“ต้าเป่า!”
ที่ลานถนนซื่อสุ่ย อวี๋หวั่นสะดุ้งตื่นจากการงีบหลับยามบ่าย
“เกิดอะไรขึ้น?” เยี่ยนจิ่วเฉาที่นั่งข้างกาย เห็นเธอลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ ก็วางหนังสือในมือลงแล้วหันมามอง “ฝันหรือ?”
อวี๋หวั่นเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากด้วยความตกใจ “ข้าฝันว่าต้าเป่าตกลงไปในน้ำ ท่านก็รู้ ข้าไม่เคยฝัน กลางคืนก็ไม่ฝัน กลางวันยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างใส่ใจ “เจ้าคงคิดถึงลูกมาก” เขาหันไปทางประตู “อิ่งสือซัน”
อิ่งสือซันแวบกายเข้ามาหาทั้งสองคน “คุณชาย”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว “ไปที่วังหลวง”
อิ่งสือซันเข้าใจความหมาย ก่อนจะรีบใช้วิชาตัวเบาเดินทางไป
อิ่งลิ่วเป็นหน่วยสอดแนม เขามีความชำนาญในการสืบข่าวมากกว่าอิ่งสือซัน แต่วังหลวงคุ้มกันแน่นหนา ด้วยวิทยายุทธ์ของอิ่งลิ่ว หากถูกพบเข้าเกรงว่าไม่ง่ายที่จะหนีออกมา อีกอย่างหนึ่ง ข่าวคราวของเด็กๆ ก็ไม่ได้เป็นความลับอะไร อิ่งสือซันไปก็สามารถพบเห็นพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
อวี๋หวั่นถอนหายใจ “ท่านคิดว่าข้าตื่นตูมเกินไปหรือไม่?”
เยี่ยนจิ่วเฉาลูบผมบนหัวของเธอ ไม่มีลูกผมแล้ว ดูสบายตากว่าเป็นไหนๆ
“ไม่เลย” เขากล่าว
อวี๋หวั่นดึงเสื้อของเขาแล้วเอนกายลงสู่อ้อมแขนของเขาเบาๆ เพื่อหาที่ปลอบโยน
ความฝันนั้นเหมือนจริงเกินไป ตอนนี้สติบางส่วนของเธอก็ยังไม่กลับคืนมา
ในบรรดาทารกทั้งสาม คนที่น่าสงสารที่สุดในตอนแรกคือเสี่ยวเป่า เขาอายุน้อยที่สุดและถูกเหยียนหรูอวี้รังแกมากที่สุด เมื่อทั้งสามคนเติบโตขึ้น ลืมเลือนอดีตอันขมขื่นเกินกว่าจะนึกถึง พวกเขาทั้งสามเดินออกจากเงามืดขนาดใหญ่ มีชีวิตกลายเป็นเด็กที่ชวนให้คนชื่นใจ
เพียงแต่ว่าเสี่ยวเป่ากับเอ้อร์เป่าต่างก็พูดได้แล้ว ส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ทั้งวัน ทว่าต้าเป่ามักเงียบงันไม่ส่งเสียง เด็กคนนั้นซื่อตรง หากถูกคนรังแกจริงๆ ก็ไม่มีทางฟ้อง คนที่อวี๋หวั่นคิดถึงที่สุดในยามนี้ก็คือเขา
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่พูดจาปากร้ายกับเธอถึงสองประโยค ตบไหล่เธอเบาๆ เป็นการปลอบโยนที่ไร้เสียง
วังหลวงในยามนี้ ข้างทะเลสาบที่ส่องประกายระยิบระยับ ฮองเฮาเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก จ้องมองเจ้าตัวเล็กที่อ้วนจ้ำม่ำจมลงไปอย่างไม่กะพริบตา นางรู้สึกว่าขาไม่ได้เป็นของนางอีกต่อไป สมองนางก็ว่างเปล่า
อารมณ์นับไม่ถ้วนปรากฏจากก้นบึ้งของหัวใจ ทอทับกันเป็นตาข่ายหนาแน่นมัดนางไว้จนหายใจไม่ออก
มันไม่ใช่ความผิดของนาง
เดิมนางไม่ใช่คนเลวทรามเช่นนี้
ทั้งหมดเป็นเพราะตี้จีองค์โต
ดังนั้นนางจึงละทิ้งความเป็นตัวเอง แล้วลงมือกับเด็กไร้เดียงสา
“ไม่ใช่ความผิดของข้า…ไม่ใช่…ไม่ใช่…”
นางเซถอยหลังไปสองก้าว จ้องมองเด็กน้อยที่กำลังจมลงไปในน้ำโดยไม่ดิ้นรนแม้แต่น้อย
“เจ้าว่าอันนี้เป็นอย่างไร? คุณชายน้อยจะชอบหรือไม่?”
