คืนที่อวิ๋นเฟยหายตัวไป พายุคลื่นใหญ่พัดกระพือไปทั่ววังหลัง นางไม่ได้ก่อเรื่องมาเพียงครั้งหรือสองครั้ง แต่เพราะก่อนหน้านี้นางไม่ได้รับความโปรดปราน ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ รวมถึงไม่มีผู้ใดจับจุดอ่อนของนางเช่นกัน เรื่องราวยิ่งใหญ่เกินจะเอาอดีตมาเปรียบเทียบ ตี้จีองค์เล็กถูกลดขั้น ตี้จีองค์โตยิ่งมีชื่อเสียงในหมู่ประชาชนขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ผู้คนในวังก็ยังเริ่มให้ความสำคัญกับนางมากขึ้น
เมื่อมีผู้ที่มองนางสำคัญ แน่นอนว่าต้องมีผู้ที่ไม่พึงใจนางเช่นกัน แต่ไม่ว่าผู้คนในวังจะมีความคิดแบบใด หนึ่งคืนผ่านไป ก็ยังไม่มีผู้ใดพบเห็นเงาของอวิ๋นเฟย
“คงมิใช่ว่านางกระโดดทะเลสาบฆ่าตัวตายไปแล้ว?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้าว่านางน่าจะกระโดดบ่อน้ำเสียมากกว่า”
“บุตรสาวของนางกำลังจะถูกยอมรับกลับมาแล้วแท้ๆ ไยนางกลับมาคิดสั้นเช่นนี้?”
“นั่นปะไร…”
อวิ๋นเฟยที่อยู่บนทางเดินด้านนอกกำแพงวังได้ยินเข้าโดยบังเอิญ “…”
ข้ายังไม่ตาย! ! !
วังหลวงมีสี่ประตูแปดเส้นทาง อวิ๋นเฟยเดินไปประตูทางทิศเหนือซึ่งใกล้กับนางมากที่สุด ทหารองครักษ์ที่ประตูทางทิศเหนือเตรียมพร้อมเฝ้าระวังกันอย่างแข็งขัน เดินอีกเพียงสิบกว่าก้าว ซ้ายมือก็จะเป็นประตูทิศเหนือแล้ว
ลูกตาดำกลิ้งกลอกไปมา เมื่อห่างจากประตูทิศเหนือเพียงสองก้าว จู่ๆ นางก็หยุดแล้วหมุนตัววิ่งกลับไป กระโดดโลดเต้นพลางร้องตะโกนว่า “ฮ่าๆ! ออกมาแล้ว! ออกมาแล้ว!”
ทหารองครักษ์สองนายที่เฝ้าประตูต่างก็ตกอกตกใจ เกิดอันใดขึ้น? ผู้ใดออกมา?
ทหารองครักษ์มองเข้าไปในวังอย่างยากที่จะเชื่อได้ จากนั้นก็เดินออกไปและมองทางขวา พลันเห็นอวิ๋นเฟยที่กำลังวิ่งมาข้างหน้าอย่างมีความสุข
ทั้งสองตกใจจนเหงื่อเย็นผุดพราย!
พบเรื่องประหลาดกลางวันแสกๆ เขาสองคนยืนเฝ้ายามอยู่ดีๆ เหตุใดอวิ๋นเฟยวิ่งออกมาต่อหน้าพวกเขา?
ทั้งสองไม่เข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือพวกเขาไม่อาจปล่อยให้อวิ๋นเฟยหนีออกจากวังไปเช่นนี้ได้ ไม่เช่นนั้นหากองค์ประมุขไต่ถาม พวกเขาคงถูกลงโทษฐานละเลยหน้าที่!
