“แย่แล้ว! นายท่านรอง! นายท่านรองแย่แล้ว!”
อวี๋เซ่าชิงที่กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นได้ยินเสียงใครบางคนเคาะประตูห้องของเขา
ความระแวดระวังที่ถูกบ่มเพาะมาจากค่ายทหารนานหลายปีปลุกเขาให้ลุกขึ้นนั่งในทันที
เขาจำได้ว่าเป็นเสียงของอวี๋กัง จึงรีบลุกขึ้นเดินเปิดประตูให้อีกฝ่าย “มีเรื่องอันใด? เจ้ามาตะโกนอันใดดึกๆ ดื่นๆ? อย่าทำให้ฮูหยินรองกับฮูหยินผู้เฒ่าต้องตื่น”
“ขอรับ ขอรับ ขอรับ!” อวี๋กังรีบกดเสียงลง และดึงอวี๋เซ่าชิงไปด้านข้างทางเดิน กล่าวด้วยใบหน้าซีดเซียว “ท่านแม่ทัพใหญ่ถูกฝ่าบาทส่งไปที่คุก!”
“พี่ใหญ่ของข้า…อะแฮ่ม เหตุใดเห้อเหลียนเป่ยหมิงถึงถูกส่งไปที่คุก?” อวี๋เซ่าชิงถามอย่างเคร่งขรึม
ยามนี้อวี๋กังอึดอัดคับแน่นใจ ไม่ได้สนใจฟังคำว่า ‘พี่ใหญ่’ ที่หาได้ยากจากปากของนายท่านรอง “ข้าน้อยก็ไม่ทราบว่าเกิดสิ่งใดขึ้น กลางดึกมีทหารม้ารักษาพระองค์มาพาท่านแม่ทัพใหญ่ไปเข้าเฝ้า ข้าก็ติดตามไปท่านแม่ทัพใหญ่ไปด้วย ข้ายืนรออยู่หน้าประตูวังนานถึงครึ่งวันก็ยังไม่เห็นท่านแม่ทัพใหญ่ออกมา เมื่อถามถึงได้ทราบว่าถูกส่งตัวไปที่คุกแล้ว!”
“หืม มีเรื่องอันใดหรือ?”
จุดที่คนทั้งสองยืนอยู่ บังเอิญเป็นด้านนอกหน้าต่างของห้องเยี่ยนจิ่วเฉากับอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นเอ่ยพึมพำด้วยความงัวเงีย
เยี่ยนจิ่วเฉาดึงศีรษะเล็กๆ ของเธอลงในอ้อมแขน “ไม่มีอะไรหรอก นอนเถิด”
“อา” อวี๋หวั่นก็นอนหลับต่อ
ความง่วงนอนจางหายไปจากดวงตาของเยี่ยนจิ่วเฉา
นอกหน้าต่าง มีเสียงอวี๋เซ่าชิงที่พยายามกดให้แผ่วเบา “ข้าจะบอกอาซูกับเด็กๆ พรุ่งนี้เช้า เจ้าอย่าเพิ่งบอกให้คนในจวนรับรู้ โดยเฉพาะฮูหยินผู้เฒ่า”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”
“กลับไปก่อนเถิด”
บทสนทนาหยุดลง ทั้งสองแยกย้ายกลับไปที่ห้องและเรือนของตนเอง
แต่เยี่ยนจิ่วเฉากลับลุกขึ้นนั่งอย่างแผ่วเบา “อิ่งสือซัน”
อิ่งสือซันแวบกายเข้ามา “คุณชาย”
เยี่ยนจิ่วเฉาส่งสายตาให้อิ่งสือซัน อิ่งสือซันเข้าใจความหมายกลับไปปลุกอิ่งลิ่วที่ห้องและลอบเข้าวังหลวงแห่งหนานจ้าว
วังหลวงแห่งหนานจ้าวยากที่จะเข้าไปได้ ทั้งสองพยายามหลบเลี่ยงหูตาของหน่วยกล้าตายอย่างถึงที่สุด ทว่าเมื่อใกล้คุกหลวงก็ยากเกินไป โชคดีที่ปากกว้างๆ ของขันทีหวังซึ่งกำลังรับการปรนนิบัติแช่เท้าจาก ‘หลานชายแสนดี’ เอ่ยทอดถอนใจ
“…น่าสงสารแม่ทัพใหญ่ที่จงรักภักดีต่อแคว้นมาตลอดชีวิต แต่สุดท้ายกลับมานอนคุกยามชรา”
“ท่านปู่ เหตุใดเขาต้องเข้าคุกยามชราเล่า?”
