หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 267.2 พ่อลูกพบหน้าอีกครั้ง สารภาพความจริง (2)

บทที่ 267.2 พ่อลูกพบหน้าอีกครั้ง สารภาพความจริง (2)

ลานกว้างเต็มไปด้วยสีสันแพรวพราว กองไฟสุกสว่าง กลุ่มคนนั่งล้อมวง ย่าง เนื้อ กิน!

ชายชราอ้าปากค้าง ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น!

หนึ่ง สอง สาม สี่…แปด!

อยู่ที่นี่กันหมด!

เขาถูกคนจับตัวไป ทว่าคนไร้จิตสำนึกพวกนี้ไม่ออกตามหา กลับมานั่งกินดื่มอย่างสนุกสนานในลานนี่?!

“โอ้” อวี๋หวั่นที่กำลังเสียบเนื้อย่างให้กับจื่อซูและฝูหลิงหยุดชะงัก “พวกเราลืมอะไรไปใช่หรือไม่?”

กลุ่มคนตกอยู่ในความเงียบสงัด

หลังจากผ่านไปชั่วเวลาหนึ่ง ชิงเหยียนพลันตบต้นขาของเขาอย่างรุนแรง “ยังไม่ได้หยิบน้ำส้มสายชูมาเลย! จิ่วเฉาน้อยชอบกินน้ำส้มสายชูที่สุด!”

เยี่ยนจิ่วเฉาเหลือบสายตาเย็นเยียบมองเขา

“ข้าไปหยิบเอง ข้าไปหยิบเอง!” ชิงเหยียนเดินไปพลางหัวเราะแห้ง

ชายชรามุมปากกระตุก

“ไม่ ไม่ใช่สิ่งนี้” อวี๋หวั่นกล่าวอย่างครุ่นคิด

“อ้า ข้าจำได้แล้ว!” เจียงไห่ตบต้นขาพลันลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ห้องของชายชรา

ชายชรา: ฮึ นับว่าเจ้ายังพอมีจิตสำนึก

เจียงไห่เดินออกมาพร้อมกับขวดเหล้าที่ปิดสนิท กระซิบว่า “เหล้าสลักดอกไม้ชั้นเลิศ!”

ชายชราโมโหแทบหงายหลัง!

“ดูเหมือนนี่ก็ยังไม่ใช่” อวี๋หวั่นขมวดคิ้วตรึกตรอง “ขาดใครคนหนึ่งไปหรือไม่?”

นัยน์ตาหม่นหมองของชายชรากลับมาสดใสอีกครั้ง

ชิงเหยียนสบตากับเจียงไห่ เอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน “ชุยเฒ่า!”

ชายชราที่แทบอยากตายอยู่ตรงนี้ “…”

แม้แต่ชุยเฒ่าก็ยังสำคัญกว่าเขา?!

อยากจะเฆี่ยนไอ้เด็กสารเลวพวกนี้ให้ตายจริงๆ!!!

“โอ้!” อวี๋หวั่นสังเกตเห็นคนที่หน้าประตูลาน พลันลุกขึ้นยืนตะลึงงัน เนื้อเสียบไม้ในมือร่วงลงพื้น

“นี่ อาหวั่น!” ชิงเหยียนคว้าเนื้อเสียบไม้ ทว่าคว้าไว้ไม่ทัน พลันร้องอุทานด้วยความเจ็บปวด จากนั้นเขาหันไปเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของอวี๋หวั่น จึงมองตามสายตาของเธอไป ทันใดนั้นเนื้อเสียบไม้ในมือของเขาก็ร่วงลงพื้นอีกเช่นกัน

ชายชรา : ในที่สุดก็พบว่าข้าหายไปแล้วกระมัง? รู้สึกผิดใช่ไหมละ? ละอายใจจนควบคุมตัวเองไม่ได้เลยละสิ?

อวี๋หวั่นเดินไปหาทั้งสองอย่างงุนงง

ชายชรายื่นมือออกมาและกล่าวอย่างเฉยเมย “เอาละ รู้แล้วว่าพวกเจ้าไม่ได้ตั้ง…”

“ท่านคือ…ราชบุตรเขยหรือ?”

