หนานกงเยี่ยนมีชีวิตอยู่มาครึ่งชีวิต พบเจอผู้คนมามาก แต่นางกลับพลาดพลั้งด้วยน้ำมือของเยี่ยนจิ่วเฉามาไม่รู้กี่ครั้ง
ใต้หล้านี้มีผู้ชายอย่างเขาอยู่ได้อย่างไรกัน?
จะบอกว่าเขาใจจืดใจดำ เขาก็สามารถยอมรับพ่อที่ทิ้งตนไปนับสิบปีได้ทันที
จะบอกว่าเขาใจดี เขาก็เพิ่งจะสังหารน้องชายต่างแม่ด้วยสีหน้าไม่รู้สึกรู้สาอะไร
หนานกงเยี่ยนนึกถึงครั้นราชทูตซึ่งไปเยือนต้าโจวกลับมาและบรรยายถึงเยี่ยนจิ่วเฉา จะใช้คำใดมาอธิบายเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้นอกจากคำว่า ‘คนบ้า’
บุรุษผู้นี้เป็นคนบ้าจริงๆ บ้าเสียยิ่งกว่าบ้า
เขามีความกล้าในระดับที่คนบ้าเท่านั้นจะมี เขาทำในสิ่งที่คนบ้าเท่านั้นจะทำ แตกต่างกันตรงที่คนบ้าไม่มีความคิดตัดสินใจ แต่เขามี การกระทำทุกอย่างของเขาแม้จะดูตามอำเภอใจตัวเองไปสักหน่อย แต่ทั้งหมดล้วนเล็งไปยังจุดตายของอีกฝ่าย
นอกจากนั้นแล้ว เขายังมีพลังความน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้คนรู้สึกเย็นวาบจับขั้วหัวใจ
หนานกงเยี่ยนเกิดมาเพื่อชนะ นางเกิดมาเป็นธิดาขององค์ประมุขแห่งหนานจ้าว ตั้งแต่เกิดมานางไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด นางรู้สึกยำเกรงเมื่ออยู่ต่อหน้าบิดา รู้สึกกระสับกระส่ายเมื่ออยู่ใกล้ราชบุตรเขย แต่เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นคนแรกที่ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวไปจนถึงกระดูก
ยามเผชิญหน้ากับเขา นางรู้สึกได้ว่าแม้แต่จิตวิญญาณของนางก็พลอยสั่นเทิ้มไปด้วย
และแน่นอนว่านางเกลียดเขาเหลือเกิน!
นางเกลียดและโกรธที่เขาไม่ตายไปตั้งแต่แรก แต่ยังมาปรากฏตัวที่นี่หลังจากนั้นหลายปี ทำลายชีวิตอันสงบสุขของนางและราชบุตรเขย
เดิมทีพวกเขาเป็นครอบครัวที่อบอุ่น แต่ที่ต้องเละเทะไม่เป็นท่าเช่นนี้ก็เพราะเขา
ราชบุตรเขยไม่ต้องการนางแล้ว องค์ประมุขก็ทอดทิ้งนาง และเป็นเพราะเยี่ยนจิ่วเฉาพาผู้หญิงคนนั้นมา ทำให้ราษฎรทั้งหนานจ้าวรังเกียจนาง
นางทำผิดอะไร? นางต้องมีจุดจบเช่นนี้หรือ!
หนานกงเยี่ยนไม่คิดว่าที่จริงแล้วเรื่องทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นจากตัวนางเอง ครอบครัวที่แท้จริงก็คือครอบครัวของเยี่ยนอ๋องสามคนพ่อแม่ลูกต่างหาก เป็นนางที่แย่งเยี่ยนอ๋องมา เป็นนางที่วางยาเยี่ยนจิ่วเฉา และเป็นนางที่ทำข้อตกลงเรื่องสัตว์ศักดิ์สิทธิ์กับสำนักนอกรีตนั่น
หนานกงเยี่ยนคิดว่าตนจะทำให้ราชบุตรเขยดีใจ สุดท้ายทุกอย่างก็ถูกเยี่ยนจิ่วเฉาทำลายจนแหลกเหลวไม่เป็นชิ้นดี นางไม่เหลือข้อต่อรองอีกต่อไป ราชบุตรเขยไม่มีทางกลับมาอยู่ข้างกายนางอีกแล้ว…
หนานกงเยี่ยนโมโหจนหมดสติไป
“คุณชาย” อิ่งสือซันมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “โยนออกไป”
“ขอรับ!”