“ร่วมมือกับศัตรูทรยศชาติ เจ้าคิดว่าอย่างไรละ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อิ่งสือซันกับอิ่งลิ่วก็เข้าใจทันทีว่าเกิดสิ่งใดขึ้น พวกเขาคิดว่าตัวตนของคุณชายคงถูกเปิดเผยแล้ว ข้อกล่าวหาสมรู้ร่วมคิดกับต้าโจวทำให้เห้อเหลียนเป่ยหมิงต้องเข้าคุก ส่วนเหตุใดองค์ประมุขแห่งหนานจ้าวไม่จับแต่คุณชาย คาดว่ายามนี้องค์ประมุขคงกำลังสับสนและไม่ทันตอบสนองต่อสถานการณ์
ทั้งสองแอบฟังอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงใช้วิชาตัวเบากลับไปที่จวนเห้อเหลียนและรายงานแก่เยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉานั่งอยู่หลังฉากกั้น ใช้นิ้วจิ้มก้นไข่ดำน้อยสองที “เห้อเหลียนเป่ยหมิงมิได้แก้ต่างให้ตนเองหรือ?”
“ไม่เลยขอรับ” อิ่งสือซันกล่าว
เยี่ยนจิ่วเฉาหรี่ตา เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่ามีช่องให้แก้ตัว
“คุณชาย เราควรจะทำสิ่งใดบ้างหรือไม่?” อิ่งลิ่วเอ่ยถาม
“ไม่จำเป็น” เยี่ยนจิ่วเฉาครุ่นคิด “ไม่ต้องทำสิ่งใด”
อิ่งลิ่วเกาศีรษะ
ท่านแม่ทัพใหญ่ถูกจับตัวไป พวกเขาเพิกเฉยเช่นนี้เป็นการดีแล้วหรือ? ครานี้มิใช่การใส่ความ แต่คุณชายเป็นเชื้อพระวงศ์ของต้าโจวจริงๆ สกุลเห้อเหลียนพาเชื้อพระวงศ์ของต้าโจวเข้าจวน ทั้งยังปกปิดเรื่องนี้ต่อองค์ประมุข นับเป็นความผิดโทษร้ายแรง
แม้ว่าเขาเพิ่งมาอยู่ที่จวนเห้อเหลียนได้ไม่นาน แต่อิ่งลิ่วก็รู้สึกชื่นชอบจวนเห้อเหลียนแห่งนี้เสียแล้ว
เขาไม่ต้องการให้เห้อเหลียนเป่ยหมิงประสบเคราะห์ร้าย
เมื่ออิ่งลิ่วกำลังจะปริปากพร่ำบ่นก็ถูกอิ่งสือซันลากออกไป
อิ่งสือซันจับข้อมืออิ่งลิ่วไม่ปล่อย กระทั่งกลับไปถึงห้อง
มือของอิ่งลิ่วบอบบาง บนข้อมือปรากฏรอยแดงไปทั่ว
“จะดึงข้าเหตุใด?” อิ่งลิ่วถาม
อิ่งสือซันกล่าว “หากไม่ลากเจ้าออกมา จะให้คุณชายหักเบี้ยหวัดเจ้ารึ?”