ทั้งสองไม่สนใจสิ่งอื่นใด รีบร้อนจับอวิ๋นเฟยกลับไป
ข่าวการพบตัวอวิ๋นเฟยแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วจนถึงพระกรรณขององค์ประมุข
องค์ประมุขกำลังเสวยพระกระยาหารกับฮองเฮาในวังหลวง เมื่อได้ยินว่าอวิ๋นเฟยเกือบหนีออกจากวังไปได้ องค์ประมุขพลันทิ้งตะเกียบในมือลงด้วยแรงโทสะ ลุกขึ้นเสด็จไปตำหนักจูเชวี่ยจูเชวี่ยในทันที
“นำไปเก็บเถิด” ฮองเฮาตรัสน้ำเสียงเนือยนิ่ง
“เพคะ” ข้ารับใช้เก็บอาหารที่ยังกินไปหมดออกไป
องค์ประมุขแบกพระพักตร์เขียวคล้ำด้วยความโกรธมุ่งหน้าไปยังตำหนักของอวิ๋นเฟย
ในเวลานี้อวิ๋นเฟยกำลังนอนเอนกายบนเก้าอี้หวายในลานกว้าง สั่งให้นางกำนัลหั่นแตงกวาสองสามแว่นมาวางบนใบหน้าเพื่อบำรุงผิว ขณะที่โยกเก้าอี้ไปพลาง ก็อาบแดดอย่างสบายๆ โดยไม่มีทีท่าตระหนักว่าตนถูกจับตัวแม้แต่น้อย
องค์ประมุขย่างกรายเข้ามาในลานของนาง
“ฝ่าบาท!” ข้ารับใช้ในลานที่เห็นเขาเดินเข้ามาต่างพากันหวาดผวา รีบคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียง
“ออกไปให้หมด!” องค์ประมุขตรัสด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยียบ
เหล่าข้ารับใช้มองหน้ากันไปมาด้วยความหวาดกลัวและมองไปที่อวิ๋นเฟยโดยไม่ได้นัดหมาย จากนั้นก็เดินตัวสั่นงันงกออกไป
องค์ประมุขนับว่าเป็นคนอารมณ์ดี แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดยามอยู่ต่อหน้าอวิ๋นเฟย เขาจึงไม่อาจควบคุมโทสะในใจได้ หากเป็นคนธรรมดาแอบหนีออกจากวังแล้วถูกจับได้ คงหวาดกลัวจนรีบลงไปคุกเข่า ไหนเลยจะเหมือนนาง ทำราวกับเป็นบรรพบุรุษของตระกูล!
ไม่สิ คนธรรมดาที่ใดจะหนีออกจากวังได้?
บรรดาสนมนางในของบุตรแห่งสวรรค์ การแขวนคอตายและหนีออกจากวังล้วนเป็นอาญาใหญ่หลวงถึงขั้นค้นเรือนยึดทรัพย์ประหารทั้งโคตร!
แต่ราวกับว่าองค์ประมุขมองเห็นปฏิกิริยาตอบกลับของอวิ๋นเฟย เมื่อตนเองกล่าวประโยคนี้ออกไป
‘ยึดๆๆ! ยึดเลย! ยึดหมาลูกแหง่พวกนั้นอย่าให้เหลือ!’
ความเป็นไปได้ที่ปรากฏขึ้นในจิตใจ ชวนให้องค์ประมุขรู้สึกปวดเศียรยิ่งนัก
เขาสงสัยอย่างยิ่งว่าอวิ๋นเฟยจงใจ จงใจยั่วให้เขาโกรธเกรี้ยว และจงใจยืมมือของเขาทำลายครอบครัวฝ่ายมารดาของนาง
ช่างเป็นสตรีที่ร้ายกาจยิ่งนัก!
“เจ้าไม่ดูฮองเฮาเป็นเยี่ยงอย่าง เลิกสร้างความวุ่นวายให้ข้าสักทีได้หรือไม่?”
