เมื่อถึงยามพลบค่ำ อวี๋หวั่นเดาได้ว่าฝั่งเยี่ยนจิ่วเฉาจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เธอจึงกลับไปที่จวนพร้อมกับฮูหยินผู้เฒ่าที่กำลังเดินเล่นอย่างสนุกสนาน
เยี่ยนจิ่วเฉาและพรรคพวกเพิ่งมาถึงเรือนไม่นาน
อย่ามองว่าฮูหยินผู้เฒ่าเดินเล่นจนไม่อยากกลับ เมื่อกลับถึงจวนจริงๆ นางกลับเบะปากไปบ่นกับหลานชายของนาง “…ภรรยาเจ้าทำให้ข้าเหนื่อยแทบตาย นี่ก็อยากดู นั่นก็อยากซื้อ กระดูกแก่ๆ ของข้าแทบถูกนางทำให้หักเป็นชิ้นๆ…”
อวี๋หวั่นงวยงง! ข้าถูกปรักปรำ! ด้วยความสัตย์จริง! คนที่นี่ก็อยากดู นั่นก็อยากซื้อเป็นใครกันแน่! ! !
อวี๋หวั่นกลับมาที่จวนเห้อเหลียนนานแล้ว ยังไม่เคยเห็นฮูหยินผู้เฒ่าออกไปนอกบ้าน เธอจึงคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่ชอบไปข้างนอก แต่คิดแล้วก็ไม่น่าแปลกใจ ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว ไม่แข็งแรงเท่าสตรีเยาว์วัย แค่เดินเล่นอยู่ในลานก็พอแล้ว จะให้นางออกไปเดินบนท้องถนนคงยากเกินไป
แต่สุดท้ายอวี๋หวั่นก็พบว่าตนเองคิดผิด
ฮือ เหตุใดเธอต้องไปซื้อของกับฮูหยินผู้เฒ่า? หากรู้แต่แรกไปเสี่ยงเซียมซีที่วิหารพิษไม่ดีกว่าหรือ?
ฮูหยินผู้เฒ่าดึงเยี่ยนจิ่วเฉาไปฟ้อง คุยเป็นน้ำไหลไฟดับ
ใบหน้าของอวี๋หวั่นดำคล้ำราวกับเถ้าถ่าน
ฮูหยินผู้เฒ่ากอดแขนเยี่ยนจิ่วเฉามองไปที่อวี๋หวั่นด้วยความคับแค้นใจ “หลานสะใภ้ตัวเหม็น!”
อวี๋หวั่นพองขนโดยฉับพลัน
หลานสะใภ้ตัวเหม็นอันใด ข้าเป็นหลานแท้ๆๆๆ…ที่แสนงดงามของท่าน!
เยี่ยนจิ่วเฉาปลอบโยนเบาๆ “ภรรยาข้า ท่านช่วยชี้แนะสักหน่อยเถิด”
“เห็นแก่หน้าเจ้า ข้าจะชี้แนะนางให้ก็ได้!” ฮูหยินผู้เฒ่าเชิด สั่งให้ข้ารับใช้นำของที่นางซื้อมาสิบเจ็ดสิบแปดชิ้นกลับไปที่เรือน
อวี๋หวั่นยกแขนที่เมื่อยล้าพุ่งตัวเข้าสู่อ้อมแขนของสามี “ปวดจะตายแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าเอาแต่ซื้อๆๆ ส่วนเธอก็ต้องถือๆๆ ทำไร่ก็ไม่เหนื่อยเท่านี้
เยี่ยนจิ่วเฉาลูบศีรษะน้อยๆ โดยไม่รังแกเธออย่างเคย “กลับไปที่ห้องจะนวดให้”
อวี๋หวั่นพยักหน้าอย่างออดอ้อน “อื้ม!”
“อะแฮ่ม!”
