อวี๋หวั่นเคยพูดถึงเรื่องของเห้อเหลียนเซิงกับเยี่ยนจิ่วเฉา ทั้งคู่เดาว่ายังมีเรื่องภายในอื่นๆ อีก แต่ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน
เยี่ยนอ๋องและเซียวเจิ้งถิงฟังอย่างเงียบๆ ไม่เกิดสงครามลูกผู้ชายอย่างหาได้ยากยิ่ง
“จากนั้นเล่า?” อวี๋หวั่นถาม
ขันทีหวังกล่าวว่า “จากนั้นฝ่าบาทก็รับสั่งนำตัวนางถานเข้าวัง คำพูดเมื่อครู่เหล่านั้นมาจากปากของนางถาน และที่ท่านแม่ทัพใหญ่สูญเสียตัวตนและจิตใจไปเป็นการลอบทำร้ายของฮองเฮา จุดประสงค์เพื่อเตือนนางถานและให้ส่งตัวเห้อเหลียนเซิงมา”
อวี๋หวั่นตบโต๊ะ “สตรีพิษร้าย! ช้าก่อน นางถานบอกหรือไม่ว่าผู้ใดเป็นคนวางยาพิษ?”
ขันทีหวังทอดถอนใจ “นางเป็นคนวางยาเอง แต่นางไม่ได้ต้องการทำร้ายท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านแม่ทัพใหญ่ถูกฮองเฮาวางยา นางจึงจำต้องใช้พิษต้านพิษเพื่อช่วยชีวิตท่านแม่ทัพใหญ่”
อวี๋หวั่นพึมพำ “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้”
ดูเหมือนว่าเยี่ยนจิ่วเฉาพูดถูก เป็นนางถานจริงๆ แต่คิดไม่ถึงว่าฮองเฮาจะเป็นคนลงมือก่อน
เมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ อวี๋หวั่นก็มองไปที่ขันทีหวังอีกครั้ง “เช่นนั้น เห้อเหลียนเซิงล่วงรู้ความลับอะไรถึงทำให้ฮองเฮาต้องการฆ่าเขาเพื่อปิดปาก?”
เรื่องเน่าเฟะในเรือนไม่ควรเปิดเผยสู่ภายนอก แต่องค์หญิงน้อยก็ไม่นับว่าเป็นคนนอก เยี่ยนอ๋องและเซียวเจิ้นถิง…เป็นพ่อสามีขององค์หญิงน้อย เมื่อปัดเศษ ก็เป็นครอบครัวเดียวกันไม่ผิด!
ขันทีหวังบอกข่าวที่น่าตกใจนั้น “…ฮองเฮามีความสัมพันธ์กับอดีตราชครู อวี่เหวินจ้าว และหนานกงเยี่ยนก็อาจจะเป็นสายเลือดชั่วของพวกเขา”
อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว “อาจจะอะไรกัน? ใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ไม่ได้ตรวจสอบหรือ?”
