหญิงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าซับซ้อนว่า “เจ้าเป็นทุกข์เรื่องอะไร ก็แค่ท่านตาของเจ้ารู้เรื่องสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว เขาสงสัยว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ยอมรับข้าเป็นเจ้านาย ตราบใดที่ข้าไม่ยอมรับ เขาก็ไร้หลักฐาน จึงมีท่าทีสนใจบ้างไม่สนใจบ้างเช่นนี้”
หนานกงหลีปลอบนางว่า “อย่างไรเสียท่านแม่ก็เป็นลูกสาวแท้ๆ ของท่านตา ต่อให้ท่านตาจะเคลือบแคลงใจหรือว่าโมโหกว่านี้ สุดท้ายแล้วก็ต้องเข้าข้างท่านแม่”
ประมุขหญิงตอบจากใจว่า “เรื่องนี้ข้าเข้าใจดี แต่การเป็นลูกที่ทำให้พ่อแม่ผิดหวังเช่นนี้ย่อมมิอาจสู้การเป็นลูกที่ทำให้พ่อแม่ภาคภูมิใจ ข้าแบกรับชะตาของอาณาจักรหนานจ้าวเอาไว้ หากเกิดอะไรขึ้นกับข้า ผู้ที่เดือดร้อนจะไม่ใช่เสด็จพ่อเพียงคนเดียว หากแต่รวมถึงราษฎรทั่วไปด้วย”
หนานกงหลีตอบด้วยสีหน้าแน่วแน่ “ท่านแม่เป็นผู้ที่สวรรค์ส่งมา ต้องกำหนดโชคชะตาของอาณาจักรหนานจ้าวได้อย่างแน่นอน”
ประมุขหญิงโบกมือ “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่านตาของเจ้าจะตามหา ข้าไม่จำเป็นต้องลงแรง แต่เจ้าไปเผ่าปีศาจมาแล้ว ได้อะไรมาบ้าง?”
หนานกงหลียิ้มน้อยๆ “เผ่าปีศาจหายากเหลือเกิน ถึงมีแผนที่ที่ท่านแม่ให้มาก็ใช้เวลานาน ทว่าสวรรค์ย่อมปรานีผู้มีความมุมานะ สุดท้ายข้าก็ตามหาจนพบ ท่านแม่เดาสิขอรับว่าข้าได้ความจากเผ่าปีศาจว่าอย่างไร?”
ประมุขหญิงร้อง ‘ไอ้หยา’ แล้วกล่าวว่า “แม่เจ้าเหนื่อยจะแย่ เจ้าอย่าอ้อมค้อม”
“ตี้จีองค์โตหายตัวไปแล้วขอรับ” หนานกงหลีกล่าว
“อะไรนะ?” ประมุขหญิงตื่นตะลึง
หนานกงหลียิ้มน้อยๆ “กล่าวให้ชัดก็คือ ตี้จีองค์โตหนีการแต่งงาน”
“หนีการแต่งงาน? หนีการแต่งงานของใคร?” การแต่งงานของตี้จีองค์โตเกิดขึ้นเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว ประมุขหญิงคิดมาตลอดว่านางแต่งงานเป็นพระชายาของอ๋องแห่งเผ่าปีศาจไปแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อได้ยินว่าหนีการแต่งงาน นางจึงตกใจเป็นอย่างมาก
หนานกงหลีแค่นเสียงขึ้นจมูก “ย่อมต้องเป็นงานแต่งของอ๋องแห่งเผ่าปีศาจสิขอรับ เผ่าปีศาจปิดข่าวเป็นอย่างดี หากมีพระธิดาหนีการแต่งงานในหนานจ้าว เพียงวันเดียวเรื่องก็คงแพร่สะพัดออกไปทั่วสารทิศ เผ่าปีศาจกลับปิดเรื่องนี้ไว้ได้นับสิบปี ต่อให้ในยุทธจักรจะมีข่าวคราว แต่ก็ปราศจากหลักฐาน”
ประมุขหญิงถามด้วยความสงสัยว่า “เหตุใดนางจึงหนีการแต่งงาน นางไม่อยากเป็นพระชายาของอ๋องแห่งเผ่าปีศาจหรือ? คนไร้ที่พึ่งอย่างนาง ได้แต่งงานออกไปก็นับว่าเป็นโชคดีเหลือล้น ยังกล้าหนีการแต่งงานอีกหรือ! นางหนีไปที่ใด? แล้วก็อ๋องแห่งเผ่าปีศาจไม่มีเจ้าสาวแล้ว ก็ไม่คิดจะแจ้งแก่หนานจ้าวสักหน่อยหรือ?”
หากอ๋องแห่งเผ่าปีศาจมาแจ้งเรื่องนี้กับหนานจ้าว ให้หนานจ้าวนำกองทัพออกค้นหา จะไม่เร็วกว่าการออกค้นหาด้วยตนเองหรอกหรือ?
