เมื่อหนานกงหลีเดินออกจากเรือนจำ ก็เห็นมารดาและบุตรทั้งสี่ที่พร้อมจะเดินทางบนทางเดินหินสีน้ำเงิน
อวี๋หวั่นสวมกระโปรงสีน้ำเงินทะเลสาบ แขนเสื้อกว้างโปร่งแสง เธอผอมเพรียวสง่างามราวเด็กหญิงแรกแย้ม
ไข่ดำทั้งสามข้างหลังเธอ มีหัวโล้นกลมและดำทะมึน ทว่าไม่เพียงแต่ไม่น่าเกลียด กลับยังดำสวยและน่ารักยิ่ง
ในขณะนี้ ความริษยาที่หนานกงหลีระงับได้ในที่สุดก็กลับมาสู่หัวใจอีกครั้ง
เขาเก่งกว่าเยี่ยนจิ่วเฉาแล้วอย่างไร? กลับไม่ได้แต่งงานกับสตรีที่งดงามและสูงส่งเช่นนี้ และก็ไม่ได้ให้กำเนิดเด็กขาว…เอ่อ เด็กหยกสลักดำเช่นนี้
ในไม่ช้า หนานกงหลีก็ตระหนักอีกสิ่งหนึ่ง นั่นคือ เหตุใดพวกเขาทั้งสี่ถึงเก็บสัมภาระกันมาหมดแล้ว? หรือพวกเขาเตรียมตัวย้ายเข้าจวนประมุขหญิงตั้งแต่แรก?
หนานกงหลีนึกถึงเรื่องที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงอวดอ้างทักษะทางการแพทย์ของหมอเทวดาชุย การฟื้นคือชีพอันใดนั่น มองว่ามันเป็นแค่ป้ายหน้าร้านเท่านั้น เขาเพียงต้องการใช้โอกาสเปิดเผยเรื่องราชบุตรเขยถูกวางยา เพื่อกระตุ้นความสงสัยขององค์ประมุขมากกว่า
คดียังไม่สิ้นสุด องค์ประมุขจะไม่ยอมมอบตัวราชบุตรเขยให้โดยง่าย แต่จวนประมุขหญิงมีเรื่องน่าสงสัย จึงให้เยี่ยนจิ่วเฉาย้ายเข้าไปอยู่ในจวนเดียวกัน
อุบายนี้ผู้ใดเป็นคนคิด? เดาพระทัยขององค์ประมุขได้ทะลุปรุโปร่งยิ่งนัก!
หนานกงหลีมองเยี่ยนจิ่วเฉา
เด็กป่วยที่ไม่มีวิชาความรู้ผู้นี้น่ะรึ?
หรือเห้อเหลียนเป่ยหมิง?
ไม่ว่าเป็นผู้ใด ในวันนี้เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็เป็นศัตรูอย่างเปิดเผยกับจวนประมุขหญิง ซึ่งแทบจะเป็นตำแหน่งที่ชัดเจน
แน่นอนว่าหนานกงหลีไม่รู้ว่านี่เป็นการสานให้บรรลุผลสำเร็จ หรือรนหาที่ตายที่ทำให้สถานการณ์นี้เกิดขึ้น ในความคิดของเขา จวนเห้อเหลียนขึ้นบนเรือของตี้จีองค์โตมาตั้งแต่แรกเริ่ม หนานกงหลีรู้ว่าพวกเขาสมรู้ร่วมคิดกันและไม่ควรเมตตาคนของเห้อเหลียนเป่ยหมิงแต่แรก
หากเห้อเหลียนเป่ยหมิงตาย บ้านรองก็คงได้ตำแหน่งผู้สืบทอดไปแล้ว ถึงมีอวี๋เซ่าชิงมาหลังจากนั้นแล้วอย่างไร? หรือมีตี้จีองค์โตแล้วอย่างไร?