ขันทีหวังกล่าวว่า “นั่นเพราะนางถานก็ไม่แน่ใจ ดังนั้นองค์ประมุขจึงไปขอการยืนยันจากฮองเฮา ส่วนผลการตรวจสอบ ข้าไม่ได้อยู่ที่นั่นในเวลานั้น เมื่อข้าไปตามหาก็เกิดเรื่องกับฝ่าบาทแล้ว”
ดูเหมือนว่าผลการตรวจสอบจะไม่ค่อยดีนัก แปดเก้าส่วนองค์ประมุขคงโกรธกริ้วอยากประหารบุตรชู้หนานกงเยี่ยน ฮองเฮาต้องการปกป้องบุตรสาวจึงลงมือกับองค์ประมุข
หากเป็นเช่นนี้ การกบฏของฮองเฮาก็พอยอมรับได้
หนานกงเยี่ยนเป็นบุตรจากชู้หรือไม่นั้นมิสำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือองค์ประมุขเชื่อว่านางเป็นบุตรชู้ ดังนั้นหนานกงเยี่ยนและฮองเฮา จึงไม่อาจรอดไปได้
องค์ประมุขขับไล่เนื้อเลือดของตัวเองออกไป แต่กลับเลี้ยงดูบุตรชู้ให้กับคนอื่น ทันทีที่เรื่องร้ายนี้แดงออกมา อวี๋หวั่นรู้สึกว่าประหารเก้าชั่วโคตรของฮองเฮายังเบานัก
กระต่ายยามถูกกดดันยังกัดคนได้ อีกอย่างฮองเฮาไม่เคยเป็นสตรีที่ง่ายดายมาก่อน
“ข้าไม่เคยเชื่อในคำทำนายที่ว่าโชคดีร้ายเกิดคู่กัน แต่…มีความสัมพันธ์กับอดีตราชครูนั้นเกินความคาดหมายของข้า” สตรีผู้นี้ แย่ไปจนถึงกระดูกจริงๆ “เรื่องท่านยายของข้าก็ถูกนางโยนความผิดด้วยใช่หรือไม่?”
ตามนิสัยของอวิ๋นเฟย ต่อให้ถูกตีจนตาย อวี๋หวั่นก็ไม่เชื่อว่านางจะปีนขึ้นเตียงมังกร
ขันทีหวังครุ่นคิด “เอ่อ ข้าไม่ได้ยิน แต่ข้าคิดว่า อวิ๋นเฟยน่าจะถูกฮองเฮาใส่ความ ในปีแรกๆ ฮองเฮาไม่อาจตั้งครรภ์ให้กำเนิดบุตร ไทเฮากำชับหนักหนา ข้าอยู่ในวังมานาน มีเรื่องสกปรกบางเรื่องที่องค์หญิงน้อยคาดไม่ถึง แต่ข้าล้วนเห็นมาหมดแล้ว ฮองเฮา…นางอาจวางแผนที่จะยืมครรภ์ให้กำเนิดบุตร แต่คาดไม่ถึงว่าหลังจากอวิ๋นเฟยตั้งครรภ์ นางก็ท้องเลือดเนื้อของตนเอง ในครานั้น เลือดเนื้อของอวิ๋นเฟยไม่เพียงแต่ไร้ค่า ในทางกลับกันยังกลายเป็นภัยคุกคามต่อนาง และนั่นคือเหตุผลว่าเหตุใดนางจึงสมรู้ร่วมคิดกับอวี่เหวินจ้าว บังคับให้ตี้จีองค์โตเป็นดาวหายนะผู้โดดเดี่ยว”
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างเย็นชา “บนชั่วเช่นไร ล่างก็เลวเช่นนั้น!”