องค์ประมุขไม่แม้แต่ถามว่านางทำไปเพื่ออะไร เพราะมันไม่จำเป็น เขาพบเจอเรื่องประหลาดใจจนชินชาเสียแล้ว นางเป็นคนอารมณ์ร้ายที่กลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวาย หากนางสงบเสงี่ยมศึกษาคุณธรรมคำสอนสตรีอยู่ในวังหลังได้ คงเป็นเรื่องประหลาดที่ยากจะเข้าใจ
อวิ๋นเฟยเองก็ไม่บอกเรื่องที่หนานกงหลีลักพาตัว เพราะอย่างไรเสีย ยามนี้หนานกงหลีก็ได้รับบาดเจ็บ และลูกน้องคนสนิทก็มาล้มตาย ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูเหมือนนางจะเป็นฝ่ายลักพาตัวหนานกงหลีเสียมากกว่า
แม้ว่านางไม่มีความสามารถในเรื่องนี้ แต่คนที่มีความสามารถ คือคนที่นางต้องการปกป้อง
การตั้งคำถามที่ไม่ต้องแยกแยะถูกผิดขององค์ประมุข เมื่อหลายปีก่อนอาจสามารถทิ่มแทงหัวใจนาง แต่ยามนี้ไม่ใช่อีกต่อไป นางแค่คิดว่าเขาผายลมแล้วเดินจากไปเท่านั้น
แตงกวาขนาดใหญ่สองชิ้นถูกวางอยู่บนเปลือกตา นางนอนเอนกายบนเก้าอี้หวายโดยไม่หยิบมันออก ท่าทีเอื่อยเฉื่อยไม่สนใจผู้คน
องค์ประมุขกริ้วโกรธนางจนปวดฟัน “อวิ๋นเฟย! เจ้ายังหลงเหลือความเป็นภรรยาข้าอยู่หรือไม่!”
อวิ๋นเฟยเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน “อ้อ ที่แท้ฝ่าบาทก็ยังจำได้ว่าหม่อมฉันเป็นภรรยาของพระองค์ หม่อมฉันคิดว่าในใจของฝ่าบาทมีเพียงฮองเฮาผู้เดียว ลืมเลือนหม่อมฉันไปหมดสิ้น ฝ่าบาทก็คิดเสียว่าหม่อมฉันได้ตายไปแล้วเถิด ต่อไปตำหนักจูเชวี่ยท่านก็ไม่จำเป็นต้องมาอีก ในเมื่อยามหนุ่มท่านไม่มา ยามนี้แก่เสียแล้ว ถึงมาก็ไม่มีประโยชน์อันใด”
ไม่..ไม่มีประโยชน์? !
พระพักตร์ขององค์ประมุขเป็นสีเขียวด้วยโทสะ
อวิ๋นเฟยหยิบแตงกวาฝานบนเปลือกตาออก พลันลืมตามองกายท่อนล่างขององค์ประมุข “หือ? ยังใช้อยู่หรือ?”
พระพักตร์ขององค์ประมุขเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดง ความโกรธเคืองแทบจะระเบิดออกมา “เสิ่นอวิ๋น!!!”
เมื่อฮองเฮาเพิ่งเสด็จถึงหน้าประตูตำหนักจูเชวี่ย ได้ยินน้ำเสียงเจือโทสะขององค์ประมุข ก็ถึงกับตกตะลึง หากว่ากันอย่างเคร่งครัดแล้ว องค์ประมุขไม่ใช่คนที่โกรธง่าย ไม่เช่นนั้นคงไม่ถูกขนานนามว่าเป็นเสือหน้ายิ้ม แค่มีเพียงอวิ๋นเฟยที่สามารถดึงโทสะทั้งหมดในจิตใจของเขาออกมาได้ เขาดูเหมือนมีความโกรธที่ไม่สิ้นสุดต่ออวิ๋นเฟยตลอดเวลา
มีอันใดน่าโกรธ? ก็แค่สตรีบ้าบอคนหนึ่ง เป็นถึงองค์ประมุขแห่งแว่นแคว้น อดทนต่อความโกลาหลวุ่นวายในราชสำนักได้ แต่กลับไม่อาจทนนางสนมจอมวายร้ายเพียงคนเดียว?