เมื่อเอ่ยถึงเบี้ยหวัด อิ่งลิ่วก็หุบปากลงทันที
อิ่งสือซันอธิบายต่อ “คุณชายเป็นห่วงความปลอดภัยของท่านแม่ทัพใหญ่ยิ่งกว่าเจ้ากับข้าเสียอีก เขาทำเช่นนี้ต้องมีความตั้งใจของตนเองเป็นแน่”
“อ้อ” อิ่งลิ่วหันตัวไปถอดรองเท้าและปีนขึ้นเตียง
อิ่งสือซันอ้าปากค้าง “นี่มันเตียงข้า”
อิ่งลิ่วม้วนผ้านวมกลมเป็นลูกกลม “รู้แล้วน่า แต่ที่นอนข้ายังไม่ได้เปลี่ยน ข้าคร้านจะเปลี่ยนแล้ว”
อิ่งลิ่วมีนิสัยสกปรกเล็กน้อย ผ่านไปเดือนถึงสองเดือนที่นอนก็ยังไม่เปลี่ยน ต่างจากเตียงของอิ่งสือซันที่สะอาดเรียบร้อย ส่งกลิ่นหอมรัญจวนของฝักจ้าวเจี่ยว[1]อยู่เสมอ
อิ่งสือซันมองบุรุษที่นอนแผ่อยู่บนเตียงเขาไม่ไปไหน และดับไฟอย่างไม่เต็มใจ
ในเช้าวันรุ่งขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่าก็เอ่ยถึงเห้อเหลียนเป่ยหมิง “พี่ใหญ่ของเจ้าเล่า?”
อวี๋เซ่าชิงที่ถูกถาม กล่าวตอบโดยไม่ตระหนก “ครอบครัวของทหารใต้บังคับบัญชานายหนึ่งเกิดเรื่องขึ้น เขาถูกเชิญให้ไปจัดการ คาดว่าอีกสองสามวันก็กลับมา”
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้คิดสงสัย เผยยิ้มกริ่มคีบอาหารให้เหลนชายตัวน้อย
ภายในจวนข่าวนี้ถูกปกปิดไว้อย่างแน่นหนา ทว่าภายนอกกลับไม่ได้มองแง่ดีเช่นนี้ เป็นเวลาเกือบหนึ่งคืน ข่าวเรื่องการสมรู้ร่วมคิดของเห้อเหลียนเป่ยหมิงกับเชื้อพระวงศ์แห่งต้าโจวก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง
ทั่วทั้งเมืองหลวงลุกเป็นไฟ
เห้อเหลียนเป่ยหมิงคือใคร? แม่ทัพเทพแห่งหนานจ้าว ขุนนางคนสำคัญ ผู้ปกครองจวนเห้อเหลียน ภักดีต่อชาติและองค์ประมุขมาทั้งชีวิต เขาอุทิศชีวิตส่วนใหญ่ให้แก่ราชวงศ์หนานจ้าว หากถามว่าผู้ใดในใต้หล้าที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อประมุขแห่งหนานจ้าวมากที่สุด แน่นอนว่าเป็นเห้อเหลียนเป่ยหมิง
อย่างไรก็ตามเขาเป็นแม่ทัพใหญ่ที่ได้รับความไว้วางใจจากองค์ประมุขอย่างลึกล้ำ แต่กลับสมรู้ร่วมคิดกับเชื้อพระวงศ์แห่งต้าโจวเป็นการส่วนตัว ทั้งยังรับเป็นหลานชายแท้ๆ อีก?
คราแรกผู้คนก็ยังไม่เชื่อ ทว่ายิ่งมีคนกล่าวถึงเรื่องนี้มากเข้าราวกับมีตาทิพย์ ใครไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้ว
นอกจากนี้ มันก็คือเรื่องจริง
คุณชายใหญ่ของสกุลเห้อเหลียนเป็นซื่อจื่อแห่งราชวงศ์ต้าโจว
“ครานี้ต่อให้เขามีปีกก็ยากจะบิน” กลางศาลาของจวนประมุขหญิง หนานกงหลีรินชาดอกไม้ให้ตนเองกับประมุขหญิงหนึ่งถ้วย “อารมณ์ของท่านตายามนี้ คงไม่อาจยอมให้ซื่อจื่อแห่งต้าโจวอยู่ที่หนานจ้าวต่อไปแล้วกระมัง?”
แน่นอนว่าไม่มีทาง
แม้ต้าโจวกับหนานจ้าวไม่ได้เป็นศัตรู แต่ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดี การตายของเห้อเหลียนฉีในต้าโจวยังไม่ได้ข้อสรุป ซื่อจื่อแห่งต้าโจวก็ลอบเข้าเมืองหลวงของหนานจ้าวเสียแล้ว
องค์ประมุขก็มิใช่เด็กอมมือ คนต้าโจวจะทำตามอำเภอใจได้เช่นนี้หรือ?
