อวิ๋นเฟยอยู่ในวังหลวงมาหลายปี วันที่ได้กินเนื้อมีไม่มาก แม้จะมีมื้อสองมื้อเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่ใช่อาหารชั้นดีอะไร หมูผัดน้ำแดงจานนี้ถูกทำถวายแด่องค์ประมุข ไม่เพียงแต่ใช้หมูสามชั้นที่ดีที่สุด ยังใช้ทักษะควบคุมความแรงไฟที่สูงส่งที่สุดอีกด้วย เนื้อทุกชิ้นเป็นมันเงาเด้งดึ๋ง นุ่มเหนียวละลายในปาก มันและเนื้อมากน้อยพอดี ไม่มันเลี่ยน หนึ่งคำกลืนลงคอ รสเค็มสอดแทรกด้วยรสหวานผสมผสานลงตัว อร่อยจนคำสุดท้าย
ทักษะฝีไม้ลายมือนี้ ล้ำเลิศกว่ากระต่ายย่างเมื่อคืนมากมายนัก
อวิ๋นเฟยเอร็ดอร่อยจนน้ำตาไหล
ไข่ดำน้อยทั้งสามก็ซดไม่หยุดปาก
องค์ประมุขไม่มีนิสัยพิถีพิถันในด้านอาหารการกิน มักเป็นฮองเฮาที่ให้คนทำสิ่งใดมา องค์ประมุขก็เสวยสิ่งนั้น เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอยากอาหาร คนสี่คนกินอย่างตะกละตะกลามจนเขาก็ต้องใช้ตะเกียบคีบให้อยู่หลายครั้ง
หมูผัดน้ำแดงอร่อยเลิศล้ำยิ่งนัก อวิ๋นเฟยกับไข่ดำยังเพลิดเพลินไม่หายอยาก ทว่าหมดก็คือหมด แม้ว่าเสี่ยวเป่าที่เด็กที่สุดจะมีงอแงขออีกชาม แต่พวกเขายอมกินข้าวในชามอย่างเชื่อฟัง
องค์ประมุขครุ่นคิดและสั่งให้คนทำหมูผัดน้ำแดงเพิ่มอีกสองชามใหญ่
ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงดูดซดของไข่ดำตัวน้อย
เมื่อเห็นว่าพวกเขาดูกินได้มากกว่าเด็กทั่วไป องค์ประมุขจึงรับสั่งให้ห้องครัวจัดเตรียมวัตถุดิบไว้บางส่วน ไม่ให้คุณชายน้อยทั้งหลายต้องหิวท้องกิ่ว
พ่อครัวไม่กล้าขัดคำสั่ง เดินไปอย่างเคารพนอบน้อม
มื้อนี้อวิ๋นเฟยอิ่มหนำสำราญ ถึงเวลาก็เรอออกมาทีหนึ่ง
ไข่ดำทั้งสามลูบพุงน้อยๆ ที่อ้วนกลมของพวกเขาและเรอออกมาตามๆ กัน
หลังจากนั้น ไข่ดำน้อยก็จูงอวิ๋นเฟยกับองค์ประมุขเดินเล่นในลานครู่หนึ่ง นี่เป็นนิสัยที่อวี๋หวั่นบ่มเพาะมา จากจวนคุณชายไปที่หมู่บ้านเหลียนฮวา และจากหมู่บ้านเหลียนฮวาไปถึงจวนเห้อเหลียน กระทั่งยามนี้เข้าวังหลวงก็ยังไม่ขี้เกียจ
องค์ประมุขยุ่งกับหน้าที่ราชการ ช่วงเวลาผ่อนคลายสบายใจเช่นนี้มีน้อยนัก เดินเล่นใต้ต้นไห่ถังในตำหนักจูเชวี่ย สายลมยามค่ำคืนพัดเอื่อย คืนสารทฤดูเงียบสงบงดงาม
“มาเลย มาเลย จับข้าสิ!”
เสี่ยวเป่าเริ่มยั่วเย้าอีกครั้ง
ไข่ดำทั้งสามวิ่งเล่นอย่างบ้าคลั่งไปทั่วลาน วังลึกที่มีเพียงสีขาวกับสีดำปรากฏสีที่ต่างไปในชั่วข้ามคืน
อวิ๋นเฟยไม่เคยเลี้ยงบุตรมาก่อน จึงไม่รู้จักวิธีดูแลพวกเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ โชคดีที่พวกเขาเชื่อฟัง เตือนอวิ๋นเฟยว่าพวกเขาต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ต้องการอาบน้ำและแปรงฟันแล้ว
อวิ๋นเฟยผู้ที่จัดการทุกอย่างได้คล่องแคล่ว ทำสิ่งที่ต้องทำเสร็จได้ในครึ่งชั่วยาม ครานี้นางงงงันอยู่หนึ่งชั่วยามเต็ม ท้ายที่สุดก็ยังสวมเสื้อผ้าให้ต้าเป่ากลับด้าน
ต้าเป่าก้มมองชุดนอนตัวน้อยด้วยความรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไป!