แต่มันสายเกินไปที่จะพูดถึงในตอนนี้
หมากนี้ของจวนเห้อเหลียน ต้องการให้ตี้จีองค์โตคว้าโอกาสนี้
ในไม่ช้า ราชบุตรเขยก็ถูกพาตัวออกไป อวี๋หวั่นกับชุยเฒ่าเข้าไปในรถม้า
เยี่ยนจิ่วเฉายังคงอยู่ที่เดิม
หลังจากนั้นไม่นานองค์ประมุขก็ออกมา
ต้าเป่าเห็นท่านปู่ที่ ‘เคยป้อนอาหาร’ พลันวิ่งเข้ามากอดขาขององค์ประมุข
เมื่อเห็นพี่ชายของเขากอดขา เสี่ยวเป่าก็งงงวยอยู่สักพัก จากนั้นก็วิ่งไปกอดขาอีกข้าง
ไม่รู้เหตุใดถึงอยากกอดขา…
พี่ชายน้องชายไปหมดแล้ว เอ้อร์เป่าไม่อาจรั้งท้าย วิ่งเข้าไปกอดเช่นกัน
ไข่ดำทั้งสามเกาะขาขององค์ประมุขอยู่อย่างนั้น
องค์ประมุขที่กริ้วจนตายไปครึ่งหนึ่งเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน จู่ๆ ยามนี้พระพักตร์กลับแย้มพระสรวลสดใส
หนานกงหลีกลับมาที่หนานจ้าวก็เริ่มจำได้เล็กน้อย ในความทรงจำของเขา นอกจากฮองเฮาแล้วไม่เคยเห็นองค์ประมุขมีใบหน้ายิ้มแย้มสดใสเช่นนี้กับผู้ใด แม้แต่เขาที่เป็นหลานชายแท้ๆ ก็ตาม
แต่อาจเพราะเขาผ่านวัยที่น่าพึงพอใจที่สุดมาแล้ว
หนานกงหลีไม่มีทางยอมรับว่าองค์ประมุขโปรดปรานสายเลือดของตี้จีองค์โตมากกว่าเขา
องค์ประมุขยังไม่รู้ความจริง หากเขารู้ เกรงว่าสายเกินไปที่จะกลับใจไม่ชอบเด็กพวกนี้เสียแล้ว
“หวังเต๋อฉวน”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ขันทีหวังถือไม้ปัดฝุ่นเดินเข้ามา
องค์ประมุขลูบหัวโล้นของคนตัวเล็ก ความอ่อนโยนฉายในดวงตาโดยที่เขาก็ไม่ทันสังเกตเห็น “เจ้าไปจวนกับเยี่ยนซื่อจื่อ ดูแลทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับมาที่วัง”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหวังตอบอย่างเรียบเฉย
แต่ใจเป็นสุข
ฮ่าๆๆ จะได้ลูบไข่แล้ว! ! !
ขันทีหวังไปส่งพวกเยี่ยนจิ่วเฉาด้วยตนเอง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้รับอนุญาตจากองค์ประมุข แต่ความหมายค่อนข้างแตกต่างกัน หากพวกเขาไปด้วยตนเอง พวกเขาก็เป็นแขก ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของจวนประมุขหญิง แต่หากขันทีหวังออกหน้า เป็นตัวแทนขององค์ประมุข แม้แต่จวนประมุขหญิงก็ไม่อาจไม่ไว้หน้าพวกเขา
ขันทีหวังอุ้มไข่ดำทั้งสามเข้าไปในรถม้าอย่างมีความสุข
เยี่ยนจิ่วเฉาอำลาเห้อเหลียนเป่ยหมิง
หลังจากพวกเขาเข้าไปในรถม้าที่จะเดินทางออกจากวัง อวี๋กังก็กล่าวอย่างระแวดระวัง “ท่านแม่ทัพใหญ่ พวกเขาไปที่จวนประมุขหญิงเช่นนี้จะไม่มีปัญหาหรือขอรับ?”
“มีปัญหาคงเป็นจวนประมุขหญิงมากว่า เจ้าเคยเห็นคนใจดำสองคนนี้ต้องสูญเสียหรือไม่?” เห้อเหลียนเป่ยหมิงทนไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไป ว่าเขาถูกคนใจดำสองคนนี้ลากลงไปในน้ำได้อย่างไร ส่วนไข่ดำทั้งสามเขาไม่กังวลแม้แต่น้อย พวกเขาไม่เชื่อฟังคนอื่นก็นับว่าดีแล้ว แต่หากคนอื่นคิดจะกลั่นแกล้งพวกเขาหรือ? ชาติหน้าเถอะ
เพียงแต่ว่า จู่ๆ ครอบครัวที่มีชีวิตชีวาก็ย้ายออกไป ภายในจวนอ้างว้าง หัวใจกลับหวนคิดถึงอย่างประหลาด
“โชคดีที่เจ้ายังต้องอยู่กับแม่ทัพใหญ่ผู้นี้” เห้อเหลียนเป่ยหมิงลูบจิ้งจอกหิมะตัวน้อยบนตัก
จิ้งจอกหิมะกลอกตา
หากเอาอุ้งเท้าของเจ้าออกไปได้ค่อยพูด!