“เล็กเกินไป ไม่ใหญ่เท่าผลที่ข้าเก็บมา”
นางข้าหลวงสองคนพูดไปพลางขำไปพลางเดินมาทางนี้ เดิมทีทั้งสองเป็นนางข้าหลวงในสวนผลไม้ เพราะอวิ๋นเฟยไปเก็บส้มมาครั้งหนึ่ง พวกนางจึงรู้ว่าคุณชายน้อยชอบกินผลไม้ที่พวกนางปลูก ตกบ่ายทั้งสองจึงเก็บผลไม้ไปตะกร้าหนึ่ง ตั้งใจจะส่งไปตำหนักจูเชวี่ย และบังเอิญผ่านมาทางนี้
ฮองเฮาคิ้วกระตุก มองสวนที่ว่างเปล่าแล้วหันมองนางข้าหลวงที่กำลังใกล้เข้ามา นางกัดฟันแล้วกระโดดลงไปในน้ำ!
“ไอ้หยา! เหมือนว่าข้าเห็นคนตกน้ำ!”
“จริงหรือ? ไป! รีบไปดู!”
นางข้าหลวงทั้งสองเดินมาพร้อมกับตะกร้าในมือ เวลานี้ ฮองเฮาดำผุดดำว่ายในน้ำอยู่หลายครั้ง ยามที่ทั้งสองเห็นใบหน้าที่โผล่ขึ้นจากน้ำอย่างชัดเจน ก็ตกใจจนขาทั้งสองอ่อนแรงทรุดลงกับพื้น “ฮอง ฮองเฮา!”
ฮองเฮาไม่ได้สนใจอาการหวั่นวิตกของคนทั้งสอง สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ดำลงไปใต้น้ำ ยามโผล่กลับขึ้นมาอีกครั้งในอ้อมแขนกลับมีร่างของเด็กคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
เรื่องที่เกิดขึ้นริมทะเลสาบแพร่สะพัดไปถึงห้องทรงอักษรอย่างรวดเร็ว องค์ประมุขตกใจจนใบหน้าซีดเผือด ไม่พูดพร่ำรีบตรงไปที่ริมทะเลสาบ ฮองเฮาถูกเหล่านางข้าหลวงดึงขึ้นฝั่งแล้ว นางกอดต้าเป่าที่สำลักน้ำไว้ในอ้อมแขน ทั้งสองร่างกายเปียกปอน เดาไม่ยากว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่นี้
องค์ประมุขพุ่งพรวดเข้าไปอุ้มเด็กน้อยที่เปียกชุ่มไปทั้งตัวไว้ในอ้อมแขน
คนที่เขาร้อนใจเป็นห่วงมากที่สุดไม่ใช่ตน หัวใจฮองเฮาพลันเยือกเย็น ทว่าใบหน้ากลับไม่เผยอารมณ์ผิดหวังใดๆ
“ต้าเป่าสำลักน้ำ” ฮองเฮาเอ่ยด้วยเสียงเหนื่อยหอบ
ยามนี้องค์ประมุขจึงหันมามองนางด้วยความเป็นห่วง “ฮองเฮาไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
ฮองเฮาส่ายหน้า “หม่อมฉันไม่เป็นไร รีบตามหมอหลวงมาดูต้าเป่าเถิดเพคะ”
“หมอหลวงเล่า!” องค์ประมุขกริ้วจัด
ขันทีหวังรีบสะบัดแส้หางจามรีไปรับหมอหลวง เดินไปได้ครึ่งทาง ก็พบกับหมอหลวงที่ถือล่วมยามาอย่างกระหืดกระหอบ ขันทีหวังรีบรับล่วมยาของเขามา “เอาล่วมยามาให้ข้า! ท่านรีบไปดูเถิด! ฝ่าบาททรงร้อนใจแย่แล้ว!”