ฮองเฮาไม่ต้องการให้องค์ประมุขสนใจอวิ๋นเฟย แม้แต่ด้านที่น่าเกลียดที่สุดก็ตาม
ฮองเฮารวบรวมสติ สูดหายใจเข้าก่อนจะเดินเข้าไปอย่างสงบเยือกเย็น ตลอดทางคนในวังต่างร้องคารวะ นางโบกมือให้ถอยออกไป
นางย่างกรายเข้ามาอย่างสง่างาม มององค์ประมุขที่แทบคลั่ง จากนั้นก็มองอวิ๋นเฟยที่วางท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว คิ้วพลันขมวดมุ่น “อวิ๋นเฟย ฝ่าบาทเสด็จมา เจ้าไม่คารวะ แล้วยังวางท่าถือดีเช่นนี้ เหมาะสมแล้วหรือ?”
อวิ๋นเฟยส่งเสียงชิชะ แล้ววางแตงกวาฝานลงบนเปลือกตา “ฮองเฮามาก็ดีแล้ว รีบพาบุรุษของท่านกลับไปเถิด ตำหนักจูเชวี่ยของหม่อมฉันไม่อาจรองรับพระพุทธรูปองค์ใหญ่ทั้งสองพระองค์”
ฮองเฮาตรัสอีกครั้ง “อวิ๋นเฟย เจ้ารู้หรือไม่ว่าคืนนี้ที่เจ้าหายตัวไป ทำให้องค์ประมุขกับข้าเป็นกังวลยิ่งนัก?”
อวิ๋นเฟยเย้ยหยัน “กังวลอันใด? กังวลว่าจะไม่มีผู้ใดรังแกพวกท่านทั้งสองอีก? หรือไม่มีผู้ใดช่วยขับภาพลักษณ์อันอ่อนโยนทรงคุณธรรมให้ฮองเฮา?”
องค์ประมุขตรัสอย่างเย็นชา “เจ้ากล่าววาจาเช่นนี้กับฮองเฮาได้เยี่ยงไร? อย่าคิดว่าข้าแต่งตั้งให้เจ้าเป็นกุ้ยเฟย แล้วจะไม่เห็นฮองเฮาอยู่ในสายตา เชื่อหรือไม่ว่าข้า…”
อวิ๋นเฟยขัดคำพูดของเขาอย่างเฉยเมย “ถอดตำแหน่ง ปลดจากเฟยให้เป็นไฉเหริน หม่อมฉันรู้ดี ฝ่าบาทรีบรับสั่งมาเถิด”
“เจ้า!”
“ฝ่าบาท” ฮองเฮาจับมือของเขาพลางส่ายศีรษะเบาๆ “ช่างเถิด นางมีนิสัยเช่นไร ไม่ทราบดีแก่ใจหรือ ไม่ได้ผิดร้ายแรง เพียงความผิดเล็กน้อย จะกริ้วนางไปไย? อย่าทำร้ายร่างกายตนเอง”
องค์ประมุขตรัสอย่างเย็นชา “การกระทำของนางครั้งนี้หาใช่ความผิดเล็กน้อย! นางหลบหนีออกจากวังหลวง!”