ประมุขหญิงยกถ้วยชาขึ้นจิบ
หนานกงหลีกล่าวต่อ “ท่านแม่ เราต้องปล่อยข่าวว่าเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นคนที่สังหารเห้อเหลียนฉีอีกหรือไม่?”
ประมุขหญิงตรัสอย่างเฉยเมย “ไม่จำเป็นหรอก หากเรื่องร้ายแรงไปกว่านี้ สกุลเห้อเหลียนจะมัวหมองจนไม่อาจล้างมลทินได้”
อย่างเดียวที่พวกเขาต้องจัดการคือเยี่ยนจิ่วเฉา ส่วนสกุลเห้อเหลียนนั้นยังมีประโยชน์ หากถูกเหยียบย่ำจนตาย พวกเขาจะไปสนับสนุนตระกูลที่ทรงอำนาจแบบนี้ได้ที่ใดอีก?
เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม นางจะไปอ้อนวอนขอความเมตตาต่อเสด็จพ่อ
บอกว่าสกุลเห้อเหลียนถูกเยี่ยนจิ่วเฉาหลอกลวง
ขอให้เสด็จพ่อทรงเห็นแก่ความภักดีต่อประมุขและรับใช้ชาติมาหลายชั่วอายุคนของสกุลเห้อเหลียน โปรดให้อภัยพวกเขาสักครา
เสด็จพ่อไม่มีทางปฏิเสธ
เพราะเสด็จพ่อต้องปูทางให้นาง
หากนางปราบสกุลเห้อเหลียนได้ เมื่อนั้นนางก็กุมอำนาจทางทหารของหนานจ้าวได้อย่างแท้จริง
ด้วยอำนาจทางทหารในมือ มีหรือต้องกังวลว่าบัลลังก์ของนางจะไม่มั่นคง?
ประมุขหญิงตรัสถาม “ว่าแต่เหตุใดเจ้าถึงคิดจะปล่อยข่าวออกไป? เดิมทีข้าคิดว่าท่านตาของเจ้าจะเก็บเรื่องนี้และจัดการอย่างเงียบๆ เสียอีก”
หนานกงหลียิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “ลูกก็ไม่คิดว่าเรื่องราวจะราบรื่นเช่นนี้ ลูกเพียงแต่ให้คนไปป่าวประกาศว่าเห้อเหลียนเป่ยหมิงถูกคุมขัง เมื่อค่ายทหารไม่มั่นคง จิตใจผู้คนระส่ำระสาย ด้วยแรงกดดันท่านตายิ่งขับไล่เยี่ยนจิ่วเฉาออกไปจากหนานจ้าวเร็วขึ้น ตอนจบของเรื่องนี้…ไม่เคยคิดว่า เรื่องที่เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นซื่อจื่อแห่งต้าโจวจะรั่วไหลออกมาเช่นกัน เป็นเช่นนี้ก็ยิ่งดี ยิ่งผู้คนโกลาหลมากเพียงใด ท่านตายิ่งไม่อาจผ่อนปรนเรื่องนี้”
คิ้วประมุขหญิงขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “แม้จะเป็นเช่นนั้นจริง ทว่าเมื่อเจ้าไม่ได้เอ่ย เช่นนั้นผู้ใดเล่าที่ป่าวประกาศ? หรือนอกจากพวกเราแล้ว ยังมีใครที่ต้องการให้เห้อเหลียนเป่ยหมิงตายอย่างนั้นหรือ?”
หนานกงหลีคลี่ยิ้ม “จะเป็นใครก็ดีทั้งนั้น พวกเราแค่นั่งเก็บกำไรของชาวประมงก็พอ ส่วนการลบล้างคำครหาของเห้อเหลียนเป่ยหมิงนั้นหาใช่เรื่องยากสำหรับจวนประมุขหญิง”
ไม่ใช่เรื่องยากอย่างแน่นอน
ขอเพียงองค์ประมุขยืนอยู่ฝั่งพวกเขา แม้จะเป็นหลักฐานเท็จที่พวกเขาส่งไปก็ยังมีผลที่เป็นจริง
หากเป็นเมื่อก่อน ประมุขหญิงก็คงมิได้มุ่งหมายจะจัดการสกุลเห้อเหลียนเช่นนี้ ทว่าใครให้องค์หญิงน้อยอยู่ที่จวนเห้อเหลียนเล่า? แม้เห้อเหลียนเป่ยหมิงจะพร่ำบอกว่าเขาไม่ได้รวมหัวเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน แต่เขากลับซุกซ่อนบุตรของตี้จีองค์โตไว้
เขาคิดจะทำสิ่งใดกันแน่?