หมอหลวงแก่มากแล้ว สองขาชราวิ่งมาแทบหัก สุดท้ายก็ล้มลุกคลุกคลานมาจนถึงหน้าพระพักตร์ขององค์ประมุขและฮองเฮา
“ฝ่าบาท!” เขาคารวะ
องค์ประมุขเอ่ยขัดเขาอย่างไร้ความอดทน “พอแล้ว! รีบมาดูอาการเด็ก!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” หมอหลวงรับเด็กมา
หมอหลวงพลิกตัวต้าเป่า ให้หัวของต้าเป่าหันลงด้านล่าง ท้องพาดบนเข่าของเขา เพียงไม่นานต้าเป่าก็สำลักน้ำออกมา
“ไม่เป็นไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” หมอหลวงเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากพลางกล่าวว่า “ถอดเสื้อผ้าของเขาออก”
ขันทีหวังรับต้าเป่ามา
องค์ประมุขตรัส “ข้าทำเอง”
องค์ประมุขถอดเสื้อผ้าให้ต้าเป่าจนเปลือยเปล่า ปลดเสื้อคลุมมังกรมาห่อหุ้มร่างกายของเขา
แม้ฤดูหนาวของหนานจ้าวจะไม่หนาวเหน็บเช่นต้าโจว แต่อากาศก็ยังทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวเย็นเช่นกัน ต้าเป่าหนาวจนร่างเล็กๆ สั่นเทิ้ม องค์ประมุขกอดเขาไว้แน่น ขันทีหวังก็หยิบผ้าคลุมบนพื้นมาห่มให้เขาอีกทีหนึ่ง
เสื้อผ้าของบ่าวไพร่ไม่คู่ควรกับเรือนร่างของเจ้านาย ทว่ายามนี้ก็เป็นเรื่องที่ช่วยมิได้ไม่ใช่หรือ?
องค์ประมุขไม่ได้ปฏิเสธ และยังห่มให้ต้าเป่าอีกชั้นหนึ่ง เขามองเด็กในอ้อมแขนด้วยหัวใจที่เจ็บปวด ออกคำสั่งกับหมอหลวง “รีบไปดูอาการฮองเฮา”
“พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงรีบไปถวายการตรวจชีพจรแก่ฮองเฮา
ฮองเฮาไม่ได้สำลักน้ำ สติสัมปชัญญะครบถ้วน ไม่ได้มีปัญหามากนัก แต่อายุนางก็มากแล้ว จมอยู่ในทะเลสาบอันหนาวเหน็บ อาจถูกความหนาวเย็นเข้ารุกรานได้ง่าย ลมปราณก่อโรคเข้าสู่ร่างกาย
ฮองเฮาเอ่ยอย่างใส่ใจ “ฝ่าบาท ท่านรีบพาต้าเป่ากลับตำหนักเถิดเพคะ”
องค์ประมุขตรัส “เจ้าก็มาด้วยกัน”
นางข้าหลวงแบกเกี้ยวมา องค์ประมุขอุ้มต้าเป่าขึ้นเกี้ยวไปพร้อมกับฮองเฮา กระทั่งทั้งสามเดินทางมาถึงวังมังกร อวิ๋นเฟยก็เพิ่งจูงเอ้อร์เป่ากับเสี่ยวเป่ามาถึงอย่างเอ้อระเหยลอยชาย
เด็กๆ ยามเล่นซุกซนก็สุดเหวี่ยง ต้าเป่า ‘ไม่ระวัง’ พลัดตกน้ำ ส่วนเอ้อร์เป่ากับเสี่ยวเป่าก็ปีนขึ้นต้นไม้แล้วลงไม่ได้ร้องไห้เสียงดัง อวิ๋นเฟยเรียกทหารองครักษ์มาช่วยจึงนำพวกเขาลงมาได้สำเร็จ
อวิ๋นเฟยคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องกับต้าเป่า ต้าเป่าเป็นเด็กที่ซื่อตรงที่สุดในทั้งสามคนแล้ว เขาไม่มีทางไปเล่นอะไรที่อันตรายชวนตื่นเต้นเช่นนั้น