ฮองเฮามองอวิ๋นเฟย และเอ่ยอย่างจริงจัง “อวิ๋นเฟย เจ้าก็ก่อกวนมากเกินไป สร้างความวุ่นวายในวังหลวงก็มากพอแล้ว ไยเจ้ายังไปก่อเรื่องถึงนอกวังอีก? นี่มิใช่เจตนาสร้างความอัปยศแก่ราชวงศ์หรอกหรือ? หากเจ้าไม่เห็นแก่ฝ่าบาท ก็เห็นแก่ตี้จีของเจ้า เจ้าก็คงไม่อยากให้นางมีมารดาที่เอาแต่สร้างปัญหา”
หลังจากได้ยินวาจาของฮองเฮา อวิ๋นเฟยก็เงียบงันในทันที
องค์ประมุขฮึดฮัดอย่างเย็นชา “เจ้าจงไตร่ตรองการกระทำของตนเองอยู่ที่นี่ หากไม่มีคำสั่งจากข้า อย่าคิดย่างกรายออกจากตำหนักแม้เพียงก้าวเดียว!”
องค์ประมุขตรัสจบก็เดินจากไปพร้อมกับฮองเฮา
ก่อนจากไป ฮองเฮาเรียกนางกำนัลผู้รับผิดชอบของตำหนักจูเชวี่ย “ดูแลกุ้ยเฟยอย่าให้ขาดตกบกพร่อง”
“เพคะ” นางกำนัลผู้รับผิดชอบรับคำสั่งด้วยความเคารพ
“เป็นเช่นนี้ เจ้าก็ยังปกป้องนาง”
อวิ๋นเฟยได้ยินเสียงกระซิบพึมพำขององค์ประมุข จากนั้นก็ได้ยินฮองเฮาตรัส “ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นสนมของฝ่าบาท หม่อมฉันต้องปฏิบัติตัวดีต่อนางสักหน่อย อีกอย่างก็ช่วยให้ฝ่าบาทสบายพระทัยขึ้น ต่อไปนี้อย่าได้ไปกริ้วต่อหน้านาง หากโทสะกระทบพระวรกายแล้ว หม่อมฉันจะเป็นกังวลนะเพคะ”
องค์ประมุขทอดถอนใจ “ก็นางก่อเรื่องวุ่นวาย หากรู้จักคิดได้เช่นเจ้าสักครึ่งหนึ่ง ข้าก็คงไม่ต้องปวดหัวเช่นนี้ เจ้าวางใจเถิด ข้าจะไม่ไปที่ตำหนักจูเชวี่ยอีก”
ฮองเฮาได้ฟังคำมั่นสัญญาก็เบาใจลงเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยต่อ “นางคงโกรธที่ท่านส่งตี้จีองค์โตออกไปในเพลานั้น ทำให้สองแม่ลูกจำต้องพรากจากกัน หากเป็นหม่อมฉัน ก็คงโกรธเช่นกันละเพคะ”
องค์ประมุขตรัส “แต่เจ้าไม่มีทางทำให้ข้าต้องอับอายต่อหน้าผู้อื่น”
ฮองเฮาชะงัก และยิ้มอย่างขมขื่น “นั่นเป็นธรรมดาเพคะ”
ทั่วหล้าต่างรับรู้ว่า ฮองเฮาสง่างามมองการณ์ไกล ดังนั้นเมื่อองค์ประมุขลงโทษตี้จีองค์เล็กแล้ว นางจึงทำได้เพียงปิดประตูด้วยความโกรธเคืองต่อองค์ประมุขเท่านั้น หากเป็นอวิ๋นเฟยละจะทำเช่นไร? นางก็คงไปโวยวายถึงราชสำนัก มือเท้าสะเอวก่นด่าองค์ประมุขราวกับแม่มดหมอผีถูกเลือดหมารดหัว[1] จากนั้นก็ไปนั่งในตำหนักจินหลวนโดยไม่สนใจกฎเกณฑ์ ขอให้องค์ประมุขยกตำแหน่งประมุขหญิงให้บุตรสาวของนาง
เพราะนางเป็นฮองเฮา นางจึงไม่สามารถทำเช่นนี้ได้
เมื่อนึกถึงตี้จีองค์เล็กที่ค่อยๆ สูญเสียความโปรดปรานจากองค์ประมุข นิ้วของฮองเฮาพลันบีบแน่น
……………..