เอ้อร์เป่าชี้ไปที่เสื้อของเขาและพูดว่า “กลับด้านแล้ว!”
อวิ๋นเฟยรู้สึกอาย
“ข้าทำเอง” องค์ประมุขยื่นมืออุ้มต้าเป่าขึ้นไว้ในอ้อมแขน ค่อยๆ ถอดเสื้อแล้วสวมด้านที่ถูกต้องให้เขา
ฉากนี้ตกอยู่ในสายตาของผู้คนในวังไปโดยธรรมชาติ
ผู้คนต่างสบสายตาแลกเปลี่ยนกัน พวกเขาล้วนเห็นสิ่งอันน่าตกตะลึงที่ไม่อาจบรรยายด้วยตาของตนเอง
องค์ประมุขดีต่อคุณชายน้อยเหล่านี้ดีเกินไปแล้วกระมัง? ทั้งยังเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ด้วยพระองค์เอง ไม่รู้ว่าตี้จีองค์เล็กกับองค์หญิงน้อยในยามนั้นเคยได้รับการดูแลดีเช่นนี้หรือไม่?
ย่อมไม่เคยอยู่แล้ว
ฮองเฮาเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม เรื่องเหล่านี้นางทำได้ แม่นมที่นางเชิญมาก็เป็นผู้ดูแลที่มากประสบการณ์ องค์ประมุขได้พบตี้จีองค์เล็ก องค์หญิงน้อย หรือกระทั่งหนานกงหลีที่กลับเข้าวังตอนอายุได้สองสามขวบ ไม่ว่ายามใดก็ถูกดูแลอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเสมอ
“กางเกง! กางเกง! อ๊ะ!”
กลับเป็นอวิ๋นเฟยที่ใส่ขาอวบอ้วนสองข้างของเสี่ยวเป่าเข้าไปในขากางเกงข้างเดียว เสี่ยวเป่าเดินหนึ่งก้าวก็ล้มลงพร้อมกับเสียงดังตุ้บ
ที่นอนอ่อนนุ่ม ถึงแม้ไม่เจ็บ แต่ก็ทำให้อวิ๋นเฟยตำหนิตนเองไม่น้อย
นางมือไม้ลนลานทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าแดงฉาน
องค์ประมุขพาเสี่ยวเป่าไปอีกครั้งและสวมกางเกงให้เขา
ทุกอย่างถูกจัดการอย่างเรียบร้อย แต่เด็กน้อยทั้งสามกลับไม่หลับ ทำเพียงนอนอยู่บนเตียง สองมือจับสองเท้าของตนเอง มองอวิ๋นเฟยกับองค์ประมุขด้วยแววตาใสซื่อ
“มีอันใด? ท้องหิวหรือ?” อวิ๋นเฟยถาม
ทั้งสามมองพวกเขาด้วยท่าทางออดอ้อน
เมื่อถามได้ความว่าทั้งสามต้องการทำสิ่งใด องค์ประมุขก็รับสั่งให้คนไปหาแม่แพะที่มีนมมาตัวหนึ่งในทันที ให้รีดนมแพะและต้มนม ผู้คนยุ่งเหยิงกันครึ่งค่อนคืน
เมื่อไข่ดำน้อยทั้งสามหลับไปพร้อมกับขวดนมในมือ ประตูของวังหลวงก็ถูกลงกลอนไว้หมดแล้ว
ตำหนักจูเชวี่ยที่วุ่นวายพลันเงียบสงบลง มีเพียงเสียงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของคนทั้งสามบนเตียงนอน
อวิ๋นเฟยมองดูพวกเขา ร่องน้ำในใจนับพันสายค่อยๆ ถูกเติมเต็ม แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกเกลียดชังองค์ประมุขมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่แท้การเลี้ยงดูบุตรมีความสุขเช่นนี้ เดิมทีนางสมควรได้รับมันทั้งหมด แต่กลับถูกองค์ประมุขต่ำตมกับฮองเฮาแสงจันทร์ฉายของเขาพรากไปอย่างไร้ปรานี! ! !
องค์ประมุขปัดแขนเสื้อแล้วลุกขึ้นยืน เมื่อนึกถึงท่าทีของอวิ๋นเฟยเมื่อคืนก็รู้สึกพึงใจอยู่บ้าง เช่นนี้สิถึงดูเหมือนกิริยาที่สนมคนหนึ่งควรมี ใช่ก่อเรื่องวุ่นวายทั้งวันได้อย่างไร?
ดูเหมือนการพาเด็กๆ เข้าวังมาถูกต้องแล้ว
ในเมื่ออวิ๋นเฟยกลับเนื้อกลับตัวแล้ว “เด็กๆ หลับแล้ว ข้า…”
ยังเอ่ยไม่สิ้นประโยค อวิ๋นเฟยก็ยกขาถีบเขาออกไป!
เด็กหลับแล้ว การแสดงก็เล่นจบแล้ว บุรุษตัวเหม็นน่ารังเกียจเช่นนี้ไม่รีบขับออกไปจะเก็บให้อยู่ข้ามปีหรือ?