กำลังรอโอกาสเหมาะสมที่จะเปิดเผยให้องค์ประมุขรับรู้ว่าสายเลือดของตี้จีองค์โตกลับมาอย่างนั้นหรือ?
หากบิดาของเขายังอยู่ คงออกหน้าปกป้องตี้จีองค์โตอยู่ไม่น้อย
ตอนนี้บิดาของเขาจากไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงไม่ยอมแพ้
นางไม่เข้าใจ นางทำสิ่งใดให้สกุลเห้อเหลียนไม่ชอบ เหตุใดสกุลเห้อเหลียนถึงไม่อาจมอบใจภักดีต่อนาง?
นางจะไม่มอบโอกาสเช่นนี้ให้แก่เห้อเหลียนเป่ยหมิง นางจะให้เห้อเหลียนเป่ยหมิงได้รู้ว่าอาณาจักรแห่งหนานจ้าวเป็นของนาง ตี้จีคือนาง และองค์ประมุขของเขาก็คือนางเช่นกัน!
ในช่วงบ่าย เรื่องราวกลับยิ่งเลวร้ายลง
ประมุขหญิงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่กองทหารรักษาพระองค์จะไปยังจวนเห้อเหลียนเพื่อจับตัวเยี่ยนจิ่วเฉาเข้าวัง ไหนเลยจะทราบว่ายามนี้ ทหารม้าของกองทหารรักษาพระองค์กลุ่มหนึ่งจะตรงมาที่จวนประมุขหญิงด้วยสีหน้าเย็นชา
ประมุขหญิงจ้องมองกองทหารรักษาพระองค์ที่บุกเข้ามาในเรือนของนางด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด “บังอาจ! ผู้ใดอนุญาตให้พวกเจ้าเข้ามา!”
หัวหน้ากองทหารม้านั่งบนหลังม้า กล่าวอย่างซื่อตรงไร้การยกยอ “องค์ประมุขทรงมีรับสั่งให้กระหม่อมนำตัวฝ่าบาทไปสอบสวนพ่ะย่ะค่ะ”
นำตัว?
ประมุขหญิงมักจะถูกเทียบเชิญไปเสมอ ทันทีที่ได้ยินคำว่านำตัวจึงเพียงพอที่จะทำให้นางได้ยินความไม่เกรงอกเกรงใจของอีกฝ่าย
ประมุขหญิงตรัสอย่างน่าเกรงขาม “พวกเจ้าเข้าใจผิดหรือไม่? แน่ใจหรือว่าคนที่เสด็จพ่อของข้าให้นำตัวเข้าวังเป็นข้า มิใช่คุณชายใหญ่แห่งจวนเห้อเหลียน?”
หัวหน้ากองทหารม้ากล่าว “คุณชายใหญ่เห้อเหลียนต้องพาตัวไป ฝ่าบาท ก็ต้องพาตัวไปเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ!”
ประมุขหญิงขมวดคิ้ว
เสด็จพ่อเป็นบ้าอะไรขึ้นมา?
ต้องจับแค่เยี่ยนจิ่วเฉาสิ มาจับนางด้วยเหตุใด?
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท!” องครักษ์ฉางโม่ซังรีบร้อนมุ่งเข้ามายกมือคำนับต่อหน้าประมุขหญิง “ราชบุตรเขยถูกคนของวังหลวงจับตัวไปกลางถนนพ่ะย่ะค่ะ!”
สีหน้าของประมุขหญิงดำดิ่ง หันมองหัวหน้าทหารม้า “พวกเจ้าจับตัวราชบุตรเขยด้วยเหตุใด?”
ใบหน้าของประมุขหญิงซีดขาวลงในทันใด!
…………………………………………
[1] จ้าวเจี่ยว เป็นสมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง รูปร่างคล้ายฝักถั่ว สามารถนำมาใช้ทำยาและสบู่