ทว่าด้านอวี๋หวั่น เมื่อลืมตาตื่นขึ้น ก็พบว่าอวิ๋นเฟยไม่อยู่แล้ว หลังจากถามมารดาจึงทราบว่าอวิ๋นเฟยลงจากภูเขาไปแล้ว อวี๋หวั่นเดาว่านางคงจะกลับไปที่วังหลวง เธอจัดการเก็บข้าวของและกลับจวนไปพร้อมกับบิดามารดา
เธอไปรับไข่ดำก่อน จากนั้นจึงไปที่ถนนซื่อสุ่ย เล่าเรื่องอวิ๋นเฟยให้เยี่ยนจิ่วเฉาฟัง เธอไม่แน่ใจว่าอวิ๋นเฟยกลับไปที่วังหลวงหรือไม่ จึงคิดจะไปสืบความดูสักหน่อย
“กลับไปแล้ว” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
“ท่านรู้ได้อย่างไร?” อวี๋หวั่นถาม
เยี่ยนจิ่วเฉาลูบผมเส้นน้อยเส้นหนึ่งบนศีรษะของเธอแล้วพูดว่า “อวิ๋นเฟยได้รับการเลื่อนขั้นเป็นกุ้ยเฟย และวันนี้ก็ถูกสั่งห้ามออกจากตำหนัก ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วทุกตรอกซอกซอย ทำไมรึ? ระหว่างทางกลับมาเจ้าไม่ได้ยิน?”
อวี๋หวั่นมุ่นคิ้ว “พวกเรารีบร้อนเดินทางกลับมา ไม่ได้สืบฟังความอันใด แล้วเหตุใดนางถึงถูกห้ามออกจากตำหนัก? เพราะเรื่องที่นางออกจากวังหลวงหรือไม่? นั่นหนานกงหลีเป็นคนทำต่างหาก!”
“ไม่น่าจะใช่เรื่องนี้” เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นเชื้อพระวงศ์ รู้กฎของวังหลวงดีกว่าอวี๋หวั่น หากองค์ประมุขลงโทษอวิ๋นเฟยเพราะออกจากวังหลวง คงไม่ใช่แค่ห้ามออกจากตำหนัก ดูเหมือนอวิ๋นเฟยยั่วยุองค์ประมุข จนถูกองค์ประมุขวางอำนาจมากกว่า
“ข้าจะไปพบท่านยายของข้า!” อวี๋หวั่นกระโดดลุกขึ้นยืน ลูกผมที่ถูกเยี่ยนจิ่วเฉาลูบให้ราบลงอย่างยากลำบากก็เด้งขึ้นมาอีกครั้ง
“เจ้าไปไม่ได้หรอก” เยี่ยนจิ่วเฉาพูดพร้อมกับจ้องมองลูกผมของเธอ
“เพราะเหตุใด?” อวี๋หวั่นสงสัย
เยี่ยนจิ่วเฉาหยดน้ำสองหยดลงในฝ่ามือแล้วลูบผมเส้นน้อยบนศีรษะของอวี๋หวั่น “เจ้าไม่ยอมรับด้วยซ้ำว่าตนเองเป็นองค์หญิงแห่งหนานจ้าว แล้วองค์ประมุขจะยอมรับว่าเจ้าเป็นหลานสาวของอวิ๋นเฟยได้อย่างไร? เว้นแต่…เจ้าจะยอมรับเขา”
“ข้าไม่ยอมรับ!” อวี๋หวั่นโกรธจนลูกผมบนหัวตั้งขึ้นอีกครั้ง
“เฮ้อ” เยี่ยนจิ่วเฉาเอามือปิดตา
…
แม้อวี๋หวั่นไม่อาจเข้าวัง แต่มีบางคนที่เข้าได้
ตกเย็น องค์ประมุขกำลังตรวจฎีกาอยู่ในห้องทรงอักษร ทันใดนั้นองครักษ์รักษาพระองค์นายหนึ่งก็เดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน “ทูลฝ่าบาท มีคนจากด้านนอกมา แจ้งว่าตนเป็นญาติของอวิ๋นเฟยพ่ะย่ะค่ะ!”