ในที่สุดองค์ประมุขที่มีมุมมองต่ออวิ๋นเฟยเปลี่ยนไปก็ถูกถีบกระเด็นจนเห็นดาว โกรธกริ้วเป็นฟืนเป็นไฟ ปีนขึ้นมาถมึงตามองอวิ๋นเฟยที่อยู่บนเตียง
“คร่อก~ คร่อก~” อวิ๋นเฟยนอนโอบกอดไข่ดำน้อยคนหนึ่ง ปิดตาลงหลับกรนเบาๆ
องค์ประมุขที่มีไฟแห่งโทสะสุมอกไร้ที่ระบาย “…”
องค์ประมุขมองอวิ๋นเฟยอย่างเย็นชาอยู่เป็นนาน เขามองนานเท่าใด อวิ๋นเฟยก็กรนอยู่นานเท่านั้น หากเป็นเรื่องการแสดงแล้ว นางจริงจังมาก!
องค์ประมุขคล้ายสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดในจิตใจ เขากำหมัดแน่น สูดหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง พยายามดับโทสะที่คุกรุ่นอยู่ในใจลง
ท้ายที่สุด เขาก็ลากสะโพกที่เจ็บปวดจากน้ำมืออวิ๋นเฟย เดินกะโผลกกะเผลกกลับตำหนักไป
“ฮองเฮา ฝ่าบาทเสด็จกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ณ ตำหนักจงกง ฮองเฮาใช้มือเท้ารองศีรษะอยู่บนโต๊ะด้วยดวงตาที่ปิดปรือ เมื่อได้ยินรายงานจากขันทีก็พลันเบิกตา เอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า “ฝ่าบาทกลับมาแล้วหรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮา” ขันทีตอบ
“เขาไม่มาที่ตำหนักจงกงหรือ?” ฮองเฮาถามด้วยความแปลกใจ
เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี แม้ว่าทั้งสองจะมีห้องของตนเอง ทว่าองค์ประมุขก็มักจะมาหานางที่นี่เสมอ
ขันทีรีบร้อนอธิบาย “คงเพราะเพลานี้ดึกมากแล้ว ฝ่าบาทจึงเกรงว่าจะรบกวนฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้านี้ติดราชกิจยาวถึงค่อนคืน องค์ประมุขก็จะไม่เสด็จมา ทว่าค่ำคืนนี้ต่างไป องค์ประมุขน่าจะส่งคนมาแจ้งข่าวนางก่อนล่วงหน้า ว่าให้นางพักผ่อนก่อนไม่ต้องรอเขา
คืนนี้องค์ประมุขติดพันกับเด็กน้อยจนลืมเรื่องนั้นไป กว่าเด็กๆ จะหลับก็ไม่ง่าย ยังถูกอวิ๋นเฟยใช้เท้าถีบโดยที่ไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่ ยามนี้ก็ยังคิดไม่ตก ไม่มีใจไปคิดเรื่องอื่น
องค์ประมุขไม่อยู่ค้างคืน ว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องเล็กน้อย ทว่าสิ่งที่ฮองเฮาวิตกคือ เขาอยู่ที่ตำหนักจูเชวี่ยเนิ่นนานเพียงนี้
แน่นอนฮองเฮามิได้คิดว่าเป็นเพราะอวิ๋นเฟย หากอวิ๋นเฟยมีแผนการเช่นนี้คงกลับตัวไปนานแล้ว ไหนเลยจะยอมนั่งบนตำแหน่งที่มีเพียงชื่อมาจนบัดนี้?
ต้องเป็นเพราะเด็กสามคนนั้นเป็นแน่
เมื่อขันทีเห็นว่าฮองเฮาไม่ได้ตรัสสิ่งใด จึงคาดเดาความกังวลของฮองเฮา “ฮองเฮาไม่มีสิ่งใดต้องกังวล ที่ฝ่าบาทให้ความสนใจคนตัวเล็กๆ พวกนั้น เพียงเพราะต้องการใช้ประโยชน์จากพวกเขาในภายภาคหน้า บิดาของพวกเขาเป็นเชื้อพระวงศ์แห่งต้าโจว มารดาเป็นบุตรีจวนเห้อเหลียน เด็กสามคนก็ยังเป็นปรมาจารย์พิษอาวุโสเจ็ดจั้ง กำลังทั้งสามฝ่ายรวมกันช่างแข็งแกร่ง เพียงพอที่จะทำให้ครึ่งหนึ่งของหนานจ้าวสั่นสะเทือน”
ฮองเฮาปิดปาดเงียบ ไม่คล้อยตามไม่ขัดแย้ง “ข้าได้ยินมาว่าเด็กทั้งสามคนนั้นน่าเอ็นดูยิ่งนัก”
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่แฝดสามก็หาได้ยากแล้ว ไม่ต้องบอกว่าองค์ประมุขโปรดปรานพวกเขา แม้แต่นางเองก็ยังสงสัยยิ่ง
………………………….