เวลานี้องค์ประมุขกับฮองเฮาเปลี่ยนสวมอาภรณ์ที่แห้งสนิทแล้ว เสื้อผ้าของต้าเป่าก็เปลี่ยนแล้ว และกำลังถูกคุ้มกันอยู่ในอ้อมแขนขององค์ประมุข
องค์ประมุขได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากปากของนางข้าหลวง ที่แท้เด็กทั้งสามไม่พักผ่อนยามบ่าย ต้องการออกไปเล่นข้างนอก อวิ๋นเฟยก็พาพวกเขาออกไป ระหว่างทางอวิ๋นเฟยอยากเข้าห้องน้ำ จึงสั่งให้นางข้าหลวงทั้งสองจับตามองเด็กๆ ไว้ นางข้าหลวงคิดว่าเป็นเด็กธรรมดา จึงไม่ได้ใส่ใจจับตาดูนัก เผลอเพียงครู่เดียวก็ไม่เห็นเงาคนเสียแล้ว
ครึ่งทางที่อวิ๋นเฟยเดินกลับมาก็พบเอ้อร์เป่ากับเสี่ยวเป่าที่ห้อยอยู่บนต้นไม้ลงมาไม่ได้ นางรอกระทั่งคนช่วยพวกเขาลงมา ก็ทราบข่าวว่าต้าเป่าเกิดเรื่อง
อวิ๋นเฟยไม่รู้เรื่องกว่าใครๆ
ฮองเฮาเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “อวิ๋นกุ้ยเฟย ครั้งนี้ไม่ใช่ข้าต้องการโทษเจ้า วันธรรมดาเจ้าทำตัวไม่แยแสสิ่งใดก็มากพอแล้ว ยามนี้เป็นถึงทวดคน ควรประพฤติตนให้ดี อย่าคิดเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วทั้งวัน ควรดูแลเด็กๆ ให้ดีถึงจะถูก เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ฉุกเฉินเพียงใด? หากข้าช้าไปครึ่งก้าว ชีวิตของต้าเป่าคงหาไม่แล้ว!”
อวิ๋นเฟยตื่นตกใจ
นางมองฮองเฮา จากนั้นก็มององค์ประมุข พระพักตร์ขององค์ประมุขเย็นชา เหมือนกับว่าสิ่งที่ฮองเฮาพูดเป็นเรื่องจริง สถานการณ์ของต้าเป่าอันตรายยิ่งนัก
นางกล่าวโทษตัวเองอย่างหนัก
แต่บัดนี้ต่อให้นางกล่าวโทษตัวเองมากเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ และต่อให้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง ก็เกรงว่านางไม่อาจทำได้ดีกว่านี้แล้ว หรือเพียงได้ยินว่าต้าเป่าตกน้ำ ก็ไม่ต้องสนใจไข่ดำทั้งสองที่ห้อยอยู่บนต้นไม้ซึ่งอาจตกลงมาได้ทุกเมื่อหรือ?
“ฝ่าบาท…” อวิ๋นเฟยอยากกอดต้าเป่าที่ตกใจกลัว
ฝ่าบาทใช้สายตาปฏิเสธนาง “ไม่ต้องพูดแล้ว เสิ่นอวิ๋น ข้าผิดหวังในตัวเจ้ายิ่งนัก”
ฮองเฮาเอ่ยด้วยสีหน้าจงเกลียดจงชัง “นี่คือพระราชปนัดดาองค์แรกของฝ่าบาท เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขามีความสำคัญต่อหนานจ้าวเพียงใด? ครั้งนี้แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่อาจมองข้ามไปได้ ต่อให้ข้าต้องถูกประชาใต้หล้าประนามก็ไม่อาจให้อภัยเจ้าอีกแล้ว!”