…
จวนประมุขหญิงอยู่ไม่ไกลจากวังหลวง นั่งรถม้าไปถึงได้ในเวลาหนึ่งถ้วยชา
เดิมทีหนานกงหลีต้องการทำให้เยี่ยนจิ่วเฉาอับอาย ไม่เปิดประตูหน้าของจวนประมุขหญิงแต่ให้เข้าจากประตูหัวมุมแทน ทว่ายามนี้มีขันทีหวังที่รับบัญชาจากองค์ประมุขมาด้วย แผนการอันน่าอัปยศนี้จึงต้องล้มเลิกไปในที่สุด
ประตูหน้าเปิดอยู่ คนกลุ่มหนึ่งเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย
จวนประมุขหญิงครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง ใหญ่ยิ่งกว่าจวนเห้อเหลียนทั้งปีกตะวันออกและตะวันตกรวมกัน ภูมิทัศน์ก็น่าอยู่ ว่ากันว่าต้นไม้ใบหญ้า อิฐกระเบื้อง ศาลาพลับพลา ศาลาริมน้ำและสวนต่างก็ถูกสร้างขึ้นตามความชื่นชอบของราชบุตรเขย
สิ่งนี้ทำให้อวี๋หวั่นนึกถึงจวนคุณชายที่เมืองจิงเฉิง
เพียงแค่จวนคุณชายไม่ใช่ที่อยู่ถาวรของเยี่ยนจิ่วเฉา
ไข่ดำทั้งสามไม่หวาดกลัวคนแปลกหน้าหรือสถานที่แปลกตา เมื่อมาถึงจวนที่ดูแปลกตา ก็ไม่อาจควบคุมตัวเอง หลังแบกกระเป๋า ยืดอกเล็กๆ ก้าวเท้าโดยไม่ไว้หน้าใคร เดินเต๊ะท่าไปตามทางเล็กๆ!
หากใครไม่รู้ ก็คงคิดว่าพวกเขาเป็นคุณชายของจวน
“ไม่ทราบว่าประมุขหญิงทรงประทับอยู่ที่ใด? ข้าน้อยจะไปคารวะนางสักหน่อย” ขันทีหวังกล่าว
ดวงตาของหนานกงหลีเกิดประกายวาบ พลันกล่าวอย่างสุภาพ “ช่วงนี้ท่านแม่เก็บตัวครุ่นคิดอยู่ในห้อง เรื่องคารวะเอาไว้ก่อนเถิด หากมีเรื่องอันใด ขันทีหวังก็ฝากข้าแทน”
“อา” ขันทีหวังพยักหน้า คารวะเป็นเพียงคำพูดสุภาพ เพื่อจัดการเรื่องราชบุตรเขยให้ดี เขาไม่สนใจว่าราชบุตรเขยเคยอยู่ที่ใดมาก่อน แต่ในอนาคตราชบุตรเขยอยู่ที่ใด มิใช่สิ่งที่จวนประมุขหญิงกล่าวแล้วต้องทำตาม
ขันทีหวังเอ่ยถามเป็นพิธี “ราชบุตรเขยต้องการพักฟื้นอย่างระมัดระวัง ข้าเกรงว่าลานเดิมจะไม่เหมาะสมเท่าใดนัก องค์ชายโปรดหาลานสะอาดให้ราชบุตรเขยและเยี่ยนซื่อจื่อด้วย”
สิ่งนี้ขัดแย้งกับแผนเดิมของหนานกงหลี หากขันทีหวังไม่ได้มา เขาก็หมายให้ราชบุตรเขยอยู่ที่เรือนของเขาและให้เยี่ยนจิ่วเฉาอยู่ที่เรือนหลังเล็ก ทว่ายามนี้เขากลับต้องเตรียมลานแยกสำหรับราชบุตรเขย
“จวนประมุขหญิงใหญ่โตเพียงนี้ เรือนสะอาดสักหลังสองหลังคงไม่ขาดแคลนกระมัง? เป็นเรือนที่มีบริเวณกว้างขวางพอที่เด็กๆ จะอาศัยอยู่ด้วยก็จะดี” ขันทีหวังกล่าวและมองไปที่คนผิวดำตัวน้อยที่หยิ่งผยองทั้งสาม องค์ประมุขส่งเขามา ใช่ต้องการมอบความสะดวกสบายแก่เยี่ยนซื่อจื่อที่ใด? เห็นได้ชัดว่าปล่อยเด็กพวกนี้ไปไม่ลง
เมื่อเอ่ยปากเช่นนี้ จะมอบลานไม่ดีให้คงเป็นไปไม่ได้
หนานกงหลีแอบกัดฟัน ชี้ไปที่ลานกว้างทางทิศตะวันออก “ไม่ทราบว่าขันทีหวังเห็นว่าที่นี่เป็นอย่างไร?”