อิ่งสือซันจับเสื้อคลุมของหนานกงเยี่ยนขึ้นมาราวกับหยิบถุงกระสอบ แล้วโยนออกไปด้วยความรังเกียจ
หลังจากที่เยี่ยนอ๋องอาบน้ำให้เด็กทั้งสามเสร็จ ก็จูงพวกเขาออกมาจากห้องน้ำ ทั้งสามเดินเข้าไปนอนบนเตียงอย่างว่าง่าย ชายเสื้อของเยี่ยนอ๋องเปียกชุ่ม เขาจึงกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
ระหว่างทางก็พบกับเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวว่า “หนานกงเยี่ยนมา”
เยี่ยนอ๋องยังคงมีสีหน้าเยือกเย็น ถ้าหากพิจารณาดีๆ ก็จะมองเห็นความเมินเฉยในความเยือกเย็นนั้น “นางมาทำอะไร”
เยี่ยนจิ่วเฉาจึงตอบไปตามความจริงว่า “นางบอกว่านางตั้งท้อง เป็นลูกของท่าน ข้าดููแล้วเพิ่งตั้งท้องได้ไม่นาน”
เยี่ยนอ๋องชะงักไป “ไม่ใช่ลูกข้า”
พูดจบ เขาก็เดินเข้าห้องไป
ไม่ได้บอกว่าอยากพบหน้านาง และไม่ได้ถามเยี่ยนจิ่วเฉาว่าจัดการนางอย่างไร
คำโกหกที่ถักทอมาเป็นเวลานับสิบปีได้ขาดสะบั้นลง สตรีผู้นั้นเป็นอย่างไร ไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีก
นางตั้งท้อง เด็กในท้องเป็นลูกของใครก็ไม่ใช่เรื่องของเขา และเป็นเพราะเขาไม่ยี่หระ ในใจจึงไม่เจ็บปวด
เยี่ยนอ๋องปิดประตูห้อง แล้วมองไปยังอีกฝั่งหนึ่งของเรือน ซั่งกวนเยี่ยนอาศัยอยู่ที่นั่น
“คุณชาย” อิ่งสือซันเดินมา “ท่านอ๋องเขา…”
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยขึ้นว่า “เขาไม่ได้โง่ จะไม่รู้เชียวหรือว่าก้อนเนื้อในท้องของหนานกงเยี่ยนไม่ใช่ลูกของตน? เรื่องของหนานกงหลีผ่านมานานแล้ว ตามสืบได้ยากนัก ไม่กี่เดือนมานี้เขาคงกระจ่างดี”
เยี่ยนอ๋องจิตใจดี ถูกผู้อื่นทำร้ายจนเป็นเช่นนี้ ความเจ็บปวดที่แบกรับไว้ย่อมมากกว่าคนทั่วไป ทว่าด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงกระจ่างในสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่าผู้ใด
เยี่ยนจิ่วเฉาเติบโตมาบนหน้าผาซึ่งห้อมล้อมไปด้วยทวนหอกคอยทิ่มแทง เขาถูกตามสังหารมาตั้งแต่เกิด เขามืดมน เย็นชา เด็ดขาด และไร้ความเห็นใจ แต่เยี่ยนอ๋องนั้นต่างออกไป แม้ว่าในวัยเยาว์จะถูกส่งไปอยู่ในตำหนักเย็นพร้อมกับมารดา กระนั้นเขาก็ยังเติบโตขึ้นมามีจิตใจบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
ไม่น่าแปลกใจที่เขาถูกหนานกงเยี่ยนหลอกมาได้นานหลายปี เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าโลกนี้จะมีด้านมืดเช่นนี้
อิ่งสือซันดีใจที่คุณชายของตนไม่ได้สืบทอดความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาจากเยี่ยนอ๋องมา แต่สืบทอดความเด็ดขาดและเย็นชาจากฮ่องเต้องค์ก่อนมา คุณชายเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก หากเขาเป็นคนใจอ่อน ป่านนี้คงจะถูกคนเหล่านั้นสับจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
เยี่ยนจิ่วเฉาปัดแขนเสื้อ “เอาละ ได้เวลาไปพบคนผู้นั้นแล้ว”
คนที่เดิมทีเยี่ยนอ๋องควรเป็นคนไปพบ
แต่อิ่งสือซันคิดไปคิดมา จึงตัดสินใจรายงานเรื่องนี้ต่อคุณชายก่อน
เยี่ยนจิ่วเฉากลับห้องไปเพื่อบอกอวี๋หวั่นว่าเขาจะออกไปข้างนอก ไม่ต้องรอ จากนั้นจึงพาอิ่งลิ่วและอิ่งสือซันไปยังเรือนอันเงียบสงบกลางใจเมือง
เรือนหลังนี้ตั้งอยู่กลางป่าไผ่ เงียบสงบ ห่างไกลผู้คน
โดยรอบมีหน่วยกล้าตายที่แข็งแกร่งคอยอารักขา
แต่นั่นก็ไม่ได้เกินความสามารถของอิ่งสือซัน ทุกวันนี้วรยุทธ์ของเขารุดหน้าไปมาก หลังจากประมือกันครู่หนึ่ง หน่วยกล้าตายหน้ากากทองก็ล้มลงจมกองเลือด
เยี่ยนจิ่วเฉามองซากศพบนพื้น แล้วแค่นเสียงอย่างเย็นชา “ใช้หน่วยกล้าตายที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ต้องให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายจริงๆ”
อิ่งสือซันถือกระบี่เข้าพุ่งตัวไปขวางเยี่ยนจิ่วเฉาและอิ่งลิ่ว “ระวัง มีค่ายกล!”