ได้เป็นกุ้ยเฟยไม่ถึงสิบวันก็ถูกองค์ประมุขกีดกันเช่นนี้เสียแล้ว นางยังถูกถอดตำแหน่งเฟยและ กักบริเวณอยู่ภายในตำหนักจูเชวี่ย
ไข่ดำทั้งสามถูกอุ้มไปที่ตำหนักจงกงของฮองเฮา โดยมีฮองเฮากับองค์ประมุขร่วมกันดูแล
ฮองเฮาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าจะดูแลพวกเขาให้เหมือนเป็นบุตรของข้าเอง”
องค์ประมุขตบมือของนางเบาๆ “ข้าเชื่อใจเจ้า ชีวิตของต้าเป่าเป็นเจ้าที่เก็บมา นอกจากเจ้าแล้ว ข้าคิดไม่ออกเลยว่าในวังหลังนี้ยังมีผู้ใดที่ทุ่มเทกายใจดูแลพวกเขาให้ดีได้”
ฮองเฮาแย้มรอยยิ้มอ่อนโยน “ฝ่าบาทก็อยากได้ทรงกริ้วอวิ๋นเฟยนักเลย เมื่อครู่ด้วยอารมณ์ชั่ววูบข้าจึงกล่าวโทษนาง ทว่าคิดดูดีๆ แล้วก็ไม่อาจโทษนางได้ทั้งหมด นางไม่เคยเลี้ยงดูเด็ก ยากที่จะหลีกเลี่ยงความผิดพลาด ฝ่าบาทโปรดอย่าได้ตัดพ้อต่อว่านางเกินไป รอให้นางสำนึกผิดแล้ว ก็คืนตำแหน่งกุ้ยเฟยแก่นางเถิด”
“เจ้าก็ให้ท้ายนางเช่นนี้เสมอ ถึงทำให้นางไม่สนใจกฎเกณฑ์ สองสามวันนี้ข้าเห็นว่านางเปลี่ยนไป คิดว่านางกลับเนื้อกลับตัวแล้วจริงๆ เสียอีก” องค์ประมุขตรัสและทอดถอนใจอย่างหมดหนทาง
“ภูผาลำธารเปลี่ยนง่าย ทว่าสันดานคนนั้นเปลี่ยนยาก…” ฮองเฮาชะงัก และกล่าวขออภัย “หม่อมฉันกล่าวเกินไปแล้ว หม่อมฉันไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่น เหยียดหยามอวิ๋นเฟย หม่อมฉันเพียงแต่รู้สึกว่านางอาจไม่เหมาะกับการเลี้ยงดูเด็กๆ”
องค์ประมุขเงียบไป
ฮองเฮาเอ่ยถึงจุดนี้ ไม่ได้โน้มน้าวให้องค์ประมุขต้องเห็นด้วยกับความคิดนาง องค์ประมุขลงโทษอวิ๋นเฟยเพราะผิดหวังในตัวอวิ๋นเฟย หรือเพราะต้องการสั่งสอนอวิ๋นเฟยไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือองค์ประมุขจะไม่มีทางส่งเด็กๆ ไปอยู่ในมือของอวิ๋นเฟยโดยง่ายดายอีก
ต่อให้วันหน้าเด็กคนนี้ถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาทจริง ก็ต้องถูกรับตัวเข้าวัง โดยมีฮองเฮาเช่นนางเป็นผู้อบรมเลี้ยงดูด้วยตนเอง
อิ่งสือซันนำข่าวที่สืบจากวังหลวงมารายงานแก่เยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่นอย่างละเอียด
อวี๋หวั่นมุ่นคิ้ว “เจ้าว่าอย่างไรนะ? ต้าเป่าตกน้ำ? ถูกฮองเฮาช่วยเอาไว้?”
อิ่งสือซันเล่าโดยไม่แทรกความคิดเห็นของตนเอง “ในวังพูดกันเช่นนี้ องค์ประมุขทรงกริ้วอวิ๋นเฟยมาก จึงลงโทษถอดตำแหน่งกุ้ยเฟยของนาง”
“เหลวไหล!” อวี๋หวั่นตบโต๊ะด้วยกำปั้นเล็กๆ
อิ่งสือซันกล่าวอีกครั้ง “องค์ประมุขได้ส่งพวกต้าเป่าไปอยู่ที่ตำหนักจงกงของฮองเฮา ยามนี้ฮองเฮาดูแลพวกเขาอยู่”
บิดามารดาล้วนอยู่ครบ แม้จะไม่ให้อวิ๋นเฟยดูแล ก็วนไม่ถึงมือฮองเฮา!
อวี๋หวั่นรู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล กระทั่งทารกแรกเกิดฮองเฮาก็ยังเล่นงานได้ลงคอ มีหรือจะเมตตาต่อต้าเป่า?