ขันทีหวังไม่ตอบ แต่หันไปมองเยี่ยนจิ่วเฉาที่อยู่ข้างๆ “เยี่ยนซื่อจื่อคิดว่าอย่างไร?”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ตอบ แต่จ้องมองเด็กน้อยหัวโล้นทั้งสาม
ไข่ดำทั้งสามไม่แม้แต่มองตรงๆ ทว่าสาวเท้าเดินผ่านไป!
เรือนเล็กเช่นนี้!
เอาไว้เลี้ยงไก่รึ!
ขันทีหวังยิ้มจางๆ “เช่นนั้นโปรดองค์ชายหาลานอื่นเถิด”
มุมปากของหนานกงหลีกระตุก
คนทั้งกลุ่มเดินต่อไปสักพัก หนานกงหลีก็ชี้ไปที่ลานกว้างทางขวามือ “ลานนี้เป็นที่ที่ข้าเคยร่ำเรียน มีสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบและเหมาะสำหรับการอยู่อาศัยยิ่งนัก”
ไข่ดำทั้งสามส่งเสียงฮึดฮัด รีบเดินผ่านไป!
ไม่ไหว ไม่ไหว!
ใบหน้าของหนานกงหลีเปลี่ยนเป็นสีเถ้าถ่าน
ขณะนี้ราชบุตรเขยยังคงอยู่บนรถม้า โดยมีอวี๋หวั่นกับชุยเฒ่าเฝ้าอยู่
สิ่งที่หนานกงหลีขุ่นเคืองคือเขาเลือกเรือนให้ราชบุตรเขย หรือเด็กพวกนี้กันแน่?
หนานกงหลีระงับความโกรธ กล่าวกับขันทีหวัง “กล่าวตามตรง อาการป่วยของท่านพ่อต้องได้รับการพักฟื้น เด็กๆ เสียงดังอาจไม่สะดวกนัก”
ขันทีหวังจ้องมอง “พวกเขาเสียงดังหรือ? ตั้งแต่เข้ามาในจวน พวกเขายังไม่ได้เอ่ยสิ่งใดสักคำ!”
กลับเป็นเจ้าที่จ๊อกแจ๊กมาตลอดทาง!
อย่างกับนกหวีด!
หนานกงหลีโกรธแทบหงายหลัง
หนานกงหลีจงใจจัดให้พวกเขาอยู่ในลานใกล้กับเขาและประมุขหญิง แต่เด็กทั้งสามไม่ชอบ คนที่ไม่เกรงใจนั้นเคยพบ ทว่าไม่เคยพบคนที่ไม่เกรงใจถึงเพียงนี้ นี่มันจวนใครกันแน่? ! !
ทั้งสามเดินไปอย่างรวดเร็ว ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ห่างไปไกลแล้ว
หลังจากเดินวนรอบใหญ่ ในที่สุดไข่ดำก็พบเรือนที่พวกเขาชอบ
ในลานมีชิงช้า มีสระน้ำ มีปลาและดอกไม้หลากสี!
ดวงตาของไข่ดำทั้งสามส่องสว่างทอประกายในฉับพลัน!
ยามนี้อวี๋หวั่นก็มาแล้ว
“อยากเข้าไปดูข้างในหรือไม่?” อวี๋หวั่นถาม
ทั้งสามคนพยักหน้าบ้องแบ๊ว
ในความเป็นจริง อวี๋หวั่นไม่ได้เป็นคนจู้จี้จุกจิกเกี่ยวกับเรือน เธอสามารถอยู่ได้ทุกที่ แต่เนื่องจากองค์ประมุขให้สิทธิ์พวกเขาเลือก พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องเกรงใจจวนประมุขหญิง
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปในเรือนพร้อมกับเด็กน้อยสามคน
เธอตั้งใจที่จะลองดูก่อน แต่สุดท้ายมันก็เหมาะสมจริงๆ
เมื่อเท้าหน้าของเธอก้าวข้ามธรณีประตู เสียงแหลมก็ดังขึ้นจากด้านหลังเธอ
“บังอาจ! หยุดอยู่ตรงนั้น! ผู้ใดอนุญาตให้พวกเจ้าเข้าไปในเรือนของข้า?”