เสียงไอของเห้อเหลียนเป่ยหมิงดังมาจากด้านหลัง
อวี๋หวั่นยืดตัวขึ้นและหันไปมองเขาพร้อมกับเยี่ยนจิ่วเฉา
อาการบาดเจ็บของเห้อเหลียนเป่ยหมิงเกือบจะหายเป็นปกติ ใบหน้าเริ่มขับสีแดง เขาใช้เวลาอยู่ในคุกหนึ่งคืนเต็ม ทว่าดูจากความสงบผ่อนคลายระหว่างเรียวคิ้วของเขา ดูเหมือนจะไม่เป็นทุกข์หรือกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าวเสียงขรึม “พวกเจ้ามาที่เรือนข้าสักหน่อย ข้ามีเรื่องจะถาม”
อวี๋หวั่นเอะใจขึ้นอย่างระมัดระวังเล็กน้อย สิ่งที่ควรมาได้มาถึงแล้ว พวกเขาต้องจ่ายราคาสำหรับสิ่งที่เคยปกปิด
ยามแรกที่มายังหนานจ้าว เห้อเหลียนเป่ยหมิงขอให้เธอเปิดเผยตัวตนและจุดประสงค์ในการมาเมืองหลวง เธอบอกทุกอย่างยกเว้นสองสิ่ง ของศักดิ์สิทธิ์กับราชบุตรเขย
เห้อเหลียนเป่ยหมิงถูกจับขังเพราะซ่อนตัวซื่อจื่อแห่งเมืองเยี่ยน หลังจากที่เขาติดคุกก็ได้ข่าวลือว่าราชบุตรเขยคือเยี่ยนอ๋อง เห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่ได้ไปที่ตำหนักจินหลวน คิดว่าที่มาถามพวกเขาในวันนี้ เพราะต้องการตรวจสอบความจริงของข่าวลือที่ได้ยินมา
แต่อย่างไรก็ยอมรับต่อหน้าองค์ประมุขแห่งหนานจ้าวไปแล้วครั้งหนึ่ง จะยอมรับอีกครั้งก็มิได้เสียหายอย่างใด
ณ ห้องตำรา
เห้อเหลียนเป่ยหมิงถามถึงเรื่องของราชบุตรเขยจริงๆ “…เป็นบิดาของเจ้าจริงหรือ?”
“ลุงใหญ่ไม่รู้หรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร?”
“ลุงใหญ่นิ่งเฉยไม่ทำสิ่งใด มิใช่เพราะได้รับคำแนะนำจากราชบุตรเขยแล้วหรอกหรือ?”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงสำลัก เหตุใดเรื่องนี้ บุรุษผู้นี้ก็ยังเดาออก?
ถูกต้อง ครึ่งชั่วยามก่อนที่เขาจะถูกประกาศให้เข้าวัง เขาได้รับจดหมายจากราชบุตรเขย จดหมายฉบับนี้กล่าวว่าไม่ว่าองค์ประมุขจะเรียกเขาไปถามสิ่งใด อย่าได้รีบร้อนโต้แย้ง
เขาไม่ได้ติดต่อกับราชบุตรเขยมากนักและอาจกล่าวได้ว่าไม่เคยมีความสัมพันธ์เป็นการส่วนตัว จู่ๆ ราชบุตรเขยก็ส่งจดหมายมาถึงเขา เขาจึงลังเลที่จะทำด้วยความซื่อสัตย์อยู่เล็กน้อย
แต่ในช่วงเวลาที่องค์ประมุขเรียกตัวเขา เขาเลือกที่จะเชื่อคำพูดของราชบุตรเขย เขาเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเหตุใดเขาถึงเชื่อใจบุรุษที่อาจเป็นศัตรูทางการเมืองของเขา
ต่อมา เขาก็ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเยี่ยนอ๋องในห้องขัง
แต่ในจดหมายราชบุตรเขยไม่ได้กล่าวสิ่งใด
ดังนั้น เขาจึงเป็นคนสุดท้ายที่ได้ยินข่าว
และเขาก็ไม่แน่ใจ ว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘ข่าว’ นี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่
“เป็นความจริง” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
เห้อเหลียนเป่ยหมิงสูดหายใจ จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใด
นานทีเดียว กว่าเขาจะได้เสียงกลับมา “เจ้า…เจ้า…พวกเจ้า…เจ้าก็…”
เขามองไปที่อวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างแผ่วเบา “ใช่ ข้าก็รู้เหมือนกัน”
หน้าอกของเห้อเหลียนเป่ยหมิงเคลื่อนขึ้นลง “เจ้าปกปิดเรื่องสำคัญเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร? หากปกปิดก่อนหน้านี้ยังพอเข้าใจ ทว่ายามนี้รู้แล้วว่าตนเองเป็นคนของสกุลเห้อเหลียนก็ยังปกปิดข้าอีกหรือ?! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกือบมีโทษใหญ่เพียงใด?”
เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข เป็นหลานสาวแท้ๆ เป็นลูกเขย ตีให้ตายไม่ได้…
เห้อเหลียนเป่ยหมิงท่องอยู่ในใจหลายสิบครั้ง กระทั่งค่อยๆ ระงับโทสะลงและมองไปยังคนทั้งสองด้วยสายตาอันเฉียบคม “หากในใจพวกเจ้ายังมีลุงใหญ่ผู้นี้ วันนี้จงบอกกับข้าที่นี่ให้กระจ่าง ยังมีสิ่งใดอีกที่ปกปิดข้า?”
“ต้องพูดจริงๆ หรือ?” อวี๋หวั่นถามพร้อมกับก้มหัว
ยังมีเรื่องปิดบังเขาอยู่จริงๆ? ! !
เห้อเหลียนเป่ยหมิงโกรธจนควันแทบขึ้นหัว “จงบอกมาตามตรง! ไม่อนุญาตให้ปิดบังแม้แต่เรื่องเดียว!”
“อ้อ” อวี๋หวั่นเม้มริมฝีปาก “ของศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือข้าเจ้าค่ะ”
เห้อเหลียนเป่ยหมิง “…”
เห้อเหลียนเป่ยหมิง “!!!”
ดรุณีผู้นี้ว่าอย่างไรนะ?
ของศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกขโมยไปของหนานจ้าวอยู่ในมือนาง?
เหตุใดถึงไปอยู่ในมือนางได้? !
“จะโทษข้าไม่ได้นะ ของศักดิ์สิทธิ์ถูกขโมยมานานแล้ว แต่ประมุขหญิงปิดบังไม่ยอมกล่าว ข่าวเล็ดลอดไปทั่วยุทธจักร์ มีคนฉกชิงไป ข้าค่อนข้างโชคร้าย ใช้ชีวิตอยู่ดีๆ ก็ถูกคนโยนของศักดิ์สิทธิ์ลงในตะกร้าของข้า”
โชค…โชคร้าย?
โชคร้ายเช่นนี้ ให้ประมุขหญิงดีหรือไม่?
เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข เป็นหลานสาวแท้ๆ เป็นลูกเขย ตีให้ตายไม่ได้…
เห้อเหลียนเป่ยหมิงท่องอยู่ในใจหลายสิบครั้ง และสูดหายใจ เขาพบว่าเสียงของตนเองเริ่มสั่นเครือ “ยัง…ยังมีสิ่งใดอีก?”
“เสี่ยวเป่าเรียกหาเจ้า” เยี่ยนจิ่วเฉาพูดกับอวี๋หวั่น
“เช่นนั้นหรือ?” อวี๋หวั่นเงยหน้าขึ้นมองด้วยความงุนงง
“ใช่” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อ้อ ลุงใหญ่ ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ เรื่องของศักดิ์สิทธิ์ไว้คราหน้าข้าจะเล่าให้ท่านฟังภายหลัง” อวี๋หวั่นกล่าวพร้อมกับหันตัวกลับไปหาเสี่ยวเป่า
สายตาของเห้อเหลียนเป่ยหมิงตกกระทบใบหน้าเยี่ยนจิ่วเฉา “เจ้าก็…”
เขาใคร่จะกล่าวว่า เจ้าก็ไปเถิด ให้ข้าอยู่กับตัวเองสักหน่อย
ไหนเลยจะรู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะเอ่ยขัดขึ้น
“อวี๋หวั่นคือองค์หญิงน้อย ส่วนมารดาของนางคือตี้จีแห่งหนานจ้าว”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงตาเหลือกสลบไป!
…………
คืนเดือนมืดลมกรรโชก
ซิวหลัวดับไฟและออกเดินทางเพื่อปฏิบัติภารกิจ
เขากำลังจะไปลอบสังหารคนคนหนึ่ง
เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีสิ่งใดผิดพลาด หนานกงหลีได้ตรวจสอบข้อมูลของอีกฝ่ายกับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าและแสดงภาพของคนผู้นั้นให้เขาดู
ใบหน้าขององค์หญิงน้อยและตี้จีองค์โตมีความคล้ายคลึงยิ่งนัก หนานกงหลีกำชับเขาว่าอย่าได้ฆ่าคนผิด
ฮึ เขาไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย จะฆ่าผิดคนได้อย่างไร?