อวี๋หวั่นกล่าว “อิ่งสือซัน เจ้าพาข้าเข้าวังที”
อิ่งสือซันพยักหน้าและพาอวี๋หวั่นเดินทางไปวังหลวง
ทั้งสองเดินทางไปที่ตำหนักจงกงเพื่อดูเด็กทั้งสาม ทั้งสามหลับไปแล้ว โดยมีมามาที่มีความสามารถคอยคุ้มกันอย่างเต็มที่ ในเมื่อฮองเฮากล้ารับเด็กพวกนี้มา ก็ไม่อาจดูดายปฏิบัติต่อพวกเขาไม่ดี ไม่เช่นนั้นหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น องค์ประมุขก็จะกล่าวโทษนางทั้งหมด
อวี๋หวั่นกับอิ่งสือซันยังไปที่ตำหนักจูเชวี่ย
อวิ๋นเฟยตำหนิตนเองจนนอนไม่หลับ นั่งเหม่อลอยอยู่ริมหน้าต่าง ทันใดนั้นนอกหน้าต่างก็ปรากฏเงาหัวเล็กกลมๆ ขึ้นมา
“อ๊ะ” อวิ๋นเฟยตกใจหงายหลังล้มลงกับพื้นทั้งคนทั้งเก้าอี้
“ท่านยาย ข้าเอง!” อวี๋หวั่นดึงผ้าปิดหน้าลง ก้าวขาข้ามหน้าต่างปีนเข้ามาตรงๆ
“อาหวั่น?” อวิ๋นเฟยฉงน
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปพยุงอวิ๋นเฟยให้ลุกขึ้น
ขณะนี้อิ่งสือซันก็แวบกายเข้ามา ดึงผ้าพันคอลงแล้วคำนับนาง
อวิ๋นเฟยเห็นใบหน้าหล่อเหลานั้น พลันอ้าปากค้าง “นี่หลานเขยของข้าหรือ?”
อิ่งสือซันรีบกล่าวว่า “กระหม่อมคือองครักษ์เงาของคุณชาย อิ่งสือซัน”
องครักษ์เงายังหล่อเหลาเพียงนี้ แล้วหลานเขยจะหล่อเหลาเพียงใด?
อวิ๋นเฟยเกือบจะน้ำลายไหลอีกครั้ง แต่เมื่อนึกถึงต้าเป่าก็ไหลไม่ออก
อวี๋หวั่นกล่าวรวบรัด “ท่านยาย ข้ามาในคืนนี้ ต้องการสอบถามข่าวจากท่าน ข้าได้ยินว่าต้าเป่าตกน้ำ เป็นฮองเฮาที่ช่วยเขาไว้หรือ?”
อวิ๋นเฟยถอนใจอย่างช่วยไม่ได้ “เรื่องนี้นางข้าหลวงเป็นคนเห็นกับตา พวกนางได้ยินเสียง และเห็นเงาคนตกลงไปในน้ำ พวกนางเดินเข้าไปดูก็พบว่าฮองเฮาช่วยต้าเป่าขึ้นมาแล้ว และองค์ประมุขก็เคยถามต้าเป่าว่ามีใครผลักเขาหรือไม่ เขาบอกว่าไม่มี”
อวี๋หวั่นแตะปลายคาง “ฮองเฮาแยกเด็กทั้งสามออกหรือไม่?”
“นาง…” อวิ๋นเฟยครุ่นคิด ไม่ใช่สิ นางแยกไม่ออก!
แต่นางข้าหลวงในเหตุการณ์เล่าว่าทันทีที่องค์ประมุขมาถึง ฮองเฮาก็บอกกับเขาว่า ‘ต้าเป่าสำลักน้ำ’
ตอนนั้นเอ้อร์เป่ากับเสี่ยวเป่าก็ไม่อยู่ นางรู้ได้อย่างไรว่าเขาคือต้าเป่า?
นอกเสียจาก…นางได้พบกับเอ้อร์เป่าและเสี่ยวเป่า และแน่ใจว่าพวกเขาจากไปไกลแล้ว
เอ้อร์เป่ากับเสี่ยวเป่าไม่ได้ยินเสียงคนตกน้ำ เช่นนั้นก็แปลว่าหลังจากพวกเขาเดินออกมาไกลแล้ว ต้าเป่าถึงได้ตกน้ำ นั่นต้องเป็นระยะเวลานาน
ระยะเวลานานถึงเพียงนั้น ฮองเฮายืนอยู่ใกล้ๆ ตลอด หากเป็นเช่นนี้จริง ก็แปลว่านางยืนดูต้าเป่าตกน้ำไปต่อหน้าต่อตา!
อวิ๋นเฟยบอกความคาดเดาของตนเองแก่อวี๋หวั่น
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” อวิ๋นเฟยกล่าว “ข้าจำได้ว่ารั้วที่นั่นถูกปิดและลงกลอนไว้ ข้ากังวลว่าพวกเขาจะวิ่งไปที่นั่น จึงได้ตรวจสอบกลอนทุกอันโดยละเอียด”
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างครุ่นคิด “เช่นนั้น ก็มีคนเปิดกลอนแล้วให้ต้าเป่าตกลงไปในน้ำด้วยตนเอง”
คนผู้นั้นเป็นใคร ไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้
………………………………………