ไข่ดำทั้งสามวิ่งไปที่สวนหลังเรือนแล้ว อวี๋หวั่นขอบคุณที่พวกเขาไม่ได้ยิน ส่งสัญญาณให้จื่อซูกับฝูหลิงติดตามพวกเขาไป
จื่อซูกับฝูหลิงก้าวเข้าไป
ดวงตาขององค์หญิงน้อยถลึงมอง “เจ้าหูหนวกรึ? ไม่ได้ยินที่ข้าพูดรึ? ออกมาให้หมด!”
องค์หญิงน้อยโกรธจัด วิ่งไปหมายจะดูว่าผู้ใดกล้าหยิ่งผยองใต้จมูกของนาง กลับพบว่าคนผู้นั้นก็คืออวี๋หวั่น
นางขมวดคิ้ว “เป็นเจ้า? ไยเจ้าเข้ามาที่จวนประมุขหญิงได้?”
อวี๋หวั่นปัดแขนเสื้อกว้างอย่างเฉยเมย และพูดว่า “ก็เดินเข้ามาน่ะสิ เจ้าตาบอดรึ? มองไม่เห็น”
องค์หญิงน้อยยังไม่รู้ว่าราชสำนักเกิดอะไรขึ้น นับประสาอะไรกับเรื่องอวี๋หวั่นเป็นบุตรีจวนเห้อเหลียน นางยังคงคิดว่าเธอเป็นสตรีบ้านนอกที่มาจากชนบท
เมื่อฟังอวี๋หวั่นเยาะเย้ยตนเช่นนี้ก็โกรธจัด “เจ้ามันตัวอันใด! กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้กับข้า! เชื่อหรือไม่ข้าจะสับหัวเจ้า!”
อวี๋หวั่นยิ้มจางๆ “เจ้าละตัวอันใด? หากแน่จริงก็สับสิ”
“เจ้าๆๆๆ…” องค์หญิงน้อยโกรธจนพูดติดอ่าง!
อวี๋หวั่นมองข้างลานที่นับว่าเงียบสงบ และหันกลับมายิ้มให้นาง “เรือนเจ้ารึ?”
องค์หญิงน้อยตะลึง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเธอถึงถาม แต่ก็ไม่ได้สนใจและกล่าวอย่างโอ้อวด “ใช่สิ เพิ่งสร้างขึ้นใหม่! อิจฉาแล้วกระมัง? เจ้าคงไม่เคยเห็นเรือนที่ดีเช่นนี้มาก่อนในชีวิตกระมัง? ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเติบโตมาในตลาด และได้ไปอยู่จวนเห้อเหลียนโดยบังเอิญ แต่เจ้าก็เป็นแค่ลูกสะใภ้ เขาจะปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนแก้วตาดวงใจได้อย่างไร?
ข้าไม่เป็นเช่นนั้น ข้าเป็นบุตรสาวของท่านแม่ เป็นองค์หญิงน้อยแห่งจวนประมุขหญิง มีเพียงข้าเท่านั้นที่คู่ควรกับเรือนที่ดีเช่นนี้”
นางพูดพล่ามยิ่งนัก อวี๋หวั่นฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา มีเพียงประโยคแรกที่เข้าหัว
อวี๋หวั่นพึมพำ “เช่นนี้ก็แปลว่ายังไม่มีผู้ใดเคยอยู่?”
องค์หญิงน้อยดูถูกเหยียดหยาม “ก็บอกแล้วสร้างขึ้นใหม่! นอกจากข้า ผู้ใดกล้าเข้าไป!”
อวี๋หวั่นพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เช่นนั้นก็ดี เรือนหลังนี้ ข้าเอาละ”
องค์หญิงน้อยถลึงตา
อวี๋หวั่นมองไปที่ทหารยามที่อยู่ข้างๆ “ไปแจ้งเยี่ยนซื่อจื่อกับขันทีหวังว่าเราจะอยู่ที่นี่”
องค์หญิงน้อยตกตะลึง “เยี่ยน…เยี่ยนซื่อจื่ออันใด? กับขันทีหวังอันใด? เจ้าคนบ้านนอก เจ้าพูดอันใด? นี่คือเรือนของข้า! ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าอยู่!”
อวี๋หวั่นคลี่ยิ้มเบาๆ “ก็ข้าจะอยู่”
เอ่ยจบก็ข้ามธรณีประตูไป “ฝูหลิง ส่งแขก”
“เจ้ากล้า?!”
องค์หญิงน้อยม้วนแขนเสื้อก้าวไปข้างหน้า กำลังจะจิกผมของอวี๋หวั่น
ก็ถูกฝูหลิงรูปร่างกำยำบึกบึนอุ้มนางราวกับไก่น้อย โยนออกไปจากเรือน!
…………………………………………