หนานกงหลีตอบว่า “เผ่าปีศาจไม่ชอบไปมาหาสู่กับคนนอก พระชายาของพวกเขาหายตัวไป พวกเขาก็ออกตามหาด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องให้คนนอกเผ่ามาแทรกแซง”
“หึ ดื้อรั้นเป็นที่สุด” ประมุขหญิงกล่าวค่อนแคะ
หนานกงหลีหัวเราะ มิได้โต้แย้งแต่อย่างใด
“เช่นนั้น…ตี้จีองค์โตหนีไปที่ใด”
“หนีไปต้าโจวขอรับ” หนานกงหลีตอบ
ประมุขหญิงถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางหนีไปต้าโจว”
หนานกงหลีมองออกไปยังราตรีอันมืดมิด “เพราะว่า ข้าเคยพบลูกสาวของนาง”
……
หลังจากที่แยกกับหวั่นเฟิง อวี๋หวั่นก็นั่งรถม้ากลับ
“หนานกงหลี…หนานกงหลี…”
ระหว่างทาง อวี๋หวั่นพูดชื่อนี้ซ้ำไปซ้ำมา เห็นได้ชัดว่าตนคุ้นชื่อนี้ แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยได้ยินหรือเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง
“คุณชาย ถึงสถานีรถม้าแล้วขอรับ!”
เสียงของสารถีรถม้าดังขึ้นจากด้านนอก อวี๋หวั่นหลุดจากภวังค์ ก็พบว่ารถจอดนานแล้ว สารถีรอไม่ไหวจึงร้องเรียกอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นร้อง ‘โอ้’ จากนั้นก็เลิกม่านแล้วก้าวลงจากรถ “เท่าไหร่?”
“หกร้อยอีแปะ จ่ายให้ผู้จัดการก็ได้ขอรับ” สารถีบอก
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของสถานีรถม้า เดินเข้าไปหาผู้จัดการ จากนั้นก็ยื่นเงินหนึ่งตำลึงให้เขา
“รอสักครู่ขอรับ” ผู้จัดการเดินไปหาเงินทอนให้เธอ
ขณะที่อวี๋หวั่นกำลังรอ ก็มีเสียงโหวกเหวกดังขึ้นจากด้านนอก
“นี่เป็นงานเขียนพู่กันขององค์ชายน้อย ราคานับร้อยตำลึง! ใช้จ่ายค่ารถได้เหลือเฟือ!”
“ไม่มีเงินยังจะกล้าเช่ารถม้าอีก! เจ้าคิดว่าสถานีรถม้าเราขับรถเล่นรึ!”
“คุณชาย เงินทอนของท่านขอรับ” ผู้จัดการส่งเงินทอนให้อวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นรับเงินทอนมา พลางเหลือบมองไปด้านนอกแล้วถามว่า “ด้านนอกเกิดอะไรขึ้น?”
“อ่า” ผู้จัดการมีสีหน้าเดียดฉันท์ “เจ้าพ่อค้าหาบเร่จากบ้านนอกนั่นจ้างรถม้าของพวกเรา แต่สุดท้ายก็ไม่มีเงินจ่าย จึงนำงานเขียนพู่กันซึ่งหลอกว่าเป็นขององค์ชายน้อยมาจ่ายเป็นค่ารถขอรับ หึ คิดว่าพวกข้าโง่รึ!”
“องค์ชายน้อยไหน? องค์ชายน้อยจวนประมุขหญิงหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
“มิผิดขอรับ” ผู้จัดการตอบ
“เขาต้องจ่ายเท่าไหร่”
“หนึ่งตำลึงขอรับ”
อวี๋หวั่นส่งเงินหนึ่งตำลึงให้เขา “งานเขียนตัวอักษรนั่น ข้าขอซื้อ”
ผู้จัดการอยากบอกว่า คุณชายอย่าโดนหลอกง่ายๆ เช่นนี้สิ งานเขียนตัวพู่กันขององค์ชายน้อยจะมาอยู่ในมือพ่อค้าบ้านนอกเช่นนี้ได้อย่างไร แต่เขาก็ยับยั้งชั่งใจไม่ให้พูดออกไป หากคุณชายไม่โดนหลอก สถานีรถม้าของพวกเขาย่อมตกเป็นฝ่ายที่ขาดทุน
อวี๋หวั่นรับงานเขียนพู่กันมาแล้วเดินออกไป
พ่อค้าคนนั้นยืดอก “ข้าว่าแล้วว่าต้องมีคนตาถึง! นั่นเป็นลายมือขององค์ชายน้อยจริงๆ! องค์ชายน้อยมาดื่มชาที่ร้านของข้า! ไม่ได้นำเงินมา! จึงมอบงานเขียนพู่กันนี้ให้ข้า!”
สิ่งที่พ่อค้ากล่าวประกาศศักดาหลังจากนั้น อวี๋หวั่นได้ยินไม่ชัดเจน เธอหามุมสงบ แล้วกางงานเขียนพู่กันแผ่นนั้นออก
อวี๋หวั่นดึงปิ่นปักผมออกมาเขียนตัวอักษรลงบนพื้น ตัวอักษรที่เธอเขียนเหมือนกับตัวอักษรบนงานเขียนพู่กันนี้ไม่มีผิด
เขา…เป็นคนสอนเธอเขียนหนังสือ
…………………………………….