ทันทีที่พูดจบ ศรเกาทัณฑ์ก็พุ่งเข้ามา
อิ่งสือซันตวัดดาบฟันศร ทันใดนั้นเอง พื้นดินก็สั่นสะเทือน ป่าไผ่เริ่มบิดเบี้ยวและเปลี่ยนทิศทาง
“กระบวนพยุหะแปดทิศ” นัยน์ตาของอิ่งสือซันกระตุกวูบ สองมือกระชับกระบี่ พุ่งขึ้นไปกลางอากาศแล้วฟันลงมาสุดแรง
เสียงดังก้องกัมปนาท กระบี่ของอิ่งสือซันตวัดอย่างรวดเร็ว ภาพลวงตาของป่าไผ่ก็สงบลง
เยี่ยนจิ่วเฉามองไปยังเรือนอันเงียบสงัด แล้วเดินเข้าไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เรือนหลังนี้แลดูเก่าคร่ำคร่าและเรียบง่าย ทว่าภายในกลับประดับตกแต่งอย่างวิจิตร พื้นปูด้วยไม้กฤษณา
เสาเรือนทำจากไม้หนานมู่เนื้อทอง ประดับประดาไปด้วยเครื่องหยก เครื่องทอง และอัญมณี งดงามดุจตำหนักของเทพเซียน
บุรุษสวมชุดสีฟ้าอ่อนนั่งเขียนพู่กันอยู่บนโต๊ะ เขาได้ยินเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านนอก จึงเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตกใจ
อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันกังวลว่าด้านนอกจะมีค่ายกลอีก จึงให้เยี่ยนจิ่วเฉาเดินเข้าไปก่อน ทันใดนั้นก็พบเข้ากับใบหน้าหล่อเหลาซึ่งแลดูคล้ายกับกำลังตื่นตะลึง
“เฮ้ยย!” อิ่งลิ่วกระโดดโหยง!
อิ่งสือซันเยือกเย็นมาโดยตลอด ทว่าครั้งนี้เขาเองก็ถึงกับหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง
บุรุษตรงหน้าอายุอานามใกล้เคียงกับเยี่ยนอ๋อง สวมเสื้อผ้าเนื้อเบา รูปร่างผอมบาง เขากำลังใช้ชุดน้ำหมึกที่เยี่ยนอ๋องใช้เป็นประจำ สิ่งที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือใบหน้าของเขาคล้ายกับเยี่ยนอ๋องสองส่วนเห็นจะได้
โดยเฉพาะสีหน้าที่ปรากฏความสับสนกระวนกระวายใจ เหมือนเยี่ยนอ๋องเหลือเกิน
“ท่าน…ท่านอ๋องมีพี่น้องคนอื่นอีกหรือ?” อิ่งลิ่วถามด้วยความตื่นตระหนก
“ไม่มี” เยี่ยนจิ่วเฉามองไปยังบุรุษตรงหน้า พร้อมกับเอ่ยตอบอย่างมั่นใจ
บุรุษผู้นี้มีสีหน้าท่าทางเหมือนกับเยี่ยนอ๋องมาก ส่วนรูปร่างหน้าตาของเขาไม่อาจเทียบได้กับเยี่ยนอ๋องและเยี่ยนจิ่วเฉา พูดได้เพียงว่าเหมือนเยี่ยนอ๋องสักสองส่วน
เขามองไปยังแขกไม่ได้รับเชิญที่บุกเข้ามาในห้องหนังสือของตน
อิ่งสือซันรับรู้ได้ว่าบุรุษผู้นี้ไม่มีวรยุทธ์ และไม่เป็นภัยต่อคุณชายของตน จึงเดินออกไปเฝ้าหน้าประตูเงียบๆ
เยี่ยนจิ่วเฉาก้าวเข้าไปจนอยู่ห่างจากเขาประมาณห้าฉื่อ จึงหยุดฝีเท้าลง “ข้าควรเรียกเจ้าว่าอย่างไร? ราชบุตรเขยของหนานกงเยี่ยน หรือว่าคุณชายแห่งเผ่าไป๋เอ้อ?”