ด้วยมารดาเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่ให้กำเนิดบุตรีไร้ยางอายอย่างหนานกงเยี่ยน
ขันทีหวังกล่าวอย่างกังวล “องค์หญิงน้อย เราอย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้กันเลย ฝ่าบาทและสนมกุ้ยเฟยอยู่ในมือของนาง เรามาคิดหาทางช่วยพวกเขากันเถอะ”
เพื่อช่วยพวกเขาทั้งสอง วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือกำจัดฮองเฮา
แต่พระราชโองการถอดถอนฮองเฮามิใช่ผู้ใดจะเขียนก็ได้ มีตราหยกแผ่นดินกับอวี้ปั๋วยังไม่เพียงพอ ผู้ที่จะเขียนพระราชโองการต้องตรงตามข้อบังคับอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นขุนนางใหญ่หรือองค์ประมุขเอง
“ยามนี้ไปจับขุนนางใหญ่ยังทันหรือ?” อวี๋หวั่นลูบมือ
ขันทีหวังราดน้ำเย็นใส่เธออย่างเหลือทน “ข้าคิดว่าขุนนางอาจถูกฮองเฮาจับไปหมดแล้ว”
ดังนั้นทุกคนจึงมองไปที่เยี่ยนอ๋องโดยพร้อมเพรียงกัน
ถึงเวลาแสดงฝีไม้ลายมือที่แท้จริง ความสามารถในการปลอมแปลงลายมือ ที่แม้แต่ไท่ฟู่ก็ไม่สามารถแยกแยะได้ เกรงว่าในโลกนี้จะมีเพียงเยี่ยนอ๋องเท่านั้นที่ทำได้
ตำหนักจงกง
ว่ากันว่าหลังจากขันทีหลี่มอบตราหยกแผ่นดินที่เขาขโมยมาให้ฮองเฮาแล้ว ฮองเฮาก็สั่งให้คนไปจับตัวขุนนางซื่อซูแห่งสำนักฮั่นหลินมาในทันที
ขุนนางซื่อซูเป็นขุนนางที่เขียนราชโองการขององค์ประมุข แน่นอนว่าองค์ประมุขสามารถเขียนเองได้ แต่องค์ประมุขไม่สามารถเคลื่อนไหวได้มิใช่หรือ? มีเพียงต้องให้ขุนนางซื่อซูทำแทนเขาเท่านั้น
ฮองเฮาวางมีดลงที่คอขององค์ประมุข “หากไม่เขียน ข้าจะฆ่าฝ่าบาท”
สิ่งนี้มีประโยชน์ยิ่งกว่าการข่มขู่ขุนนางซื่อซูเองมากนัก ขุนนางซื่อซูเขียนด้วยใบหน้าอาบน้ำตา และมอบอวี้ปั๋วที่เป็นลายลักษณ์อักษรให้กับมือฮองเฮาอย่างสั่นสะท้าน
ฮองเฮาร่างคำสั่งแต่งตั้งหนานกงหลี นางเรียกหน่วยกล้าตายคนสนิทเข้ามา “เจ้าไปที่จวนตี้จี ให้หลีเอ๋อร์เตรียมตัวให้ดี วันพรุ่งเขาจะได้ขึ้นสู่บัลลังก์”
“พ่ะย่ะค่ะ!” หน่วยกล้าตายคนสนิทเดินออกจากตำหนักทันที
ขันทีหลี่ยกโจ๊กลูกเดือยต้มชามหนึ่งเข้ามาในห้อง “ฮองเฮา วันพรุ่งนี้ท่านต้องไม่ลืมว่าอย่าได้ตรัสผิด ฝ่าบาทเป็นไข้ทรพิษซึ่งเป็นโรคติดต่อได้ง่าย และไม่สามารถรักษาให้หายขาด จึงมอบบัลลังก์ให้องค์ชายหลี พระองค์เป็นไท่ซ่างหวาง ท่านก็เป็นไทเฮาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์”
“ข้าเขียนลงไปแล้ว” ฮองเฮาพยักหน้า จากนั้นหยุดชะงักและพูดอีกครั้ง “แต่ ข้าจำเป็นต้องรับตำแหน่งไทเฮาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือ? หลีเอ๋อร์เขา…”
ขันทีหลี่อธิบายว่า “องค์ชายยังเด็กอยู่บ้าง อาจไม่สามารถจัดการกับบางสิ่งได้ ท่านต้องเป็นไทเฮาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จึงจะสามารถเข้าออกราชสำนักได้”
ฮองเฮาลังเล “แต่ข้าไม่เข้าใจการบริหารราชการแผ่นดิน”
ขันทีหลี่ยิ้มและกล่าวว่า “ข้าสามารถช่วยฮองเฮาได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาตบมือเขาด้วยความโล่งใจ “โชคดีที่มีเจ้า”
ค่ำคืนนี้ข่าวฝ่าบาทเป็นไข้ทรพิษรั่วไหลออกมา ฟ้าสางวันถัดไป ฮองเฮานำขันทีหลี่และพระราชโองการที่กำหนดไว้นั้นมาที่ราชสำนัก
เมื่อทุกคนเห็นเพียงฮองเฮา แต่ไม่เห็นองค์ประมุขต่างก็ตกตะลึง
ฮองเฮายืนบนขั้นบันไดใต้เก้าอี้มังกรมองขุนนางทั้งฝ่ายบู๊และบุ๋นอย่างสง่างามและกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าโศก “ข้ามีข่าวร้ายจะแจ้งให้พวกท่านทราบ”
ทุกคนมองนางอย่างงงงวย
นางดวงตาแดงระเรื่อ สะอึกสะอื้นเล็กน้อย “ฝ่าบาทพระวรกายไม่แข็งแรง ติดไข้ทรพิษ”
ทั่วทั้งราชสำนักเกิดเสียงฮือฮาสนั่น!