ชายชรากล่าวไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็ถูกขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจของอวี๋หวั่น

เขาไม่มีแก่จิตแก่ใจไปตกตะลึงกับคำว่าราชบุตรเขยที่อวี๋หวั่นกล่าว รู้สึกแต่เพียงค่ำคืนนี้ชีวิตเขาช่างน่าอดสูยิ่งนัก…

เสียงของอวี๋หวั่นไม่ได้ดังแต่อย่างใด ทว่าก็เพียงพอให้เหล่ายอดฝีมือในลานได้รับรู้ ทุกคนต่างหยุดแน่นิ่ง เสียงเอะอะในลานพลันเงียบสงัด

เนื้อย่างที่ยกมาอยู่ที่ริมฝีปากของเยี่ยนจิ่วเฉาก็หยุดชะงักลงทันที

ลานกว้างเงียบเชียบจนน่าหวาดหวั่น

อวี๋หวั่นไม่เคยพบราชบุตรเขยมาก่อน ทว่ายามที่บุรุษผู้นี้ปรากฏตัวต่อหน้าเธอ เธอก็นึกออกได้ทันทีว่าเขาคือใคร ไม่อาจบอกได้แน่ชัดว่าเพราะกลิ่นอายที่คล้ายกับเยี่ยนจิ่วเฉาของเขา หรือหน้ากากที่ไม่หายไปจากข่าวลือ

เธอนึกถึงครั้งแรกที่พบกันที่ชั้นหนึ่ง แม้เธอจะไม่ได้ยินที่เขาคุยกับองค์หญิงน้อย ทว่าขอเพียงเธอได้พบกับเขา อย่างไรก็ไม่มีทางผิดพลาด

“เยี่ยนจิ่วเฉา” อวี๋หวั่นหันมองใบหน้าที่ไม่แยแสของสามี

“อะแฮ่ม!” ชิงเหยียนกระแอมพลางส่งสายตาให้อาเว่ยกับเยว่โกว ในวันธรรมดาพวกเขาเข้าใจกันโดยไม่ต้องเอ่ยคำพูด แต่คืนนี้กลับเข้าใจแจ่มแจ้งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ทั้งสามคนวางเนื้อเสียบไม้ออกจากลานไปอย่างเงียบๆ

จากนั้นเจียงไห่ จื่อซูและฝูหลิงก็กลับไปที่ห้องของตนเอง

“กินกันอร่อยหรือไม่?” ชุยเฒ่าเดินมาอย่างมีความสุข ทว่าทันทีที่ก้าวเข้าไปในลานก็สังเกตเห็นบรรยากาศที่ไม่ปกติ เขามองพรรคพวก คนแปลกหน้าที่ไม่ทราบว่ามาจากที่ใด พลันกล่าวด้วยความสงสัย “เขาเป็นใครรึ?”

ชายชราเดินจากไปอย่างโกรธเคือง

อวี๋หวั่นก็เข้าห้องตำราไปโดยไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด

“อ้าว เหตุใดแยกย้ายไปกัน…หมด?” เสียงค่อยๆ ลดลงจนจบประโยค ชุยเฒ่าหดคออย่างขุ่นเคือง คว้าไม้เนื้อย่างสองสามอัน ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของอาม่าอย่างเงียบๆ

เหลือเพียงเยี่ยนจิ่วเฉากับราชบุตรเขยที่ยังอยู่ในลานกว้าง

เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ขยับและไม่ได้มองเขา

ทว่าราชบุตรเขยกลับเดินเข้ามาอย่างเงียบๆ

เยี่ยนจิ่วเฉากัดเนื้อย่างเข้าปากและค่อยๆ กินมันช้าๆ

ราชบุตรเขยนั่งม้านั่งไม้ตรงข้ามเขา

แม้ว่าอากาศจะไม่ร้อนเท่ากลางฤดูร้อน ทว่าก็ไม่ได้หนาวเย็นอย่างที่คิด กองไฟด้านข้างกำลังปะทุและเผาไหม้ เม็ดเหงื่อผุดพรายออกจากหน้าผากของคนทั้งสอง