อวิ๋นเฟยมีญาติ? มิใช่ว่าญาติของนางตัดขาดไปนานแล้วหรือ?
องค์ประมุขยังคงตวัดมือเขียนอย่างรวดเร็วต่อไป กำลังตัดสินใจจะส่งคนไป แต่ทันใดนั้นก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้ พลันเผยรอยยิ้มเย็นชา เกรงว่าจะเป็นตี้จีองค์โตกับบุตรสาวที่มาหาถึงที่ ไม่ยอมรับเขา แต่กลับต้องการพบอวิ๋นเฟย ไหนเลยจะง่ายดายเช่นนั้น?
“ให้พวกเขากลับไป!”
“ไม่สามารถกลับไปได้พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์เกาหัว
พระขนงขององค์ประมุขขมวดมุ่น
องครักษ์ตอบอย่างละอาย “ฝ่า…ฝ่าบาทเสด็จไปดูด้วยพระองค์เองเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ประมุขวางฎีกาในมือลง แล้วก้าวยาวออกไปยังหน้าประตูวัง
ยามพลบค่ำ พระราชวังตั้งตระหง่าน
ไข่ดำทั้งสามต่างหอบหิ้วกระเป๋าใบน้อยของตน นั่งอยู่บนหินก้อนเล็กๆ นอกประตูอย่างน่าเวทนา
ดวงตาขององค์ประมุขพลันบิกกว้างขึ้นทันที
องครักษ์กลั้นใจกล่าว “คนที่ส่งพวกเขามา บอกว่าพวกเขาเป็นญาติของอวิ๋นเฟย ส่งเสร็จก็จากไป ฝ่าบาททรงคิดว่า…ควรส่งพวกเขาไปที่หยาเหมิน…”
ไข่ที่มาถึงมืออย่างยากลำบาก ให้ส่งไปที่หยาเหมินเช่นนี้ จะเป็นไปได้อย่างไร! ! !
สามารถเจรจาเงื่อนไขกับผู้ใหญ่ได้ แต่ไม่ใช่กับเด็ก ทว่าจะให้ส่งพวกเขากลับไปที่จวนเห้อเหลียน…
ไข่ดำทั้งสามมองเขาอย่างน่ารัก
หัวใจขององค์ประมุขอ่อนลง
“อะแฮ่ม! ไม่ต้อง” องค์ประมุขกระแอมในลำคอและตรัสอย่างเคร่งขรึม “เป็นญาติของอวิ๋นเฟย ให้เข้ามาเถิด”
องครักษ์ตกตะลึง อวิ๋นเฟยยังมีญาติตัวเป็นๆ อยู่จริงหรือ? ความสงสัยยังคงอยู่ ทว่าเขาก็ยังคงพาเด็กน้อยทั้งสามเข้ามา
เด็กน้อยทั้งสามจับมือกันเดินไปตรงหน้าองค์ประมุข
องค์ประมุขมองพวกเขาแล้วมองไปยังองครักษ์ที่ยืนตะลึงตาค้างอยู่ข้างๆ “ออกไปให้หมดเถิด”
หลังจากนั้นองค์ประมุขก็จับมือเล็กๆ ของต้าเป่า ซึ่งจับต่อกันเป็นสายไข่ดำน้อย ไปยังตำหนักจูเชวี่ยของอวิ๋นเฟย!
…………………………………………
[1] เลือดหมารดหัว ในอดีตเชื่อว่าคุณไสยมนต์ดำจะเสื่อมลงด้วยเลือดสุนัข หมายถึง ถูกต่อว่าด่าทอจนเสียหาย