ไข้ทรพิษเป็นโรคที่รักษาไม่หาย และแทบไม่มีผู้ป่วยคนใดรอดชีวิต ไม่เพียงแค่นั้น พวกเขาต้องถูกกักกันในหมู่บ้านพิเศษ การรักษามีความเข้มข้น แต่ความจริงแล้วพวกเขาเพียงกำลังรอความตายอยู่ในหมู่บ้านเท่านั้น
องค์ประมุขของพวกเขาป่วยเป็นโรคร้ายแรงเช่นนี้เลยหรือ?
“หากพวกท่านไม่เชื่อ ก็สามารถไปเยี่ยมพร้อมกับข้าในภายหลังได้” ขันทีหลี่จัดการไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าชีพจรขององค์ประมุขเป็นเช่นไร ก็จะแสดงเป็นอาการของไข้ทรพิษ กระทั่งหมอหลวงเขายังไม่กลัว ขุนนางเพียงกลุ่มเดียว ก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล
ฮองเฮากลั้นน้ำตาและกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงรู้สึกว่าพระองค์เหลือเวลาไม่มากแล้ว จึงร่างพระราชโองการในชั่วข้ามคืน ขันทีหลี่โปรดนำพระราชโองการมา”
“เหตุใดไม่เห็นขันทีหวังเล่า?” ขุนนางคนหนึ่งถาม
ฮองเฮาสะอื้น “ขันทีหวังก็เป็นไข้ทรพิษเช่นกัน เมื่อคืน…ไข้ขึ้นสูงไม่หยุด…เมื่อเช้านี้ก็…”
ก็อะไร นางไม่ได้เอ่ย แต่ทุกคนก็ได้ตัดสินใจเองและเดาว่าขันทีหวังอาการไม่ดีแล้ว
“เชิญพระราชโองการเถิด” ฮองเฮากล่าวกับขันทีหลี่อย่างเจ็บปวด
“พ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮา” ขันทีหลี่เปิดพระราชโองการ “ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชา ข้าเป็นโรคร้าย เกรงว่ามีชีวิตอีกไม่นาน ประเทศไม่อาจไร้ผู้ปกครองเพียงหนึ่งวัน หนานกงหลีสง่างามปรีชา เปี่ยมคุณธรรม…”
“พระราชโองการมาถึงแล้ว-“
นอกห้องโถง จู่ๆ ก็มีเสียงแหลมสูงของขันทีหวังดังเข้ามา
ทุกคนต่างตระหนกตกใจ ไม่ได้บอกว่าขันทีหวังเป็นไข้ทรพิษหรอกหรือ? เหตุใดถึงมาที่ราชสำนักได้?
ขันทีหวังนำราชโองการสีเหลืองสดใสเดินเข้ามาอย่างโอ่อ่าผ่าเผย สีหน้าสดชื่น ใบหน้าสะอาด ไร้ซึ่งร่องรอยของไข้ทรพิษ
สีหน้าฮองเฮาและขันทีหลี่แปรเปลี่ยนไปฉับพลัน
………………………………