เยี่ยนจิ่วเฉากินเนื้อ

ราชบุตรเขยก็เฝ้าดูเขากิน

ทั้งสองไม่พูดจาใดๆ

ทุกคนที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องต่างโผล่หัวจากช่องแง้มของประตู แอบดูการเคลื่อนไหวของคนทั้งสอง

นอกจากอวี๋หวั่นแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างราชบุตรเขยกับเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นอย่างไร เพียงแค่รู้สึกว่าสองคนนี้ช่างประหลาดยิ่งนัก คนหนึ่งจ้องมอง อีกคนไม่สนใจ

ในที่สุด ราชบุตรเขยก็ทำลายความเงียบงันระหว่างพวกเขา

เขามองเยี่ยนจิ่วเฉาพลางเอ่ยเบาๆ “เจ้า…”

เยี่ยนจิ่วเฉาไม่เปิดโอกาสให้เขาพูด พลันวางไม้เนื้อย่างและเอ่ยอย่างเฉยเมย “ข้าอิ่มแล้ว”

เอ่ยจบ ก็ลุกขึ้นยืนโดยไม่สนใจ หมายจะเดินกลับไปที่สวนอูถง

ทันทีที่ราชบุตรเขยก้าวเข้าประตูมา ก็เห็นใบหน้าที่คล้ายกับตัวเขาเจ็ดแปดส่วน สิ่งที่ไม่เหมือนคือเขาแก่แล้ว อีกทั้งบนใบหน้ายังมีรอยแผลเป็นที่น่ากลัว ทว่าคนตรงหน้านี้ ทุกอย่างล้วนเหมือนกับเขาตอนที่ยังเยาว์วัย

มิใช่เรื่องที่แปลกเกินไปหรอกหรือ?

ราชบุตรเขยกุมที่หัวใจของตนเอง

เขาตื่นเต้นมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะจากไป เขาก็รีบลุกขึ้นทันที “ช้าก่อน! ข้า…ข้ามีบางอย่างจะถามเจ้า!”

คล้ายกับสังเกตเห็นว่าน้ำเสียงของตนแข็งเกินไป เขาบีบนิ้วอย่างหมดหนทางและปรับน้ำเสียงให้นุ่มนวลลง “ขอถามอะไรเจ้าสักหน่อยได้หรือไม่?”

เป็นถึงราชบุตรเขยผู้สง่างามแห่งจวนประมุขหญิง กลับขาดความมั่นใจถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? กระทั่งเข้าเฝ้าองค์ประมุขยังไม่ตื่นตระหนก ทว่ายามอยู่ต่อหน้าชายหนุ่มผู้นี้ หัวใจของเขากลับกระวนกระวายเต้นไม่เป็นส่ำ

เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้หันกลับมา เขาเพียงมองไปยังความมืดมิดยามค่ำคืนไร้ที่สิ้นสุด และกล่าวอย่างเฉยเมย “หากอยากถามว่าข้าเป็นอย่างไรบ้าง ข้าสบายดีมาก หากอยากถามว่าข้ามาที่หนานจ้าวด้วยเหตุใด ไม่เกี่ยวอะไรกับท่าน”

“เกี่ยว เกี่ยว เกี่ยว! เกี่ยวข้องสิ!” อวี๋หวั่นผลักประตูห้องตำราวิ่งออกมา กอดแขนสามีและใช้ปลายเท้าดันปิดประตูลาน

“มีสิ่งใดก็คุยกันดีๆ” เธอกล่าวกับเยี่ยนจิ่วเฉา

ไอพิฆาตรุนแรงปกคลุมทั่วทั้งร่างของเยี่ยนจิ่วเฉา ทว่าที่สุดกลับผลักเธอออกไปไม่ลง แต่ยังคงปฏิเสธที่จะโต้ตอบกับราชบุตรเขย