ซิวหลัวไปฆ่าคนแล้ว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซิวหลัวฆ่าคน ไม่มีสิ่งใดต้องกลัว แค่บีบและหักคออีกฝ่ายก็เท่านั้น
จวนเห้อเหลียนมีหน่วยกล้าตายและทหารยามเฝ้าอยู่ในความมืด
ซิวหลัวแวบกายเฉียดผ่านหน่วยกล้าตายนายแรกที่อยู่ด้านข้าง
หน่วยกล้าตายไม่สังเกตเห็น
ซิวหลัวกลับมาแวบกายแฉลบผ่านเขาอีกครั้งพร้อมกับแลบลิ้นใส่
แบร่ แบร่ แบร่
หน่วยกล้าตายยังคงไม่เห็น
ซิวหลัวกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย หันหลังกลับลอบเข้าจวน
เขามุ่งหน้าไปที่เรือนชีสยาย่วนก่อน
พวกของอาม่าสลบไปตั้งแต่ที่เขาเริ่มปรากฏตัว ยามนี้จึงเงียบสงบเป็นอย่างมาก
อาม่านั่งสมาธิต่อไป
เยว่โกวก็ฝึกมวยต่อ
ส่วนคนอื่นๆ ไม่รู้ว่าไปทำอะไรกันหมด มีเพียงอาเว่ยที่นั่งอยู่ในลาน กำลังฝึกฝนวิชาพิษอย่างจริงจัง
ซิวหลัวเท้าเอวจ้องมองทุกคน
ข้ามา——
“มาแล้วหรือ?” อาเว่ยพูดพร้อมกับชี้หม้อที่อยู่ข้างๆ “ต้มสุกแล้วละ เย็นลงพอดีแล้ว กินได้เลย เอาถุงใส่น้ำมาให้ข้าสิ”
อึก~
ซิวหลัวผู้มาเพื่อสังหารคนกลืนน้ำลาย และส่งขวดนมให้อย่างเชื่อฟัง
เพื่อนดื่มนมตัวน้อยไม่อยู่
ช่างเป็นการดื่มที่เปลี่ยวเหงายิ่งนัก
เอ๊ะ?
นี่ไม่ถูกต้อง!
เขามา——
“มาแล้วรึ?” อวี๋หวั่นเดินออกจากห้องครัวเล็กมาพร้อมกับชามยาพลางแตะหน้าผากซิวหลัว ไม่ร้อนแล้ว เธอถอนมือกลับ “พอดีเลย ดื่มยาเสียสิ”
ซิวหลัวจับขวดนมหันหลังให้โดยไม่หยุดดื่ม
ไม่ดื่ม
“หากไม่ดื่มยาแล้วเจ้ามาทำอันใด?”
สังหาร
ซิวหลัวเงยหน้าขึ้นมองอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นก็จ้องมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง เขารับชามยามา จากนั้นก็บีบจมูกและดื่มจนหมดในคราวเดียวแต่โดยดี
เอาละ ในที่สุดตอนนี้ก็ไปฆ่าคนได้แล้ว
ซิวหลัวยื่นชามยาและคืนขวดนมให้เธอ
หลังจากนี้เขาจะไม่กลับมาอีกแล้ว
หลังจากฆ่าคนแล้ว เขาจะไม่ข้องเกี่ยวกับที่แห่งนี้อีก
เขาคือซิวหลัวผู้มีเส้นตายที่ชัดเจน
เขาไม่อาจฆ่าคนอื่น แล้วยังมาดื่มนมแพะของคนอื่นได้
ลาก่อนตลอดกาล
ซิวหลัวถือดาบที่มองไม่เห็นไปที่สวนอู๋ถงด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
สายลมยามราตรีพัดผมของเขาให้ปลิวไหวราวกับผีร้ายที่วนเวียนอยู่บนโลกมนุษย์
ยามเดินผ่านห้องหลัก ฮูหยินผู้เฒ่าก็พุ่งออกมาและผลักเขาจนล้มลงกับบันได “หนิวตั้นนนน——”
ซิวหลัวที่ตกตะลึง “…”
…………………………………………