ม่านตาของบุรุษผู้นี้หดเกร็ง
อิ่งสือลิ่วถลึงตา “ขะ…ขะ…เขา…”
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงราบเรียบว่า “เขานี่สิถึงจะเป็นราชบุตรเขยตัวจริงของหนานกงเยี่ยน ลูกชายของหัวหน้าเผ่าไป๋เอ้อ ไป๋เชียนหลี”
ไป๋เชียนหลีไม่ได้ยินคนเรียกชื่อของตนมานานมากแล้ว ทันทีที่ได้ยิน เขาก็พึมพำว่า “เจ้า…เจ้าเป็นใคร”
“เยี่ยนจิ่วเฉา” เยี่ยนจิ่วเฉาบอกชื่อเสียงเรียงนามของตน
ไป๋เชียนหลีตะลึงงัน
เห็นได้ชัดว่าเขาเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
จะว่าไปก็ไม่น่าแปลก คลุกคลีกับหนานกงเยี่ยนมานานเพียงนี้ ในฐานะที่เป็นคนสนิทของนาง จะไม่รู้ความลับนี้และคนที่เกี่ยวข้องกับความลับนี้เชียวหรือ?
“สรุปว่าเกิดอะไรขึ้นกันขอรับ” อิ่งลิ่วเป็นสายลับ แต่เขาก็สืบรู้มาเพียงว่าหนานกงเยี่ยนซ่อนบุรุษคนหนึ่งไว้ ส่วนคนผู้นั้นคือใคร เขาเองก็ไม่รู้ คุณชายเดาได้อย่างไรกัน? และเมื่อดูจากท่าทางของอีกฝ่ายแล้ว เห็นทีคุณชายคงจะเดาถูก!
“เจ้า…” ไป๋เชียนหลีพูดไม่เป็นศัพท์
เยี่ยนจิ่วเฉาจึงช่วยเขาต่อประโยคจนจบ “ข้าหาที่นี่พบได้อย่างไร? หรือทำไมข้าถึงเดาออกว่าเจ้าคือใคร?”
ไป๋เชียนหลีหลุบตาลง
เยี่ยนจิ่วเฉาจึงกล่าวว่า “เรื่องนี้ออกจะง่ายไม่ใช่หรือ? ข้าอยากสืบเรื่องของเจ้า ก็จับตาดูหนานกงเยี่ยน ส่วนเรื่องที่ว่าเจ้าเป็นใคร แค่ลองนึกว่านางทำอะไรไปบ้างก็พอแล้ว”
ใต้หล้าต่างรู้ว่าหนานจ้าวและเผ่าไป๋เอ้อมีการแต่งงานเพื่อเกี่ยวดองกัน เรื่องนี้ไม่อาจปิดบังได้ ไม่แน่ว่าหนานกงเยี่ยนอาจส่งเยี่ยนอ๋องไปยังเผ่าไป๋เอ้อ ให้เขาปลอมเป็นบุตรชายของหัวหน้าเผ่าเพื่อเข้ามายังหนานจ้าว หรือไม่หนานกงเยี่ยนก็บีบบังคับราชบุตรเขยจากเผ่าไป๋เอ้อ ภายหลังจึงให้เยี่ยนอ๋องมาสวมรอยแทน
วินาทีที่เห็นไป๋เชียนหลี คำตอบของเขาก็กระจ่างในทันใด
ไม่ต้องให้หนานกงเยี่ยนสาธยาย เยี่ยนจิ่วเฉาก็เดาออกแทบทั้งหมด จะเป็นอะไรไปได้นอกจากหนานกงเยี่ยนถูกตาต้องใจเยี่ยนอ๋อง จึงต้องการแต่งงานกับเยี่ยนอ๋อง น่าเสียดายที่นางไม่อาจสรรหาสถานะที่เหมาะสมกับเขาได้ ประจวบเหมาะกับเผ่าไป๋เอ้อเดินทางมาส่งบรรณาการที่หนานจ้าว และหนานกงเยี่ยนก็พบว่าเยี่ยนอ๋องมีส่วนคล้ายกับไป๋เชียนหลี
นางจึงหมายตาไป๋เชียนหลี
…………………………………