ท่าทีของราชบุตรเขยดูตื่นตกใจเล็กน้อย ราวกับกำลังหวนนึกถึงสิ่งที่เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว

อวี๋หวั่นสงสัยว่าเธอควรเรียกเขาว่าราชบุตรเขยหรือท่านพ่อ หลังจากเห็นใบหน้าไม่ค่อยพอใจของสามี อวี๋หวั่นก็ตัดสินใจว่าจะไม่อยู่ใกล้เขามากนัก

“ท่านต้องการถามสิ่งใดหรือ?” อวี๋หวั่นกล่าว

ราชบุตรเขยกลับคืนสติ มองไปที่สตรีตัวน้อย และชายหนุ่มที่ถูกเธอจับไว้อีกครั้ง “ข้าอยากถามว่าเขาเป็นใคร?”

อวี๋หวั่นจ้องมองตาค้าง “ก็บุตรชายของท่านอย่างไรเล่า! ท่านยังจำเขาไม่ได้อีกหรือ? ท่านมาที่จวนเห้อเหลียน…มิใช่เพื่อตามหาบุตรชายของท่านหรือ?”

เขามาที่นี่กลางดึก เธอจึงคิดว่าเขาจำเยี่ยนจิ่วเฉาได้แล้ว และคิดจะกลับมาอยู่กับเยี่ยนจิ่วเฉาอีกครั้ง

“เขาเป็นบุตรชายของข้า?” ราชบุตรเขยผงะ

ท่าทีเช่นนี้คืออะไร? อวี๋หวั่นรู้สึกสับสน “ท่านเคยพบเขามาหลายครา เขาดูเหมือนท่านถึงเพียงนี้ ท่านไม่เคยสงสัยเลยหรือว่าเขาเป็นบุตรชายของท่าน?”

“เคยพบมาหลายคราแล้วหรือ?” ราชบุตรเขยผงะอีกครั้ง

“ใช่ ตอนแรกพบที่ร้านขายถังหูลู่คราหนึ่ง จากนั้นเสี่ยวเป่าหนีออกจากจวน พวกท่านทั้งสองก็ได้พบกันที่ร้านอาหารอีกคราหนึ่ง ให้ข้าคิดอีกสักหน่อย…” อวี๋หวั่นนึกไม่ออกแล้ว ทว่าสองครั้งก็ไม่ถือว่าน้อย หากนับครั้งนี้ก็เป็นสามครั้งแล้ว!

“ข้านึกว่าท่านมาหาบุตรชายของท่าน” อวี๋หวั่นกล่าว

“ข้ามาส่งชายชราผู้นั้นกลับบ้าน” ราชบุตรเขยกล่าว

ที่แท้ก็มาส่งอาม่า อวี๋หวั่นรู้สึกว่าสีหน้าของสามีเริ่มเย็นชาลงเรื่อยๆ

เยี่ยนจิ่วเฉาดึงแขนออก กลับเป็นจับมืออวี๋หวั่นและพาเธอออกจากลานไปอย่างเฉยชา

“ข้าจำไม่ได้แล้ว” ราชบุตรเขยเอ่ยพลางมองแผ่นหลังของคนทั้งสอง

ก้าวของทั้งสองพลันหยุดชะงักลง

“ข้า…ข้า…” ราชบุตรเขยพยายามคิด แต่ยิ่งคิด ก็ยิ่งรู้สึกว่าหัวแทบจะระเบิด

“ท่าน ท่านเป็นอะไรไป?” อวี๋หวั่นสังเกตเห็นความผิดปกติของราชบุตรเขย ใบหน้าของเขาซีดขาว เจ็บปวดจนเหงื่อเย็นผุดขึ้นจากหน้าผาก

ชุยเฒ่าก้าวเข้ามาจับข้อมือของราชบุตรเขย หลังจับชีพจร คิ้วกลับขมวดมุ่น “เขาโดนวางยา”

…………………………………………

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]

Status: Ongoing

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร

เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน

ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว

ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน…

ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?!

สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย

บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป…

วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย?

ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้…

“ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง

“เรียกแม่สิ”

เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท